xs
xsm
sm
md
lg

เล่ห์เหลี่ยมจอมเผด็จการฮุนเซน ยึดประเทศชาติไม่ใช่สัมพันธ์ส่วนตัว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ

ความขัดแย้งในข้อพิพาทเรื่องดินแดนระหว่างไทยกับเขมรทั้งทางบกทางทะเลยากจะจบลงได้ ดังนั้นไม่ว่า MOU2543 และ MOU 2544 ก็ไม่มีความหมาย เพราะในพื้นที่ทางบกนั้นต่างฝ่ายถือแผนที่คนละฉบับทางไทยยึดแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 50,000 ส่วนเขมรยึดแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000

แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ที่เขมรอ้างอิงมีที่มาจาก สนธิสัญญาฝรั่งเศส-สยาม ค.ศ. 1904 และ 1907 ซึ่งจัดทำโดยคณะกรรมาธิการปักปันเขตแดน (Delimitation Commission) ที่นำโดยฝรั่งเศสในช่วงที่กัมพูชาเป็นรัฐในอารักขาของฝรั่งเศส แผนที่ชุดนี้เป็นส่วนหนึ่งของชุดแผนที่ที่เรียกว่า Annex I

ฝ่ายไทยชี้ว่าความละเอียดต่ำของแผนที่ 1:200,000 ทำให้เกิดความคลาดเคลื่อน โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเส้นแบ่งน้ำตามธรรมชาติที่กำหนดในสนธิสัญญา และยืนยันว่าแผนที่นี้จัดทำโดยฝรั่งเศสฝ่ายเดียว และไม่มีการสำรวจร่วมอย่างละเอียดในช่วงนั้น

ส่วนไทยใช้แผนที่มาตราส่วน 1:50,000 ของไทยจัดทำโดย กรมแผนที่ทหาร (Royal Thai Survey Department) และหน่วยงานสำรวจภูมิประเทศของไทยในช่วงศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะหลังสงครามโลกครั้งที่สอง แผนที่ชุดนี้พัฒนาขึ้นจากการสำรวจภาคสนามและการใช้เทคโนโลยีการทำแผนที่สมัยใหม่ในขณะนั้น รวมถึงการสนับสนุนจากหน่วยงานสำรวจของสหรัฐฯ เช่น U.S. Army Map Service

ฝ่ายไทยชี้ว่าการใช้มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งมีความละเอียดต่ำเมื่อเทียบกับ 1:50,000 ทำให้รายละเอียด เช่น เส้นแบ่งน้ำ (watershed) หรือจุดอ้างอิงขนาดเล็กอาจไม่ชัดเจน แผนที่ 1:50,000 มีความแม่นยำสูงกว่าและสะท้อนการสำรวจที่ทันสมัยกว่าเมื่อเทียบกับแผนที่ 1:200,000 จากยุคฝรั่งเศส และแผนที่ 1:50,000เป็นมาตรฐานสากลที่ใช้ในการปักปันเขตแดนในพื้นที่ที่มีความซับซ้อน

มาตราส่วน 1:50,000 เป็นมาตราส่วนที่ใช้กันมากที่สุด ในการกำหนดเขตแดนระหว่างประเทศทั่วโลก เนื่องจากมีความแม่นยำ แผนที่ 1:50,000 มีความละเอียดเพียงพอในการระบุจุดอ้างอิงทางภูมิศาสตร์ เช่น เส้นแบ่งน้ำ, หลักเขต, หรือลักษณะภูมิประเทศที่สำคัญ ซึ่งมักถูกใช้ในสนธิสัญญาระหว่างประเทศ และเป็นมาตราส่วนที่ใช้กันอย่างแพร่หลายตามมาตรฐานสากลในงานสำรวจภูมิประเทศ (topographic mapping) โดยหน่วยงานทำแผนที่ เช่น U.S. Geological Survey (USGS) หรือหน่วยงานในยุโรปและเอเชีย

พูดกันได้ว่าไม่มีใครเขาเอาแผนที่มาตราส่วน 1: 200,000 ที่ตกค้างมาจากยุคอาณานิคมที่เทคโนโลยียุคนั้นยังไม่ทันสมัยมาใช้แล้ว

ในขณะที่ในทางทะเลนั้นไทยยึด อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล (UNCLOS) ปี 1982 เป็นหลักในการกำหนดเขตแดนทางทะเล โดยใช้หลักเส้นกึ่งกลาง (Median Line) ในการแบ่งเขตไหล่ทวีป ไทยมองว่าแนวพิกัดของกัมพูชาในปี 2515 ไม่สอดคล้องกับ UNCLOS และไม่ยอมรับว่ามีผลผูกพัน ส่วนฝ่ายกัมพูชาไม่ได้ยึด UNCLOS ที่เป็นสากลเป็นหลักอย่างชัดเจนในการเจรจา MOU 44 แต่กลับอ้างแนวพิกัดที่กำหนดในปี 2515 ซึ่งอิงตามสนธิสัญญาฝรั่งเศส-สยามและการตีความของตนเอง

ดังนั้น MOU ทั้งสองฉบับไม่มีความหมายเลย ตราบที่ต่างฝ่ายต่างใช้กันคนละกติกาจึงไม่มีทางที่จะเกมเดียวกันได้ เหมือนอีกฝ่ายถือกติกาของฟุตบอล อีกฝ่ายคือกติกาของบาสเกตบอล ดังนั้นการเจรจาไม่มีวันได้ข้อยุติ ทางเดียวที่ควรทำคือยกเลิก MOU ทั้งสองฉบับจนกว่าทั้งสองฝ่ายจะเล่นกันด้วยกติกาเดียวกัน ถ้าการเจรจาปักปันเขตแดนไม่จบก็ให้มันคาราคาซังไป ทรัพยากรทางทะเลก็ไม่ต้องขุดขึ้นมาใช้ให้มันอยู่ของมันไปอย่างนั้น

แม้ว่าเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ที่ผ่านมาเขมรจะนำเรื่องข้อพิพาทพรมแดนกับไทยขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ(International Court of Justice-ICJ)ในกรณีพื้นที่พิพาทตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด ตาควาย สามเหลี่ยมมรกต และช่องบก ก็ปล่อยให้เขมรเขาว่าไปครับเราไม่ต้องไปสนใจ

เพราะการนำความขัดแย้งระหว่างประเทศขึ้นสู่ ICJ นั้น มีหลักเกณฑ์ที่สำคัญเกี่ยวกับ “เขตอำนาจศาล (jurisdiction)” ซึ่งหมายถึงว่าศาลจะสามารถพิจารณาคดีได้หรือไม่ ต้องขึ้นอยู่กับว่า “คู่กรณีทั้งสองฝ่ายยอมรับเขตอำนาจของศาลหรือไม่”

คำถามว่าศาลจะพิจารณาคดีโดยฟังคำร้องฝ่ายเดียวได้หรือไม่ คำตอบคือ ไม่ได้ โดยทั่วไป ศาล ICJ ไม่สามารถพิจารณาคดีได้ หากอีกฝ่ายหนึ่งไม่ยอมรับเขตอำนาจของศาล (ไม่มี “consent to jurisdiction”) เว้นแต่จะมีกรณีพิเศษที่อีกฝ่ายได้แสดงเจตนาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะยอมรับเขตอำนาจของศาล เช่น มีสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่กำหนดให้ศาล ICJ เป็นที่พึ่งตัดสินหากเกิดข้อพิพาท หรือทั้งสองฝ่ายได้ให้การยอมรับเขตอำนาจของศาลไว้ล่วงหน้า (optional clause declarations)

ส่วนถ้าศาลพิจารณาคดีโดยมีเพียงฝ่ายเดียว ผลจะมีผลผูกพันอีกฝ่ายหรือไม่ คำตอบคือ โดยหลักแล้วไม่ผูกพันอีกฝ่าย หากฝ่ายนั้น ไม่เคยยอมรับเขตอำนาจศาล หากศาลพิพากษาในกรณีที่มีเขตอำนาจและมีเพียงฝ่ายเดียวเข้าร่วม (อีกฝ่ายไม่มาต่อสู้คดี) ศาลอาจยังคงตัดสินได้ แต่จะพิจารณาก่อนว่า ตนมีเขตอำนาจจริงหรือไม่ ถ้าไม่มีเขตอำนาจ ศาลจะไม่พิจารณาคดี ส่วนถ้ามีเขตอำนาจ ศาลอาจตัดสินคดีแม้มีฝ่ายเดียว แต่คำตัดสินนั้น มีผลผูกพันเฉพาะเมื่อมีเขตอำนาจอย่างถูกต้อง

การอยู่ในอำนาจยาวนานทำให้ฮุน เซน มีอำนาจคับประเทศจนระบอบกษัตริย์กลายเป็นเพียงสัญลักษณ์ ปี 2528 ฮุนเซนได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งกัมพูชา ขณะอายุเพียง 33 ปี ซึ่งทำให้เขาเป็นหนึ่งในผู้นำที่อายุน้อยที่สุดในโลกในขณะนั้น หลังอยู่ในอำนาจถึง 38 ปี ปี 2566 ฮุนเซนประกาศสละตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและส่งต่ออำนาจให้ ฮุน มาเนต ลูกชายคนโต ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีในวันที่ 22 สิงหาคม 2566 หลัง CPP ชนะการเลือกตั้ง การถ่ายโอนนี้ถูกมองว่าเป็นการสืบทอดอำนาจแบบราชวงศ์ โดยฮุน มาเนต ได้รับการปลุกปั้นตั้งแต่เป็นนายพล 4 ดาวและผู้บัญชาการกองทัพบก

กลยุทธ์การรักษาอำนาจการใช้กองทัพและความมั่นคงฮุนเซนควบคุมกองทัพและหน่วยงานความมั่นคงอย่างเด็ดขาด โดยแต่งตั้งลูกชาย ฮุน มานิธ เป็นหัวหน้าหน่วยข่าวกรองทหาร เขาใช้กองทัพข่มขู่ฝ่ายค้านและกลุ่มต่อต้านทำให้เขาคงอำนาจได้อย่างมั่นคง และเป็นจอมเผด็จการโดยแท้

เพื่อรักษาอำนาจทางการเมืองหรือมีความไม่มั่นคงเขาจะใช้การปลุกกระแสชาตินิยมโดยใช้ประเด็นข้อพิพาทชายแดน เช่น กรณีปราสาทพระวิหาร (ชนะคดีศาลโลกปี 2505 และ 2556) และเกาะกูด เพื่อปลุกกระแสชาตินิยมในกัมพูชา เบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาภายใน และปราบปรามฝ่ายค้านโดยการจับกุมนักเคลื่อนไหว ควบคุมสื่อ และยุบพรรคฝ่ายค้าน เช่น CNRP ทำให้ไม่มีการท้าทายอำนาจอย่างมีนัยสำคัญ

ฮุน เซน ใช้กลยุทธ์สร้างกระแส “ชาตินิยม” เป็นเครื่องมือเพื่อรักษาอำนาจ โดยเฉพาะการปลุกกระแสต่อต้านชาติเพื่อนบ้านอย่างไทยหรือเวียดนาม เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาภายในประเทศ

ตระกูลฮุนควบคุมสื่อหลัก เช่น Bayon TV (บริหารโดยฮุน มาเนต) และมีส่วนในธุรกิจหลากหลาย เช่น อสังหาริมทรัพย์ โทรคมนาคม และคาสิโน การให้สัมปทานและผลประโยชน์แก่พันธมิตรและญาติ เช่น Huione Group (บริหารโดยฮุน โต) ช่วยสร้างฐานอำนาจทางเศรษฐกิจ

Huione Group ของฮุน โตถูกกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำในปี 2025 ฐานฟอกเงินให้กับกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติ รวมถึงแฮกเกอร์เกาหลีเหนือและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับบ่อนคาสิโนในเขมร จากการที่ฮุน โต มีส่วนในธุรกิจที่มีความเกี่ยวข้องกับกิจกรรมสีเทา เช่น การพนันและการฟอกเงิน สะท้อนถึงอิทธิพลของตระกูลฮุนในเศรษฐกิจเขมร โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนอย่างปอยเปต

ในขณะที่ประชาชนชาวเขมรส่วนใหญ่ยังมีความยากจน มีค่าแรงที่ต่ำต้องมาทำงานในประเทศไทย แต่ฮุนเซนและเครือญาติมีความมั่นคั่งมาก การผูกขาดอำนาจโดยตระกูลฮุนและพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) นำไปสู่การกล่าวหาว่ามีการทุจริตและการกีดกันโอกาสทางเศรษฐกิจสำหรับประชาชนทั่วไป พูดง่ายๆว่าตระกูลและเครือญาติของเขาร่ำรวยจากหยาดเหงื่อและน้ำตาของคนในชาติ

ถามว่า การไม่ยอมรับศาล ICJ ดูเหมือนเราไม่ยอมรับกติกาสากลไหมไม่ใช่เลย เพราะในโลกนี้มีประเทศยอมรับเขตอำนาจบังคับของ ICJ เพียง 74 ประเทศ (เช่น ออสเตรเลีย, แคนาดา, เยอรมนี) และไม่ยอมรับเขตอำนาจบังคับถึง 119 ประเทศ (เช่น สหรัฐฯ, จีน, รัสเซีย, อิสราเอล)

คลิปหลุดของอุ๊งอิ๊ง แพทองธารนั้นสะท้อนว่า เสือเฒ่าอย่างฮุนเซนคิดถึงผลประโยชน์ของชาติตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่สายสัมพันธ์กับตระกูลชินวัตร และความชอบธรรมของอุ๊งอิ๊งนั้นหมดลงแล้ว เมื่อเห็นว่า เธอคำนึงถึงความอยู่รอดของตัวเองมากกว่าประเทศชาติ และน่าจะรู้ตัวเสียทีว่าความรู้ความสามารถสติปัญญาของตัวเองนั้นไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี

ติดตามผู้เขียนได้ที่https://www.facebook.com/surawich.verawan


กำลังโหลดความคิดเห็น