โดย ปริณ จิตคะเนการ
เจฟฟรี่ย์ บัสสแกง (Jeffrey Bussgang) เขียนไว้ในหนังสือ The Experimentation Machine ว่า “ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่นำ AI มาใช้ จะเข้ามาแทนที่ผู้ประกอบการรุ่นเก่าที่ไม่ให้ความสำคัญกับ AI” คำกล่าวนี้ดูจะไม่เกินจริงนักเมื่อเทียบกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพราะตั้งแต่ยุคเริ่มต้นของการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) จนมาถึงยุคของ Generative AI เราได้เห็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของนวัตกรรม ที่ครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าเป็นเพียงนิยายวิทยาศาสตร์ กลับกลายมาเป็นความจริงที่เกิดขึ้นแล้วในปัจจุบัน
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของ AI เกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2022 เมื่อ OpenAI ได้เปิดตัวเทคโนโลยี AI Chatbot ที่มีชื่อว่า “ChatGPT” ซึ่งมีการประมวลผลที่ต่างไปจากรูปแบบเดิม ด้วยการใช้นวัตกรรมยุคใหม่ที่เรียกว่า Generative AI ในการสร้างผลลัพธ์ที่เป็นข้อความ ภาพ เสียง และวิดีโอ จากคำสั่งของมนุษย์ที่ป้อนข้อมูลเพื่อช่วยหาคำตอบให้ภายในไม่กี่วินาที หรือ แม้แต่ Claude AI ที่ใช้ในการแปลภาษา สร้างบทสนทนา และ วิเคราะห์ข้อมูล
เครื่องมือทางเทคโนโลยีอันเกิดจากปัญญาประดิษฐนั้นได้ช่วยย่นระยะเวลาในการทำงานพื้นฐานให้น้อยลง ส่งผลให้ ปัญญาประดิษฐ์ได้เข้ามามีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงแทบทุกมิติของสังคม รวมไปถึงความสามารถของ AI ในปัจจุบันที่พยายามจะเอาชนะมนุษย์โดยกลวิธีที่หลายคนคิดไม่ถึง
ตัวอย่างล่าสุด ของความพยายามจากเจ้าปัญญาประดิษฐ์ ที่ต้องการเอาชนะในเกมหมากรุก เมื่อรู้ว่าจะแพ้ AI สามารถหาวิธีโกงได้เอง ด้วยการใช้วิธีในการ แฮก เข้าข้อมูลของเกมหมากรุก และ แก้ไขเกมเอง หรือ AI ที่สามารถพัฒนาขีดความสามารถเพื่อที่จะเอาชนะผู้เล่นหมากรุกในระดับแกรนด์มาสเตอร์ ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า AI มีพัฒนาการอย่างรวดเร็วชนิดที่หลายคนคิดไม่ถึง
แต่ในทุกความก้าวหน้าย่อมมีราคาที่ต้องจ่าย นวัตกรรม AI แม้จะทำให้เกิดเครื่องมือทางเทคโนโลยีจนทำให้ผู้ประกอบการหน้าใหม่ สามารถสร้างบริษัทตนเองได้ โดยใช้ทีมงานเพียงไม่กี่คนตามที่ เจฟฟรี่ บัสสแกง เขียนเอาไว้ในหนังสือ “The Experimentation Machine” หากความทันสมัยนี้มีราคาที่สังคมต้องจ่าย อาทิ ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับตลาดแรงงาน การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ที่ตกงานรวมไปถึง การละเมิดลิขสิทธิจากงานต้นฉบับ รวมไปถึงความเป็นไปได้ที่ AI จะควบคุมมนุษย์ในอนาคต
เพื่อรับมือกับเทคโนโลยีอันทรงพลังอย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) “กฎหมาย” คือทางออกหนึ่งที่ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการกำหนดแนวทางควบคุมและใช้งาน AI อย่างเหมาะสม สามารถสร้างประโยชน์ต่อสังคมได้มากกว่าความเสียหาย บทความนี้จึงมุ่งเน้นการทำความเข้าใจพัฒนาการของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ AI ในประเทศไทย วิเคราะห์ปัญหาที่กฎหมายต้องการแก้ไข และสำรวจแนวโน้มในการควบคุม AI ในอนาคต
• ความท้าทายด้านกฎหมายที่เกิดขึ้นจากเทคโนโลยี AI
ในปัจจุบันเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ได้ ท้าทายทั้งคำนิยามและหลักการดั้งเดิมของกฎหมายอย่างมาก ทั้งในส่วนของความเป็นเจ้าของ และ ความรับผิดชอบที่เกิดขึ้นจากการกระทำของ AI เนื่องจากคุณสมบัติเฉพาะของ AI คือเทคโนโลยีมีความเป็นอิสระและสามารถสร้างสรรค์ทุกอย่างได้เหมือนมีสมองเป็นของตนเอง ความฉลาดของเทคโนโลยีในระดับดังกล่าวจึงทำให้เกิดคำถามใหม่ขึ้นมาว่า “กฎหมายควรปฏิบัติต่อ AI ในฐานะนิติบุคคลอีกรูปแบบหนึ่ง หรือ ควรจะให้ผู้สร้างและผู้ใช้งานต้องรับผิดชอบต่อการกระทำที่เกิดขึ้นจากAI”
