xs
xsm
sm
md
lg

เมื่อส้มแดงตื่นกลัวพลังประชาชน แล้วกล่าวหาว่าเรียกหารัฐประหาร

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หนึ่งความคิด 
สุรวิชช์ วีรวรรณ

 การชุมนุมของกลุ่มรวมพลังแผ่นดินรักษาอธิปไตยไทย สร้างความอกสั่นหวั่นไหวให้กับทั้งพรรคแดงที่เป็นรัฐบาลและพรรคส้มที่เป็นพรรคฝ่ายค้าน เพราะตกใจกับพลังประชาชนที่ออกมาชุมนุมอย่างเนืองแน่นเต็มพื้นที่รอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิและอัดกันจนไม่มีทางเดินบนสกายวอร์ก ที่มีคนหลากรุ่นหลายวัย เพราะพวกเขาเชื่อมาตลอดว่ามวลชนของฝั่งอนุรักษนิยมนั้นอ่อนแรงลงแล้ว หรือส่วนใหญ่ก็เป็นคนเฒ่าชรา


แม้ต้องยอมรับว่าเรื่องของดินแดนและอธิปไตยเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้คนไทยไหลมารวมกัน ไม่นับคนที่ติดตามทางช่องทางออนไลน์ต่างๆ และไม่ได้มาแต่ส่งกำลังใจมา ที่เห็นได้จากมีเงินบริจาคมากถึง 30 ล้านบาทในเวลาเพียงไม่กี่วัน และเหลือยอดรวมที่จะส่งมอบให้กองทัพภาคที่สองสำหรับจัดหาสิ่งที่กองทัพต้องการตามความประสงค์ถึง 28 ล้านบาท

อีกหนึ่งที่เป็นส่วนสำคัญคือเสียงในคลิปที่คนไทยรับไม่ได้ที่แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย มีท่าทีศิโรราบต่อผู้นำเขมรที่กำลังมีความขัดแย้งเรื่องชายแดนและต้องการอธิปไตยของไทยไปครอบครองด้วยการกล่าวหาแม่ทัพว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามและบอกศัตรูของชาติว่า อยากจะได้อะไรให้บอกมา สิ่งเหล่านี้เพิ่มความเจ็บช้ำใจให้กับคนไทยทุกคน ในขณะที่เธอกล้าพูดในเวลาต่อมาว่า เธอไม่ได้ทำให้ประเทศไทยเสียอะไร ซึ่งคนจำนวนมากมองว่า เธอไม่มีสติปัญญาความรู้ความสามารถอยู่แล้วก็ยิ่งทำให้คนไทยหมดความอดทนที่จะปล่อยให้เธอบริหารประเทศนี้ต่อไป

 ภาพของคลื่นมหามวลชนเลยกลายเป็นภาพหลอนของทั้งพรรคส้มและพรรคแดง ด้วยการนำข้อกล่าวหาว่า กลุ่มผู้ชุมนุมเรียกหารัฐประหาร โดยจับเอาคำพูดของสนธิ ลิ้มทองกุล ไปบิดประเด็น เพียงแต่ได้ยินคำว่า “ปฏิวัติ” สติสตังค์ความคิดสติปัญญาก็หล่นหาย    ทั้งที่สนธิพูดว่า “หลายคน สื่อมวลชน หลายคนบอกว่าคุณสนธิ คุณกําลังยั่วยุทหารเข้ามาปฏิวัติ(รัฐประหาร)ใช่ไหม ไม่ใช่ ทหารจะปฏิวัติ มันไม่เคยบอกผม จะทําเมื่อไหร่ก็ทําไป ถ้าเห็นว่าวิกฤตมันเกิดขึ้นแล้ว การเมืองมันแก้ไม่ได้ ซึ่งการเมืองมันแก้ไม่ได้ เขาจะทำปุ๊บปั๊บปุ๊บปั๊บ ก็เรื่องเขา แต่ขอเรื่องเดียวไหนๆ จะทําแบบนั้น ถ้าจะทํากัน สาธุ ขออย่าเอา พลเอก มาบริหารชาติบ้านเมืองอีก ให้ประชาชนพวกเราเนี่ยเข้าไปมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาประเทศชาติ ถูกไม่ถูก ทําความเข้าใจก่อนนะฮะ ผมไม่ได้ยุให้ทหารปฏิวัติ”

คำพูดดังกล่าวไม่สามารถแปลได้เลยว่า สนธิเรียกให้ทหารออกมาทำรัฐประหาร เพียงแต่บอกว่า ทหารจะรัฐประหารเขาก็ไม่มาบอก แล้วเตือนว่า ถ้าสุดท้ายต้องทำเพราะการเมืองแก้ไม่ได้ก็ขออย่าเอาพลเอกมาบริหารประเทศอีก แต่ต้องมอบอำนาจให้ประชาชนเข้าไปร่วมแก้ไขปัญหา โดยบอกย้ำหลายครั้งว่า ไม่ได้ยุให้ทหารปฏิวัติ

สิ่งที่สนธิสะท้อนนั่นก็คือ บ่งบอกถึงการมองเห็นความล้มเหลวของการทำรัฐประหาร ที่ตลกไปกว่านั้นก็คือ มีการมองว่า พลเอก ที่สนธิกล่าวถึงนั้นหมายถึง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ทั้งที่สนธิพูดในเชิงความหมายไปข้างหน้าว่า การทำรัฐประหารนั้น ถ้าคิดจะทำ(ซึ่งแน่นอนว่า คนที่ทำรัฐประหารได้ต้องเป็นระดับพลเอก)ก็กลัวว่า ทำแล้วจะเอาพลเอกมาบริหารประเทศอีก ซึ่งไม่รู้ว่าถ้าจะทำอีกพลเอกคนนั้นจะเป็นใคร

จริงอยู่ที่เราอาจต้องยอมรับว่า มีมวลชนจำนวนไม่น้อยที่มองว่าการรัฐประหารเป็นทางออกในยามที่บ้านเมืองวิกฤตและการเมืองไม่สามารถแก้ปัญหาได้ แต่ทั้งพรรคส้มและพรรคแดงก็เอาคำว่า  “รัฐประหาร” มาเพื่อลิดรอนกับพลังมวลชนที่ออกมาชุมนุมอย่างมหาศาล เพราะต้องการชี้ให้เห็นว่า กลุ่มผู้จัดการชุมนุมมีเจตนาที่ต้องการใช้วิถีทางนอกประชาธิปไตยมาล้มล้างกระดานทางการเมือง ทั้งที่เนื้อหาจริงของผู้ชุมนุมและการปราศรัยบนเวทีแถลงการณ์เรียกร้องให้แพทองธารลาออกและพรรคร่วมรัฐบาลถอนตัว และแกนนำหลายคนเน้นย้ำว่าไม่สนับสนุนการรัฐประหาร

ตลกมากที่แกนนำของพรรคประชาชนอย่าง ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ และ พริษฐ์ วัชรสินธุ์ ที่มักจะอ้างว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยและเคยสนับสนุนม็อบเรียกร้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ว่า เป็นวิถีทางของระบอบประชาธิปไตย และสนับสนุนการดูหมิ่นหมิ่นประมาทและอาฆาตมาดร้ายสถาบันกษัตริย์จนถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 ว่า เป็นการบั่นทอนสิทธิเสรีภาพ กลับออกมาโจมตีของมวลชนที่อยู่อีกฝั่งของตัวเองว่า ชุมนุมเพื่อเรียกหารัฐประหาร

ณัฐพงษ์ เตือนว่าการชุมนุมของกลุ่มคณะรวมพลังแผ่นดินอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อเรียกร้องการรัฐประหาร ซึ่งเป็นภัยต่อระบอบประชาธิปไตย พริษฐ์ วิพากษ์วิจารณ์การชุมนุมว่าเป็นการกระทำที่อาจส่งเสริมการรัฐประหารและเป็นปฏิปักษ์ต่อประชาธิปไตย โดยเฉพาะการเรียกร้องให้กองทัพเข้ามาแทรกแซง ซึ่งล้วนเป็นจินตนาการที่พวกเขาสร้างขึ้นมาหลอนตัวเอง

ทั้งที่การชุมนุมของประชาชนในนามกลุ่มรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตยพูดถึงความไม่ชอบธรรมของรัฐบาล นายกรัฐมนตรี และการปกป้องอธิปไตยของแผ่นดินซึ่งไม่สามารถตีความได้เลยว่า จะเป็นต้นเหตุให้เกิดการรัฐประหาร การชุมนุมที่ก้าวล่วงต่อสถาบันกษัตริย์ที่พรรคประชาชนสนับสนุนนั่นต่างหากที่ล่อแหลมและท้าทายให้ทหารเอามาทำรัฐประหาร เพราะเป็นการกระทำผิดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 6 องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้ และส่งผลกระทบต่อระบอบและอุดมการณ์ของรัฐ นั่นต่างหากที่เรียกหารัฐประหาร

ที่ตลกก็คือ มีการเรียกร้องให้พรรคประชาชนใช้วิถีทางในระบอบประชาธิปไตยยื่นอภิปรายนายกรัฐมนตรีที่มีพฤติกรรมชัดว่าฝักใฝ่ชาติศัตรูเป็นกบฏต่อแผ่นดิน แต่พรรคประชาชนกลับปฏิเสธ โดยยืนกรานอย่างเดียวที่จะให้รัฐบาลยุบสภา ทั้งที่อำนาจในการอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้นอยู่ในมือของตัวเองที่สามารถกำหนดได้ แต่ยุบสภาเป็นอำนาจของฝ่ายรัฐบาลที่ตัวเองไม่สามารถกำหนดได้

ส่วนพรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำรัฐบาลนั้น น่าจะรู้ว่า อนาคตของรัฐบาลนั้นกำลังนับวันถอยหลัง เพราะแพทองธารนั้นขาดความชอบธรรมที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในทุกด้านทั้งการกระทำและความรู้สติปัญญา ซึ่งคนของพรรคเพื่อไทยก็รู้ว่า แพทองธารแท้จริงเป็นเพียงหุ่นเชิดของทักษิณเท่านั้น จากคุณสมบัติข้อเดียวก็คือ เพราะเป็นลูกของเจ้าของพรรค เป็นพรรคที่มีเจ้าของไม่ใช่พรรคประชาธิปไตยอย่างที่กล่าวอ้าง

 ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นั้นมักจะคิดว่าตัวเองเป็นนักประดิษฐ์ถ้อยคำ จากพื้นฐานที่มาจากนักโต้วาทีที่มักใช้ลีลาที่เชือดเชือนมากกว่าความคิดเชิงเหตุผลหรือตรรกะ เขาบอกว่า เป้าหมายของผู้ชุมนุมคือการกดดันให้เกิดการล้มรัฐบาล โดยอาจนำไปสู่การรัฐประหาร ซึ่งไม่ใช่วิถีประชาธิปไตย เขายืนยันว่าไม่สนับสนุนการรัฐประหาร และชี้ว่ากลุ่มนี้เคยเคลื่อนไหวจนนำไปสู่การยึดอำนาจมาแล้วสองครั้งในรอบ 20 ปี พร้อมตั้งคำถามว่าต้องการ  “ทำแฮตทริก” หรือไม่

ทั้งที่ณัฐวุฒิได้ดิบได้ดีทางการเมืองจากนักโต้วาทีมาเป็นรัฐมนตรีเพราะเป็นผู้นำการชุมนุมที่รับใช้ทักษิณอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู และการชุมนุมครั้งนั้นเต็มไปด้วยความรุนแรง และเรียกร้องให้ผู้ชุมนุมเผาบ้านเผาเมือง  “พี่น้องเผาเลยผมจะรับผิดชอบเอง” ซึ่งการชุมนุมแบบนั้น เป็นการชุมนุมที่อยู่ในเหนือเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย และเป็นการเรียกหาการรัฐประหารเสียยิ่งกว่า

เหตุผลสำคัญสำหรับพรรคส้มและพรรคแดงที่ออกมาดูหมิ่นหมิ่นแคลนกลุ่มผู้ชุมนุมก็มาจากเหตุผลที่ต้องการลบล้างความตกตะลึงของตัวเองที่ไม่เชื่อว่ามวลชนฝั่งอนุรักษนิยมออกมาชุมนุมกันอย่างเนืองแน่น และสะท้อนว่า ประชาชนกำลังโกรธเคืองรัฐบาล แถมความนิยมของแพทองธารก็ตกลงอย่างมาก เหลือเพียง 9.20 % จากครั้งก่อนที่มีถึง 30.90 % ซึ่งต้องยอมรับว่า ประชาชนไม่อาจยอมรับให้แพทองธารเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศนี้อีกแล้วมีคนไม่ถึง 10 %เท่านั้นที่ยังยอมรับซึ่งถือว่าตกต่ำมาก

และการที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องอย่างเป็นเอกฉันท์ 9-0 และให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ สะท้อนว่านั่นเป็นพฤติกรรมของผู้นำที่ไม่อาจยอมรับได้ในประเด็นที่แพทองธารโทรศัพท์ไปพูดคุยกับศัตรูของแผ่นดินและมีเจตนาที่จะตอบสนองข้อเรียกร้องที่ศัตรูต้องการหากคลิปไม่รั่วออกมาเสียก่อนซึ่งเป็นประเด็นเดียวกับที่ผู้ชุมนุมออกมาขับไล่นั้น สะท้อนถึงความชอบธรรมของผู้ชุมนุมในฐานะที่เป็นคนไทยที่มีหน้าที่ต้องปกป้องแผ่นดินตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 50(2) ป้องกันประเทศพิทักษ์รักษาเกียรติภูมิผลประโยชน์ของชาติและสาธารณสมบัติของแผ่นดินรวมทั้งให้ความร่วมมือในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ไม่ใช่การสาดวาทกรรมว่าผู้ชุมนุมเป็นพวกคลั่งชาติอย่างที่กล่าวหากันแต่เป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน

 เมื่อฝ่ายค้านไม่ทำหน้าที่ ประชาชนจึงต้องออกมาทำหน้าที่ของตัวเอง แต่ทั้งพรรคส้มและพรรคแดงพยายามผูกขาดความเป็นประชาธิปไตย ด้วยการกล่าวหาว่า การชุมนุมของกลุ่มรวมพลังแผ่นดินรักษาอธิปไตยไทยเป็นการเรียกหารัฐประหาร ทั้งที่การชุมนุมเพื่อปกป้องแผ่นดินนั้นเป็นทั้งเสรีภาพและหน้าที่ที่คนไทยทุกคนต้องรวมพลังเป็นหนึ่งเดียวกัน

ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan


กำลังโหลดความคิดเห็น