สงครามโลก-ไม่สงครามโลก...นับจากนี้ ก็น่าจะขึ้นอยู่กับ “ความบ้า” บวกกับ “ความกะล่อน” ของผู้นำอเมริกาอย่าง“ทรัมป์บ้า” นั่นแหละทั่น!!! ว่าจะเอาไงกันแน่...สำหรับ“สงครามระหว่างอิหร่าน-อิสราเอล” ที่ต่างฝ่ายต่างตั้งหน้าตั้งตาดวลจรวด ดวลโดรน สาดใส่กันและกันมาร่วมๆ เกือบสัปดาห์เข้าไปแล้ว และยังไม่มีทีท่าว่าคิดจะยุติกันง่ายๆ เพราะแต่ละรายต่างเปียกม่อล่อกม่อแล่ก อันเนื่องมาจากสิ่งที่เรียกว่า “สงคราม” ที่ไม่ต่างอะไรไปจากการสาดน้ำเข้าใส่กันและกันของทั้งสองฝ่าย...นั่นแล!!!
การตัดสินใจโดดเข้าร่วมกับฝ่ายใด-ฝ่ายหนึ่งของคุณพ่ออเมริกา เพื่อหวังให้ “สงคราม” เป็นไปในทิศทางที่ตัวเองปรารถนาและต้องการ แม้ว่าจะถือเป็น “มหาอำนาจสูงสุด” ที่เต็มไปด้วยแสนยานุภาพและศักยภาพทางการทหารเพียงใดก็ตาม แต่ในเมื่อโลกใบนี้...มันได้กลายเป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ชนิดยากจะเปลี่ยนให้กลับไปเป็น “โลกขั้วอำนาจเดียว” แบบเดิมๆ ได้ง่ายๆ มหาอำนาจสูงสุดอย่างอเมริกา จึงถือเป็นเพียง “ขั้วอำนาจ” อีกขั้วหนึ่งเท่านั้นเอง ที่ยังไงๆ...ย่อมมิอาจปฏิเสธถึงการมีอยู่ของขั้วอำนาจอื่นๆ โดยเฉพาะ “มหาอำนาจคู่แข่ง” อย่างคุณพี่จีนและคุณน้ารัสเซีย ที่มีความใกล้ชิดติดพันกับอิหร่าน จนไม่น่าจะยอมปล่อยให้ประเทศที่ถือเป็น “หุ้นส่วนยุทธศาสตร์” หรือประเทศที่มี “ข้อตกลงทางการค้ายาวนานถึง 20 ปี” อย่างอิหร่าน มีอันต้องพังพินาศไปตามความปรารถนา-ความต้องการของคุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์อย่างอิสราเอล ด้วยการยอมที่จะ “เอามือซุกหีบ” ไว้เฉยๆ???
ส่วนถ้าดูจากอากัปกิริยา จากลักษณะ ท่าทีของผู้นำอเมริกาในช่วงระหว่างนี้...ก็คงต้องยอมรับอีกนั่นแหละว่าออกจะยากเอามากๆ ที่จะหา “ข้อสรุป” ได้ชัดเจน เพราะการ “เปลี่ยนไป-เปลี่ยนมา” วันนี้พูดอย่าง-พรุ่งนี้พูดอีกอย่างอาจต้องถือเป็น “ลักษณะพิเศษ” หรือ “ลักษณะเฉพาะ” ของ “ทรัมป์บ้า” ที่แทบไม่มีใครสามารถลอกเลียนแบบได้เลย เนื่องจากตัวของตัวเองก็ยังแทบไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร? หรือเป็นอะไร? กันแน่!!!
ดังนั้น...ข่าวคราวความเคลื่อนไหวของแสนยานุภาพทางทหารสหรัฐฯ ไม่ว่าการเคลื่อนเรือบรรทุกเครื่องบินลำที่ 3 “USS Navy’s Nimitz” จากทะเลจีนใต้มุ่งหน้ามายังภูมิภาคตะวันออกกลาง หรือการส่งเครื่องบินเติมน้ำมันกลางอากาศจำนวนเกือบ 30 ลำบินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกมายังตะวันออกกลาง ตามรายงานของ “Military Watch Magazine” เมื่อช่วงวันจันทร์ที่ 16 มิ.ย.ที่ผ่านมา ไปจนการออกมาโพสต์ ออกมาทวีต หรือออกมา “ขู่” ให้ผู้คนนับเป็นล้านๆ รีบหนีออกไปจากกรุงเตหะรานโดยเร็วที่สุด ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้จะไปสรุปรวมความว่าผู้นำอเมริกาพร้อมแล้วที่จะโดดเข้าร่วมสงครามกับอิหร่าน ตามคำร้องขอของพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์อย่างอิสราเอล ดังที่สำนักข่าว “Axios” ได้นำเสนอไว้ก่อนหน้านั้น ก็ยังไม่ถึงกับพูดได้เต็มปาก-เต็มคำ มากมายสักเท่าไหร่นัก...
แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...ความปรารถนา-ความต้องการของ“ทรัมป์บ้า” กับความปรารถนา-ความต้องการของพันธมิตรอย่างอิสราเอลต่ออิหร่านนั้น น่าจะเป็นสิ่งเดียวกัน คือต้องการให้รัฐอิสลามแห่งนี้ต้องฉิบหาย-วายวอดลงไปให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ด้วยเหตุนี้...การหยิบเอาเรื่องการสร้าง “อาวุธนิวเคลียร์” ของอิหร่าน ที่อิสราเอลเคยพูดเอาไว้ตั้งแต่เมื่อ 40 กว่าปีที่แล้ว ว่า “ใกล้แล้ว-ใกล้แล้ว” อะไรทำนองนั้น มารีวายเทปกลับไป-กลับมากันอีกในช่วงนี้ จึงเป็นสิ่งที่ผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ยังคงนำมาใช้เป็นเหตุผล-ข้ออ้าง ไม่ว่าในการเปิดโต๊ะเจรจากับอิหร่านไปแล้ว 5 ครั้งหรือภายใน 60 วัน รวมทั้ง “ความเป็นไปได้” ที่จะเข้าร่วม-ไม่เข้าร่วมกับอิสราเอลในการถล่มอิหร่านให้แหลกยับเยินลงไปให้จงได้......
ทั้งๆ ที่ผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติอเมริกา ที่ตัวเองตั้งมากับมืออย่าง “นางTulsi Gabbard” เพิ่งออกมาย้ำเอาไว้ชัดเจนเมื่อช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี่เองว่า... “อิหร่านไม่ได้คิดสร้างอาวุธนิวเคลียร์และผู้นำสูงสุดทางจิตวิญญาณอย่าง Ayatollah Ali Khamenei ไม่อนุญาตด้วยเหตุผลทางศาสนาให้ประเทศอิหร่านดำเนินโครงการเหล่านี้ มาตั้งแต่ปีค.ศ. 2003 เป็นต้นมา...” แต่ก็นั่นแหละ...เมื่อถูกผู้สื่อข่าวตั้งคำถามถึงคำพูด คำจา ของผู้อำนวยการข่าวกรองในลักษณะเช่นนี้ ผู้ที่พูดอย่าง-ทำอย่าง หรือพูดแบบเปลี่ยนไป-เปลี่ยนมา อย่าง “ทรัมป์บ้า” ก็เลยหันไปแฉลบออกข้าง ด้วยการสรุปว่า“ผมไม่จำเป็นต้องสนใจ...ว่าผู้หญิงคนนั้น(ผู้อำนวยการข่าวกรอง) จะพูดอะไรออกมา” นี่...ต้องเรียกว่าบ้า-ไม่บ้าก็แล้วแต่ แต่ที่แน่ๆ ก็คือน่าจะ “กะล่อน” แบบหาตัวจับยากเอาเลยทีเดียว...
อย่างไรก็ตาม...แนวโน้มที่ประเทศซึ่งมีอธิปไตยเป็นของตัวเองอย่างอิหร่าน เขาจะยอมแพ้ ยอมศิโรราบ ยอมถูกบีบบังคับให้ต้องยกเลิกโครงการนิวเคลียร์ใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าสันติ-ไม่สันติ มาถึงช่วง ณ ขณะนี้...ก็ยังมองไม่เห็นแนวโน้มดังกล่าวเอาเลยแม้แต่น้อย แม้จะมีการทยอยออก “ข่าวล่า-ข่าวลือ” ว่าฝ่ายอิหร่านเริ่มขอร้อง วิงวอน ขอให้หยุดยิง ขอให้เจรจาออกมาถี่ๆไม่เว้นแต่ละวัน คือแม้ต้องแหลกยับเยินกันไปแล้วเท่าไหร่? หรือขนาดไหน? ก็ตาม แต่เท่าที่ฟังจากน้ำเสียง จากกิริยา อาการของบรรดาฝ่ายความมั่นคงทั้งหลายของอิหร่าน ก็ดูจะยังคง“ฮึดสู้” แบบชนิด “ตาย-เป็ง-ตาย” ไม่ได้คิดจะถอดเขี้ยว ถอดใจ เอาเลยแม้แต่น้อย...
อย่างเมื่อช่วงวันอังคารที่ผ่านมานี่เอง (17 มิ.ย.) หรือหลังจากที่ชาวอิหร่านตายไปแล้วกว่า 200 บาดเจ็บเกือบพัน ผู้นำทางทหาร นักวิทยาศาสตร์ พลเรือนเด็ก-ผู้หญิง-คนแก่ คนชรา ฯลฯ ต้องล้มตายเพราะความเหี้ยมของกองทัพอิสราเอล หรือต้องเผ่นออกจากกรุงเตหะรานกันเป็นสายๆ แต่โฆษกกระทรวงกลาโหมอิหร่าน “Reza Talaei-Nik” รวมทั้งผู้บัญชาการกองกำลังภาคพื้นดิน “Kioumars Heidari” ยังพร้อมที่จะออกมายืนหยัด-ยืนยัน ถึงการงัดเอา “ขีปนาวุธรุ่นล่าสุดที่อิหร่านยังไม่เคยใช้มาก่อน” ออกมาสาด มาดวล กับอิสราเอล ภายในอีกไม่กี่ชั่วโมงนับจากนี้ อีกทั้งยังได้ปรามาสเอาไว้ด้วยว่า ประเทศอิสราเอลอันมีพื้นที่แคบๆ มีสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานเพียงแค่ไม่กี่อย่างนั้น...ไม่อาจทำ “สงครามระยะยาว” ได้เลยอิหร่านจึงพร้อมแล้วที่จะ “หักกระดูกสันหลัง” ของระบอบปกครองไซออนิสต์ ให้ตางโหง-ตายห่ากันไปข้าง!!!
นี่...เป็นไปได้-เป็นไปไม่ได้ คงต้องเก็บไปคิดๆ ตาม“รสนิยม” ของใคร-ของมันกันเอาเอง แต่ก็คงต้องยอมรับนั่นแหละว่าสิ่งที่เรียกว่า “สงคราม” นั้น คงไม่ได้อะไรไปจากการสาดน้ำใส่กัน ที่ต่างฝ่ายต่างหนีไม่พ้นต้องเปียกมาก-เปียกน้อยกันไปตามสภาพ และความเปียกของฝ่ายอิสราเอลนั้น ก็ออกจะเฉอะแฉะ แฉะแหมะ ไม่น้อยเอาเลยทีเดียว ไม่ว่าศูนย์บัญชาการทางทหาร หน่วยงานข่าวกรอง สิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐาน พลังงาน หรือกระทั่งสถาบันทางวิทยาศาสตร์ อย่าง“Weizmann Institute of Science” ที่มีความสำคัญเอามากๆต่อวิทยาศาสตร์ทางการทหาร ยังถูกฝ่ายอิหร่านเขาแก้แค้น-เอาคืน ชำระบัญชีแทนนักวิทยาศาสตร์อิหร่านที่ถูกเด็ดหัวไปก่อนหน้านี้ จนต้องพังพินาศ ยับเยิน ไม่ต่างไปจากเป้าหมายอื่นๆ นั่นยังไม่รวมไปถึงชาวอิสราเอลที่ออกจะ “เบื่อสงคราม” และ “เบื่อผู้นำ” ตัวเอง อย่าง “นายBenjamin Netanyahu” เอามากๆ ที่หนีไม่พ้นต้องบาดเจ็บ ล้มตาย นับเป็นหลักร้อยใกล้ๆ จะถึงหลักพันอีกเมื่อไหร่? ตอนไหน? ก็ยังมิอาจสรุปได้...
อีกทั้งยังทำให้ประเทศอิสราเอลเป็นอะไรที่ “น่าเกลียด-น่าชัง” ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ในสายตาชาวโลกทั้งหลาย ไม่ว่าด้วยการ“ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ชาวปาเลสไตน์ ในลักษณะที่แทบไม่ต่างไปจากสิ่งที่ “ชาวยิว” เคยเจอมาก่อนในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2การปฏิเสธ “แนวทางสันติภาพ” ของโลกทั้งโลก ที่พร้อมจะสนับสนุนให้เกิด “รัฐปาเลสไตน์” ตามแบบฉบับที่เรียกๆ กันว่า“The Two-State Solution” ถึง 147 ประเทศ ยกเว้นอิสราเอลและพันธมิตรอย่างคุณพ่ออเมริกาเท่านั้นเอง ดังนั้น...การโดดเข้าร่วมวงสงครามกับอิหร่านของอเมริกา ไม่ว่าด้วยการฉุดลากกระชากถูของอิสราเอลหรือด้วยความ “บ้า...ก็...บ้าวะ” ของ“ทรัมป์บ้า” ที่มิอาจฝืนความปรารถนา-ความต้องการของพวก“Deep State” ได้เลย ย่อมทำให้โอกาสที่อเมริกาอาจต้องพลอย “เจ๊ง...ไปด้วย” ย่อมมีความเป็นไปได้ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น...
หรือดังที่เหยี่ยวข่าวระดับโลกชาวอเมริกัน
อย่าง“นายTucker Carlson” ท่านได้ออกมาเตือนๆ เอาไว้ก่อนล่วงหน้านั่นแหละว่า... “การเข้าสู่สงครามอิหร่าน-อิสราเอลของอเมริกา จะทำให้จักรวรรดิอเมริกาอาจต้องล่มสลายลงไปต่อหน้า-ต่อตาและจะกลายเป็นการสิ้นสุดความเป็นประธานาธิบดีของโดนัลด์ ทรัมป์” เช่นเดียวกับอดีตที่ปรึกษาและผู้ที่มีส่วนสำคัญเอามากๆ ในการช่วยให้ “ทรัมป์บ้า” สามารถผงาดขึ้นเป็นประธานาธิบดีอเมริกันสมัยแรก นั่นคือ “นายSteve Bannon” ที่ออกมาสะกิดต่อมสติและสัมปชัญญะ ของผู้ที่ตัวเองเคยช่วยเหลือเอาไว้ประมาณว่า... “เพราะอิสราเอลนั้นยึดหลัก Israel First อย่างไม่คิดผันแปรไปเป็นอื่น ดังนั้นอเมริกา...จึงควรต้องยึดหลัก America First” ด้วยการไม่โดดเข้าร่วมสงครามอิหร่าน อันอาจทำให้ตัวเองพลอย “เจ๊ง” ตามอิสราเอลไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้...
ยิ่งโดยเฉพาะหลังๆ นี้...สังคมอเมริกันที่ได้กลายเป็นสังคมห้ามพูด ห้ามฟรีสปีช ห้ามด่าอิสราเอลได้โดยเด็ดขาด ส่งผลให้บรรดาอเมริกันชนเห็นว่าไม่น้อยกว่า 5 ล้านคน 10 ล้านตีน เลยชักทนไม่ไหว ต้องกรูออกมา “No Kings” กันเป็นที่สับสนอลหม่าน เมื่อช่วงวันเสาร์ที่ผ่านมา (14 มิ.ย.) เรียกว่า...ไม่น้อยไปกว่าบรรดาลูกหลานชาวยิวนับจำนวนล้านๆ ที่เคยออกมาแห่ไล่ผู้นำอิสราเอลก่อนหน้านี้ จนอาจนำไปสู่ความ “เจ๊งด้วยกันทั้งคู่” เอาเลยก็ไม่แน่!!!