ยกตัวอย่าง หากมีผู้ใช้ AI โดยมีวัตถุประสงค์อันก่อให้เกิดความเดือดร้อนหรืออันตรายต่อสังคม บทลงโทษนอกเหนือจากผู้ใช้แล้ว นักพัฒนาผู้สร้าง AI นั้นขึ้นมาควรได้รับบทลงโทษเช่นเดียวกันหรือไม่
หรือประเด็นปัญหาเรื่อง “ความเป็นเจ้าของผลงาน” ที่ได้รับการถกเถียงเป็นอย่างมากในโซเชียลมีเดีย ด้วยปัจจุบันมีการสร้างผลงานด้วย AI กันอย่างแพร่หลายจึงเกิดคำถามขึ้นมาว่าใครที่ควรจะเป็นเจ้าของเนื้อหาที่ถูกสร้างขึ้น และกฎหมายลิขสิทธิ์จะเข้ามาเกี่ยวข้องแบบไหนและอย่างไร
นอกจากประเด็นดังกล่าวแล้วยังมีคำถามต่อมาว่า ในยุคที่การใช้ AI เป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันว่าควรจะมีกฎหมายเพื่อจะจำกัดความสามารถในการพัฒนาAI หรือไม่ เพราะหาก AI มีศักยภาพมากเกินไป อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและแรงงานโดยรวมเพราะในหลายบริษัทเริ่มที่จะใช้ AI แทนแรงงานคนกันแล้ว
จากประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้น จะเห็นได้ว่า AI เริ่มเข้ามามีบทบาทและส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้คนทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วยเช่นกัน แรงกระเพื่อมจากการเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ภาครัฐไทยเริ่มเข้ามาจัดการ ด้วยการร่างกฎหมายเพื่อควบคุมการใช้เทคโนโลยี AI ให้เกิดประโยชน์และลดผล กระทบในระยะยาว ขณะเดียวกันยังมีการวางยุทธศาสตร์ในระดับประเทศ เพื่อเตรียมความพร้อมและตั้งเป้าเป็นผู้นำด้านการใช้กฎหมายในการรับมือกับความท้าทายของยุค AI
• ประเทศไทยกับบทบาทผู้นำด้านนโยบาย AI ในอาเชียน
ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่ให้ความสำคัญอย่างจริงจังกับการพัฒนาเทคโนโลยี AI โดยมีการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรมมากที่สุดประเทศหนึ่งในภูมิภาค ภาครัฐไทยได้ตั้งเป้าหมายชัดเจนในการก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้าน นโยบาย AI ของอาเซียนภายในปี พ.ศ. 2580 (ค.ศ. 2037) ด้วยตระหนักว่า AI คือเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
แนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2561–2580) และนโยบาย “ไทยแลนด์ 4.0” ที่มุ่งเน้นการเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจของประเทศไปสู่ระบบที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม โดยมีการกำหนดกรอบแนวทางและแผนพัฒนา AI อย่างเป็นระบบ เพื่อให้สามารถตอบรับต่อการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
• ภาพรวมของสถานะกฎหมาย AI ในปัจจุบัน
แม้ประเทศไทยยังไม่มีการตรากฎหมายเฉพาะที่เกี่ยวกับการพัฒนาและการใช้ AI โดยตรง แต่ได้มีการเริ่มดำเนินการอย่างจริงจังในแนวทางที่เรียกว่า “กึ่งกฎหมาย” (soft law) ซึ่งคือแนวทางที่ไม่ผูกพันทางกฎหมาย โดยหน่วยงานภายใต้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นผู้จัดทำ เป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA)
และด้วยการทำงานที่ต้องพบกับความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีตลอดเวลานี้ ปัจจุบัน ได้มีการร่างกฎหมายสำคัญอีก 2 ฉบับ อันเป็นกฎหมายที่ส่งผลต่อการควบคุมการใช้ AI กับคนในสังคม อันได้แก่
1. (ร่าง) พระราชกฤษฎีกาการประกอบธุรกิจบริการที่ใช้งานระบบปัญญาประดิษฐ์
(ร่าง) พระราชกฤษฎีกานี้จัดทำโดยสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) ในปี พ.ศ. 2565 และจะออกภายใต้พระราชบัญญัติธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยให้อำนาจรัฐบาลกำหนดให้ผู้ให้บริการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์บางประเภทต้องแจ้ง ลงทะเบียน หรือขอรับใบอนุญาตก่อนเริ่มดำเนินกิจการ ร่าง พ.ร.ฎ. นี้เสนอให้ขยายข้อกำหนดดังกล่าวให้ครอบคลุมถึงธุรกิจที่ใช้ AI เพื่อควบคุมความปลอดภัยและความมั่นคง
