ฮุนเซนถูกมองว่าเป็นผู้นำที่มีแนวทางอำนาจนิยมใช้อำนาจในการควบคุมกลไกรัฐทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกองทัพ ศาล ตำรวจและสื่อมวลชนฝ่ายค้านมองว่าเขาไม่ยอมรับความเห็นต่างและใช้กลไกรัฐในการกวาดล้างคู่แข่งทางการเมือง เช่น การยุบพรรคฝ่ายค้าน (เช่น พรรคกู้ชาติกัมพูชา - CNRP) และการจับกุมนักการเมืองและนักเคลื่อนไหว
มีข้อวิจารณ์ว่าระบบการเลือกตั้งภายใต้ฮุนเซนขาดความเป็นธรรมการเลือกตั้งถูกจัดขึ้นโดยที่ไม่มีฝ่ายค้านที่แท้จริงทำให้ประชาชนบางส่วนรู้สึกว่าเป็น “ประชาธิปไตยจอมปลอม”หลายคนเชื่อว่าฮุนเซนอยู่ในอำนาจนานเพราะใช้วิธีการข่มขู่ซื้อเสียงหรือควบคุมกระบวนการเลือกตั้ง
มีการกล่าวหาว่าภายใต้การบริหารของฮุนเซนมีการคอร์รัปชันอย่างเป็นระบบ ทรัพยากรของประเทศถูกควบคุมโดยกลุ่มชนชั้นนำที่ใกล้ชิดกับรัฐบาลกลุ่มทุนบางกลุ่มที่มีสายสัมพันธ์กับฮุนเซนและครอบครัวได้สิทธิในการลงทุนในพื้นที่สำคัญ เช่น เหมืองแร่ ป่าไม้ และที่ดินส่งผลให้ประชาชนระดับรากหญ้าถูกกดทับและไร้ที่ดินทำกิน
การส่งต่ออำนาจให้ลูกชายฮุน มาเนตในปี 2023 ถูกมองว่าเป็นการสถาปนาระบอบ “ราชวงศ์ทางการเมือง” ซึ่งขัดกับหลักการประชาธิปไตยประชาชนบางส่วนและฝ่ายค้านวิจารณ์ว่าประเทศกลายเป็นสมบัติเฉพาะกลุ่มของตระกูลฮุน
แม้จะมีเสียงไม่พอใจในสังคมแต่หลายคนไม่กล้าแสดงออกเนื่องจากเกรงกลัวการจับกุมการคุกคามหรือผลกระทบทางสังคมบรรยากาศของความหวาดกลัวและการเซ็นเซอร์ทำให้เสียงของฝ่ายค้านและประชาชนทั่วไปถูกจำกัด
ฝ่ายค้านและประชาชนที่ไม่เห็นด้วยมองว่าฮุนเซนเป็นผู้นำที่ใช้อำนาจกดขี่ขาดความชอบธรรมทางประชาธิปไตย และพยายามสืบทอดอำนาจให้ครอบครัวซึ่งส่งผลกระทบต่อเสรีภาพความโปร่งใสและความเป็นธรรมในสังคม
การที่ครอบครัวฮุนควบคุมทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และกองทัพทำให้เกิดการเปรียบเทียบว่าบ้านของตระกูลฮุน “ไม่ต่างจากวัง” ซึ่งบ่งชี้ถึงอิทธิพลที่ครอบคลุมทุกด้านของประเทศ
กล่าวกันว่าฮุนเซนมีอิทธิพลเหนือระบอบกษัตริย์เพราะฮุนเซนมีอำนาจเหนือกว่าสถาบันกษัตริย์อย่างชัดเจน โดยกษัตริย์มีบทบาทจำกัดและอยู่ภายใต้อิทธิพลของเขาแม้ว่าจะไม่มีการเคลื่อนไหวเพื่อยกเลิกระบอบกษัตริย์ก็ตาม การควบคุมทั้งด้านการเมืองและกองทัพทำให้ฮุนเซนและครอบครัวมีอิทธิพลเด็ดขาดในเขมร
สถาบันกษัตริย์ในเขมรโดยเฉพาะสมเด็จพระนโรดมสีหมุนีมีบทบาทเชิงสัญลักษณ์ และมีอำนาจจำกัดภายใต้รัฐธรรมนูญฮุนเซนมีอิทธิพลอย่างมากในฐานะผู้นำที่ควบคุมทั้งรัฐบาลและกองทัพทำให้สถาบันกษัตริย์แทบไม่มีอำนาจในการต่อต้านหรือท้าทายอำนาจของเขา
ฮุนเซนเคยวิจารณ์สมเด็จพระนโรดมสีหนุ (บิดาของกษัตริย์องค์ปัจจุบัน) ในช่วงที่พระองค์มีบทบาททางการเมืองโดยเฉพาะในทศวรรษ 1990 เมื่อสีหนุพยายามเป็นตัวกลางในการเจรจาทางการเมืองระหว่างฝ่ายต่างๆ ฮุนเซนมองว่าการแทรกแซงของสีหนุอาจลดทอนอำนาจของรัฐบาลที่เขานำ
ฮุนเซนเคยแสดงความเห็นในลักษณะที่บ่งบอกว่ากษัตริย์สีหมุนีควรมีบทบาทจำกัดในฐานะสัญลักษณ์ของชาติ โดยไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองตัวอย่างเช่นในช่วงที่เกิดความขัดแย้งทางการเมืองในเขมร ฮุนเซนมักเน้นย้ำว่ารัฐบาลและพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) เป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจหลักไม่ใช่สถาบันกษัตริย์
ฮุนเซนไม่ได้วิจารณ์ระบอบกษัตริย์โดยตรงในลักษณะที่เรียกร้องให้ยกเลิก แต่เขาเคยกล่าวในเชิงเปรียบเทียบว่าอำนาจที่แท้จริงของเขมรอยู่ที่รัฐบาลและประชาชนไม่ใช่สถาบันกษัตริย์ ตัวอย่างเช่นในสุนทรพจน์บางครั้งเขาเน้นย้ำว่าระบอบประชาธิปไตยที่นำโดยพรรค CPP เป็นรากฐานของความมั่นคงไม่ใช่การพึ่งพากษัตริย์
แม้รัฐธรรมนูญเขมรจะบัญญัติให้กษัตริย์เป็นจอมทัพแต่ในทางปฏิบัติอำนาจควบคุมกองทัพอยู่ในมือของนายกรัฐมนตรีและพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) ซึ่งฮุนเซนเป็นผู้นำมาอย่างยาวนานก่อนจะส่งต่อให้ลูกชายกองทัพเขมรในปัจจุบันไม่ได้มีความจงรักภักดีต่อกษัตริย์เป็นหลักหากแต่ภักดีต่อพรรค CPP และผู้นำสูงสุดซึ่งก็คือฮุนเซนและครอบครัว
อย่างไรก็ตาม ฮุนเซนยังคงรักษาความสัมพันธ์ที่ผิวเผินกับสถาบันกษัตริย์โดยแสดงความเคารพในที่สาธารณะเพื่อรักษาภาพลักษณ์และความชอบธรรมของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จำนวนมากเห็นตรงกันว่าอิทธิพลของฮุนเซนในกัมพูชานั้นสูงกว่ากษัตริย์และในทางปฏิบัติฮุนเซนเปรียบเสมือน “กษัตริย์ตัวจริง” ที่ควบคุมทั้งอำนาจรัฐกองทัพและเศรษฐกิจ
สำหรับประเทศไทยในอดีตเราเคยพูดถึงปฏิญญาฟินแลนด์มาก่อน แม้ต่อมาผู้ถูกกล่าวหาจะปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง และไม่ได้เกิดขึ้นจริง เนื้อหาของแผนฟินแลนด์ประกอบด้วยการสร้างระบบรัฐบาลแบบพรรคการเมืองเดียวการเปลี่ยนระบบราชการให้อยู่ภายใต้อำนาจสั่งการของพรรคการเมืองการโอนกิจการของรัฐเป็นของเอกชน (“การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ”) ให้กลายเป็นของภาคเอกชนเพื่อสร้างระบบทุนนิยมที่สมบูรณ์แบบการลดทอนความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ การสร้างระบบพรรคการเมืองแบบรวมอำนาจที่กรรมการบริหารพรรคและผู้นำพรรค
การมีอำนาจของฮุนเซน และตระกูลฮุนในกัมพูชาทำให้อดไม่ได้ที่จะนึกถึงปฏิญญาฟินแลนด์ที่เคยถูกกล่าวขานในสังคมไทย แม้ว่าสิ่งนั้นจะเคยมีอยู่จริงหรือไม่ก็ตาม
ฮุนเซนมีการจัดตั้ง “กองพลน้อยที่ 70” (หรือที่รู้จักในชื่อBHQ : Bodyguard Headquarters) ซึ่งเป็นหน่วยรบเฉพาะกิจที่ขึ้นตรงต่อตระกูลฮุนไม่ขึ้นกับโครงสร้างกองทัพปกติของกัมพูชา
หน่วย BHQ นี้ได้รับการฝึกฝนและติดอาวุธทันสมัยมีภารกิจหลักในการดูแลความปลอดภัยของนายกรัฐมนตรีครอบครัว และแขกระดับสูงรวมถึงมีบทบาทในการต่อต้านการรัฐประหารและการปราบปรามฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง หน่วยรบเหล่านี้ถูกนักวิจารณ์และฝ่ายค้านมองว่าเป็น “กองทัพส่วนตัว” ของฮุนเซนและตระกูล
ธุรกิจภายใต้ตระกูลฮุนและเครือญาติในกัมพูชาครอบคลุมหลายภาคส่วนสำคัญฮุนมานาลูกสาวฮุนเซนถือหุ้นใหญ่ในMetfone บริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่ที่สุดของกัมพูชา ฮุนมานิธลูกชายอีกคนถือหุ้นในบริษัทไฟฟ้ารายใหญ่ Cambodia Electricity Private นี่คงเป็นเหตุผลที่ฮุนเซนท้าทายให้ไทยตัดเน็ตและไฟฟ้า
ฮุนโตลูกพี่ลูกน้องของฮุน มาเนตถือหุ้นใน Huione Pay บริษัทบริการด้านการชำระเงินดิจิทัลและคริปโต Huione Group ของฮุนโตถูกกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำในปี 2025 ฐานฟอกเงินให้กับกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติ
โดยรวมตระกูลฮุนและเครือญาติถือหุ้นในบริษัทอย่างน้อย 114 แห่งมูลค่าทรัพย์สินรวมกว่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐครอบคลุมธุรกิจสำคัญแทบทุกมิติของชีวิตคนเขมรซึ่งทำให้ตระกูลนี้มีอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองอย่างเข้มแข็งในประเทศ
สำหรับทักษิณกล่าวได้ว่าฮุนเซนมีบุญคุณต่อตระกูลชินวัตรและทักษิณในหลายด้าน โดยเฉพาะในช่วงที่ทักษิณถูกรัฐประหารและต้องลี้ภัยต่างประเทศฮุนเซนเป็นผู้ที่ให้การสนับสนุนและช่วยเหลืออย่างสำคัญรวมถึงแต่งตั้งทักษิณเป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของกัมพูชา นอกจากนี้ความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลนี้แนบแน่นเหมือนเครือญาติมีการพบปะและเยือนกันอย่างต่อเนื่องทั้งในด้านส่วนตัวและการเมือง
ในทางเศรษฐกิจและการทูตฮุนเซนยังช่วยเปิดโอกาสให้ตระกูลชินวัตรลงทุนในกัมพูชาเพิ่มขึ้นอย่างมาก และในช่วงที่ทักษิณถูกกดดันทางการเมืองฮุนเซนปฏิเสธคำขอส่งตัวทักษิณกลับไทยเพื่อดำเนินคดีถือเป็นการแสดงออกถึงความช่วยเหลืออย่างชัดเจน
การที่ทักษิณไม่กล้า สทร.ในเรื่องนี้และปิดปากสนิท และรัฐบาลแพทองธารถูกมองว่าอ่อนแอเกินไป ก็คงเพราะกลัวว่าจะถูกฮุนเซนทวงบุญคุณแบบที่เขาทำกับจตุพร พรหมพันธุ์นั่นเอง
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan