xs
xsm
sm
md
lg

นิวเคลียร์อิหร่านกับความล่มสลายของระเบียบโลก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


Masoud Pezeshkian ประธานาธิบดีอิหร่าน
ยังคงเป็นเรื่อง-เป็นราว เป็นหัวข้อถกเถียง หรือกระทั่ง “ด่าทอ”ซึ่งกันและกันเอาเลยก็ยังมี ในเรื่อง “โครงการนิวเคลียร์อิหร่าน”ว่าจะเจ๊ง-ไม่เจ๊งไปแล้วถึงขั้นไหน? หลังจากต้องเจอกับระเบิดเจาะทะลวงอุโมงค์ ทะลวงบังเกอร์ หรือเจอกับระเบิด GBU-57 Bunker Buster”จากเครื่องบินทิ้งระเบิดB-2”ของคุณพ่ออเมริกาถล่มใส่เมืองFordow”, “Natanz” และ Isfahan” ไปตามลำดับไหล่ เมื่อช่วงวันจันทร์ที่แล้ว(23 มิ.ย.)...

คือถึงขั้นที่ทำให้ “พระเอกดีเกร์”อย่าง “ทรัมป์บ้า” ออกอาการน็อตหลุด น็อตหลวม ต้องหันไปจิกหัวด่าสำนักข่าวCNN”, “MSNBC” ไปจนถึงหนังสือพิมพ์ The New York Times” โน่นเลย ที่ได้อ้าง “แหล่งข่าว” จากหน่วยงานความมั่นคงในอเมริกาเองนั่นแหละ ว่าโครงการดังกล่าวไม่ถึงกับเสียหายอะไรมาก อาจแค่เดือน-สองเดือนก็น่าจะสามารถกลับมา “เสริมสมรรถนะยูเรเนียม”แบบเดิมๆ ได้เบิร์ดๆสบายๆ ส่งผลให้ “พระเอกดีเกร์”ที่หวังจะได้รับรางวัลตุ๊กตาทอง (Nobel Peace
Prize) ในฐานะ “นักสันติภาพ”อย่างผู้นำอเมริกาเลยอดไม่ได้ที่จะต้อง “พ่นแมงโม้”ในระหว่างการประชุมสุดยอดNATO” ที่กรุงเฮก เมื่อช่วงวันพุธที่ผ่านมา(25 มิ.ย.) ถึงขั้นเอาไปอุปมา-อุปไมยเปรียบกับครั้งอเมริกาเคยเอาระเบิดปรมาณูไปหย่อนใส่หัวคุณพี่ญี่ปุ่น-ยุ่นปี่ ณ เมืองฮิโรชิมาและนางาซากิเมื่อครั้งช่วงสงครามโลกครั้งที่2 อะไรไปโน่น!!!

แต่ก็นั่นแหละ...แม้ว่าภาพถ่ายดาวเทียมไม่ว่าจะโดยมุมไหน สำนักไหน แสดงให้เห็นถึง “หลุมระเบิด”รูเบ้อเร่อเท่อ โดยเฉพาะที่เมือง Fordow”แต่แทบทุกรายต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่ได้พบร่องรอยสาร “กัมมันตรังสี” ที่เล็ดรอดออกจากวัสดุนิวเคลียร์อย่างยูเรเนียมเอาเลยแม้แต่น้อย ต่างไปจากฮิโรชิมา-นางาซากิ ที่บรรดาชาวยุ่นทั้งหลายต้องเจอกับกัมมันตรังสีตกค้าง จนต้องล้มตายหลังจากการทิ้งระเบิดคราวนั้นอีกไม่รู้กี่หมื่น กี่แสน และอันนี้นี่เอง...ที่ทำให้ระหว่างการออกมา “ประกาศชัยชนะ” โดยผู้นำจิตวิญญาณของอิหร่าน ท่าน Ayatollah Ali Khamenei” ท่านเลยอดไม่ได้ที่จะกล่าวถึงการ “สมรักษ์ คำสิงห์”ของผู้นำอเมริกา ว่าคือ “การพูดเกินความจริง”อันเป็นไปตามลักษณะพิเศษ ลักษณะเฉพาะของ “ทรัมป์บ้า” หรือเพราะสภาพแวดล้อมเป็นตัวบังคับก็ตามแต่...

แถมยังบอกเอาไว้ด้วยว่า...เหตุที่อเมริกาต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับสงครามครั้งนี้เพราะกลัวว่าพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์อย่างอิสราเอลจะถูกล้างผลาญทำลายจนแทบไม่เหลือเศษเหลือซาก นั่นแหละเป็นหลัก และเอาไป-เอามาแล้วอเมริกาเองก็แทบไม่ได้ “บรรลุเป้าหมาย” ใดๆ เอาเลยจากสงครามครั้งนี้ อีกทั้งยังต้องเจอ “การตบหน้า”ของอิหร่านเข้าไปอีกฉาดใหญ่ๆ นี่...จริง-ไม่จริง น่าเชื่อ-ไม่น่าเชื่อ ก็คงต้องว่ากันไปตาม “รสนิยม”ของบรรดา “ขาเชียร์”ทั้งหลายเอาเองก็แล้วกัน แต่สิ่งที่น่าคิด น่าสะกิดใจ ยิ่งไปกว่านั้น...ก็คือการที่อเมริกาและอิสราเอลพยายามอาศัยเรื่อง “อาวุธนิวเคลียร์” เป็น “ข้ออ้าง”ในการเล่นงานอิหร่านคราวนี้ คงมิอาจปฏิเสธได้ว่าได้ก่อให้เกิด “คำถาม”ต่อชาวโลกและบรรดาประชาคมระหว่างประเทศ แบบชนิดยากจะหา “คำตอบ” ที่แสดงถึงความมีเหตุ-มีผล หรือความถูกต้องเป็นธรรมได้เลยแม้แต่น้อย...

เช่น ทำไมอเมริกาไม่คิดจะหันไปเล่นงานประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์เอาไว้ในครอบครอง อย่างอินเดีย ปากีสถาน เกาหลีเหนือ หรือแม้แต่อิสราเอล ที่สะสมอาวุธนิวเคลียร์เอาไว้แต่เพียงประเทศเดียวในภูมิภาคตะวันออกกลาง แต่กลับกระเหี้ยนกระหือรือเสียเหลือเกิน ที่จะหันไปเล่นงานประเทศที่ยังไม่มีอาวุธนิวเคลียร์เอาไว้ในมือ ไม่ว่าไล่มาตั้งแต่ลิเบีย อิรัก ไปจนถึงอิหร่านในทุกวันนี้ ทั้งที่ปรากฏข้อเท็จจริงในเวลาต่อมาว่าประเทศเหล่านี้ไม่ได้คิดจะสร้างอาวุธนิวเคลียร์ หรืออาวุธทำลายล้างใดๆเอาเลยแม้แต่น้อย แต่กลับถูกกระทำย่ำยีแหลกยับเยินไปเป็นประเทศๆ ไม่ว่าลิเบีย หรืออิรัก เป็นต้น...

ประการต่อมา...คือทำไมอิหร่านที่พยายามออกมาปฏิเสธมาโดยตลอดว่าไม่ได้คิดจะสร้างอาวุธนิวเคลียร์ แถมผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติของอเมริกาเอง ก็เคยระบุเอาไว้ว่าผู้นำจิตวิญญาณในประเทศนี้ได้ตีความเอาไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ.2003 ว่าอิหร่านไม่ควรมีอาวุธนิวเคลียร์เพราะขัดกับหลักศาสนา ถึงกล้าแสดงความจริงจัง-จริงใจด้วยการร่วมลงนามใน “สนธิสัญญาห้ามเผยแพร่อาวุธนิวเคลียร์” หรือThe Nuclear Non-Proliferation Treaty(NPT)” ถ้าหากตัวเองยังคิดจะสร้างอาวุธชนิดนี้ดังที่อเมริกาและอิสราเอลกล่าวหา ขณะอิสราเอลที่แอบซุกอาวุธร้ายๆ ชนิดนี้เอาไว้ในประเทศตัวเอง กลับไม่ยอมร่วมลงนามในสนธิสัญญา NPT” เอาดื้อๆ!!!

และในเมื่อยืนยันก็แล้ว นั่งยันก็แล้ว ว่าตัวเองไม่ได้คิดจะเอานิวเคลียร์ไปใช้ในทางที่ไม่เป็นไปโดยสันติ แต่อเมริกากับอิสราเอลดันไม่คิดจะเชื่อเอาเลยแม้แต่นิด ดังนั้น...อิหร่านควรหรือไม่? ที่จะต้องถอนตัวออกจากสนธิสัญญาดังกล่าว แล้วหันมาเร่งสร้างอาวุธนิวเคลียร์ขึ้นมาให้จงได้ ไม่งั้น...ย่อมหนีไม่พ้นที่จะต้องถูกอเมริกาและอิสราเอลเล่นงานด้วยข้อหาเหล่านี้ อย่างไม่มีวันจะสิ้นสุด หรือไม่เช่นนั้น...อเมริกาและอิสราเอลควรจะต้องหันมายอมรับต่อข้อเสนอที่ประธานาธิบดีอิหร่าน “นายMasoud Pezeshkian” ท่านได้ออกมานำเสนอคราวล่าสุด ระหว่างพูดคุยกับประธานาธิบดีอียิปต์ Abdel Fattah Sisi” นั่นคือ...การหาทางทำให้ภูมิภาคตะวันออกกลางทั้งภูมิภาคกลายเป็น “เขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์และอาวุธทำลายล้าง”(Free of nuclear weapons and weapons of mass destruction) โดยจะต้องรวมไปถึงการ “ปลดอาวุธนิวเคลียร์”ของประเทศตะวันออกกลางอย่างอิสราเอลกันก่อนเป็นอันดับแรก...

หรือ “อิหร่าน...พร้อมแล้วที่จะให้ความร่วมมือเพื่อส่งเสริมความมั่นคง เสถียรภาพและสันติภาพในภูมิภาคแห่งนี้ เราพร้อมเสมอที่จะทำให้ภูมิภาคตะวันออกกลางเป็นพื้นที่ปลอดอาวุธนิวเคลียร์และอาวุธทำลายล้างใดๆ ก็ตาม แต่โดยมีเงื่อนไขอยู่ว่า...นั่นต้องรวมไปถึงอิสราเอลอีกด้วยเช่นกัน” นี่...ต้องเรียกว่าจะเล่นกันแบบ “แควร์ๆ” (แฟร์ๆ) เอาเลยก็ยังได้ แทนที่จะหันมารุมเล่นงานอิหร่านอยู่เพียงประเทศเดียว แต่กลับไม่ได้คิดจะแตะต้องอิสราเอลที่มุ่งจะก่อ “สงคราม”ต่อประเทศโน้น ประเทศนี้ มาโดยตลอด...

ด้วยเหตุนี้...แม้จะพยายาม “มองโลกในแง่ดี” ว่าการคุยโม้-โอ้อวดของ “ทรัมป์บ้า”ถึงการขจัดกวาดล้างโครงการนิวเคลียร์อิหร่านว่าสามารถสร้างความสูญสลายหายวับไปกับตา อาจถือเป็นการ “ขจัดเงื่อนไข-ข้ออ้าง”ที่ประเทศอเมริกา-อิสราเอลมักหยิบมาใช้เล่นงานอิหร่านครั้งแล้ว-ครั้งเล่า โดยเฉพาะช่วงที่ตัวเองยังดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีอเมริกา แต่ก็นั่นแหละ...การร่วมมือกับอิสราเอลในการโจมตีอิหร่านด้วยข้ออ้างดังกล่าว มันกลับเป็นตัวสร้างความเสียหายให้กับกฎระเบียบสหประชาชาติและกฎหมายระหว่างประเทศระดับที่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย คุณ Maria Zakharova”เธอถึงกับต้องใช้คำว่า Colossal Damages” หรือเสียหายระดับใหญ่โตมโหฬาร อย่างชนิดยากที่จะนำมาบังคับใช้กับใครต่อไปได้อีก!!!

เพราะภายใต้การยินยอมพร้อมใจลงนามใน “สนธิสัญญาห้ามเผยแพร่อาวุธนิวเคลียร์”หรือ NPT”ของอิหร่านนั้น ย่อมต้องถูกตรวจสอบ เฝ้าระวัง โดยกลไกสหประชาชาติอย่างหน่วยงานที่เรียกๆ กันย่อๆ ว่าIAEA”หรือThe International Atomic Energy Agency”อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและบิดพลิ้วได้โดยเด็ดขาด และอิหร่านก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับ IAEA” มาโดยตลอด แต่ทั้งๆ ที่รายงานของ IAEA” คราวล่าสุดระบุไว้ชัดเจนว่าไม่ได้มี “หลักฐานและข้อพิสูจน์” ใดๆ ว่าอิหร่านกำลังคิดจะสร้างอาวุธนิวเคลียร์ หรือไม่ได้มี “ความเสี่ยง”ใดๆ ในเรื่องนี้เอาเลยแม้แต่น้อย แต่อาจด้วยเหตุเพราะผู้อำนวยการIAEA”อย่าง “นายRafael Grossi”ดันไประบุถึงการเพิ่มสมรรถนะยูเรเนียมของอิหร่านว่าขึ้นไปถึงระดับ 60 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง อันนี้นี่เอง...ที่กลายมาเป็น “ข้ออ้าง”ของอเมริกาและอิสราเอลในการรุมถล่มอิหร่านแบบชนิดไม่จำเป็นต้องสนใจ “อำนาจอธิปไตย” ใดๆ รวมไปถึงข้อห้ามที่ไม่อนุญาตให้ประเทศหนึ่ง-ประเทศใดเล่นงานประเทศที่นำนิวเคลียร์ไปใช้ในทางสันติ...

การร่วมโจมตีอิหร่านของอเมริกาและอิสราเอลคราวนี้...จึงกลายเป็นการทำลายกฎ-ระเบียบของชาวโลกไปตาม “อำเภอใจ”ของอเมริกาและอิสราเอล ชนิดไม่ว่า “สนธิสัญญาNPT”หรือหน่วยงานเฝ้าระวังIAEA”ต่างเสียหมา เสียสุนัขไปด้วยกันทั้งสิ้น หรืออย่างที่ “ศาสตราจารย์Foad Izadi”แห่งมหาวิทยาลัยเตหะรานได้พูดกับสำนักข่าวSputnik” ของรัสเซียนั่นแหละว่า... “การลงนามในสนธิสัญญา NPT ของอิหร่านกลับไม่ได้ก่อให้เกิดคุณค่าใดๆ กับเราเอาเลยแม้แต่น้อย”แถมหน่วยงานตรวจสอบอย่าง IAEA”ไม่เพียงแต่ไม่คิดจะปกป้อง ขัดขวาง การโจมตีอิหร่าน ยังกลับปล่อยให้เกิดการนำเอารายละเอียดในเอกสารรายงานไปใช้เป็นข้ออ้างเล่นงานอิหร่านซะอีกด้วย...

ดังนั้น...ในเมื่อกฎ-ระเบียบดังกล่าวได้ถูกทำลาย หรือไม่ได้ถูกบังคับใช้ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์และจุดมุ่งหมายเดิมๆ ก็จึงไม่น่าจะถือเป็นเรื่องแปลก...ที่อดีตประธานาธิบดีและรองประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติรัสเซียอย่าง “นายDmitry Medvedev” ท่านเลยต้องออกมาให้ความเห็นถึงฉากสถานการณ์ในตะวันออกกลางนับแต่นี้ต่อไปไว้เป็นข้อๆ เช่น1. โครงการนิวเคลียร์อิหร่านยังน่าจะดำรงคงอยู่อย่างบริบูรณ์ หรือเลวร้ายที่สุดก็คือเสียหายไปเพียงบางส่วน2. การเสริมสมรรถนะยูเรเนียมก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป เพราะการแสวงหาอาวุธร้ายแรงเพื่อสร้างอำนาจต่อรองกับตะวันตกย่อมเป็นสิ่งที่อิหร่านมิอาจหลีกเลี่ยงได้ และ3. มีรายงานว่าหลายต่อหลายประเทศพร้อมที่จะมอบหัวรบนิวเคลียร์ให้อิหร่านโดยตรง ฯลฯ...

หรือพูดง่ายๆ ว่า...ในเมื่อ “กฎ-ระเบียบ” ทั้งหลายมันไม่ได้มีอำนาจในการบังคับใช้อีกต่อไป ภายใต้ “ลัทธิอำเภอใจ” ของผู้ที่เชื่อว่าโลกใบนี้เป็น “โลกขั้วอำนาจเดียว”โดยมีอเมริกาเป็นมหาอำนาจสูงสุด หรืออเมริกาที่จะกลับคืนมาสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง บรรดา “ชาตินิวเคลียร์”ทั้งหลาย ที่เชื่อว่าโลกใบนี้ได้กลายเป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ”ไปแล้วอย่างไม่มีวันผันแปรไปอื่น ย่อมมิอาจ “เอามือซุกหีบ” ไว้เฉยๆ ได้อยู่แล้วแน่ๆ!!! ไม่ว่าโครงการนิวเคลียร์อิหร่านจะเป็นไปโดยสันติ-ไม่สันติ หรือพังพินาศสูญสลายหายวับไปกับตาหรือไม่? อย่างไร? แต่นั่นคงไม่ได้ส่งผลให้อเมริกาและพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์อย่างอิสราเอล จะสามารถปู้ยี่ปู้ยำโลกทั้งโลกได้โดยไม่มีใครลุกขึ้นมาขัดขวางได้เลย…


กำลังโหลดความคิดเห็น