ร่างนี้ได้รับอิทธิพลจากกฎหมาย AI ของสหภาพยุโรป (EU AI Act) ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2567 โดยแบ่ง AI ออกเป็น 3 ระดับความเสี่ยง ได้แก่:
• ความเสี่ยงที่ยอมรับไม่ได้ (Unacceptable Risk): เช่น ระบบให้คะแนนสังคม การเอาเปรียบกลุ่มเปราะบาง ห้ามใช้อย่างเด็ดขาด ยกเว้นบางกรณีเท่านั้น
• ความเสี่ยงสูง (High Risk): เช่น การให้คะแนนเครดิต การคาดการณ์อาชญากรรม การคัดเลือกบุคลากร ยานยนต์ไร้คนขับ ต้องลงทะเบียนล่วงหน้าและปฏิบัติตามมาตรการควบคุมความเสี่ยง
• ความเสี่ยงจำกัด (Limited Risk): เช่น แชทบอท ดีพเฟค (deepfake) ต้องแจ้งผู้ใช้ว่าเป็น AI
กฎระเบียบเหล่านี้ใช้เฉพาะกับระบบ AI ที่มุ่งให้บริการแก่ผู้บริโภคทั่วไป ไม่ครอบคลุมการวิจัยและพัฒนา
2. พระราชบัญญัติว่าด้วยการส่งเสริมและสนับสนุนนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์แห่งประเทศไทย
(ร่าง) พระราชบัญญัติ ฉบับนี้จัดทำโดยคณะกรรมการพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ มีเป้าหมายส่งเสริมการใช้งาน AI อย่างปลอดภัยและมีความรับผิดชอบ โดยให้สิ่งจูงใจ เช่น Regulatory Sandbox (พื้นที่ทดลองภายใต้การกำกับดูแล), โครงการเข้าถึงข้อมูล, และมาตรฐานทางเทคนิค เพื่อสนับสนุนการทดลอง AI ภายใต้กรอบกฎหมาย พร้อมการกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด ส่งเสริมทั้งนวัตกรรมและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
แม้ว่าจะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องหากยังมีการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับ (ร่าง)กฎหมายที่จะใช้กับ AI ของไทยว่าเน้นไปที่การเติบโตทางเศรษฐกิจ ต่างจากในสหภาพยุโรปที่ให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ทำให้มีข้อเสนอแนะจากนักวิชาการทางด้านกฎหมายที่มองว่ากฎหมาย AI ของไทย ควรหาจุดสมดุลระหว่างการส่งเสริมนวัตกรรมและการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนเพื่อให้มีการใช้กฎหมายได้อย่างยั่งยืน
• บทสรุป: สมดุลระหว่างกฎหมาย และการใช้ AI ในเมืองไทย
จากเนื้อหาในข้างต้นจะเห็นว่า หากประเทศไทยสามารถสร้างสมดุลได้อย่างเหมาะสม จะสามารถบรรลุเป้าหมายที่ระบุไว้ในแผนยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการด้าน AI แห่งชาติ (พ.ศ. 2565–2570) ที่ระบุว่า “ให้ AI เป็นกลไกขับเคลื่อนประเทศทั้งด้านเทคโนโลยีและเศรษฐกิจ เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน และแก้ไขปัญหาระดับชาติ”
ซึ่งในปัจจุบันเราเริ่มเห็นเป้าหมายนี้เป็นรูปธรรมผ่านโครงการเมืองอัจฉริยะทั้งในกรุงเทพฯ และ จังหวัดหัวเมืองอาทิ เชียงใหม่ ภูเก็ต หรือ ขอนแก่น ซึ่ง AI ได้ถูกนำมาใช้ในด้านต่างๆ เช่น การบริหารการจราจร การบริหารประสิทธิภาพของพลังงาน การจัดการกับขยะ การท่องเที่ยว รวมถึง ทางด้านสุขภาพ
แม้การควบคุมเทคโนโลยีที่ซับซ้อนอย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะยังเป็นเรื่องใหม่สำหรับหลายประเทศ และยังไม่มีต้นแบบที่ประสบความสำเร็จให้เห็นชัดเจน แต่ความพยายามของประเทศไทยในการผลักดันกฎหมายเพื่อรองรับ AI ถือเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนถึงการทำงานร่วมกันของภาครัฐ ผู้เชี่ยวชาญ และภาคประชาชน เพื่อร่วมกันวางรากฐานระบบกฎหมายที่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของสังคมอย่างมีวิสัยทัศน์
เพราะในวันที่เทคโนโลยีก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว คำถามสำคัญจึงไม่ใช่เพียงว่าเราจะควบคุม AI อย่างไร แต่อาจต้องย้อนกลับมาถามว่า เราจะใช้กฎหมายและจริยธรรมอย่างไร เพื่อให้มนุษย์ยังคงเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา โดยไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง