อาจารย์ ดร.วิศรุต สำลีอ่อน[1]
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา ตั้งแต่การแสดงเชิงสัญลักษณ์ที่ปราสาทตาเมือนธม อันเป็นโบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนไว้ตามกฎหมายไทยตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๘ จนถึงการเผาทำลายศาลาตรีมุขและการขุดคูเลตในบริเวณพื้นที่ช่องบก
ทำให้ประเด็นข้อเรียกร้องให้มีการยกเลิกบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชา พ.ศ. ๒๕๔๓ (MOU 2543) กลับมาเป็นที่สนใจในสังคมอีกครั้ง และนำมาซึ่งข้อโต้แย้งมากมายทั้ง “จะยกเลิก MOU ทำไม” “MOU ตกลงไปแล้วจะยกเลิกไม่ได้” หรือ “ยกเลิกแล้วจะทำอย่างไรกันต่อไป”
ผู้เขียนจึงขอชวนทุกท่าน “ตั้งหลัก” ทางความคิดผ่านบทความชิ้นนี้ด้วยกัน เมื่อท่านอ่านและใช้ปัญญาพิจารณาแล้วจะเห็นพ้องหรือเห็นแย้งกับผู้เขียนก็ได้ แต่ขอให้เรามีหลักคิดที่ตรงกันและคำนึงถึงประโยชน์ของชาติบ้านเมืองเป็นตัวตั้งก็พอครับ
มาเริ่มกันเลย
๑.MOU 2543 ส่งผลเสียอย่างไรต่อประเทศไทย
เราต้องตั้งหลักให้ตรงกันก่อนว่าการใช้ MOU ในฐานะข้อตกลงเพื่อดำเนินการกำหนดเส้นเขตแดนให้ชัดเจนระหว่างประเทศเพื่อนบ้านนั้นไม่ใช่เรื่องผิดอะไร เพราะเป้าหมายสุดท้ายของการกำหนดเส้นเขตแดนเท่ากับเป็นการจัดสรรพื้นที่การใช้อำนาจอธิปไตยระหว่างประเทศทั้งสองให้ชัดเจน
แต่ก่อนที่จะทำเช่นนั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดข้อขัดแย้งระหว่างประเทศให้เหลือน้อยที่สุด ต้องเริ่มจากการใช้ “เครื่องมือเดียวกัน” และต้องเป็นเครื่องมือที่ทั้งสองฝ่าย “เชื่อถือและยอมรับได้” อีกด้วย
หากเครื่องมือของประเทศทั้งสองยังต่างกันและความถูกต้องแม่นยำของเครื่องมือก็ยังเป็นที่กังขา กระบวนการกำหนดเส้นเขตแดนยังไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นก็ได้ การกำหนดเส้นเขตแดนไม่จำเป็นต้องทำให้จบโดยเร็วเสมอไป ระหว่าง “เร็วแต่มั่ว”
กับ “ช้าแต่ชัวร์” อย่างหลังน่าจะเป็นคำตอบที่ดีกว่าในเรื่องนี้
เครื่องมือในการกำหนดเส้นเขตแดนทางบกของฝ่ายไทยใช้แผนที่อัตราส่วน ๑: ๕๐,๐๐๐ ปัจจุบันคือแผนที่ L7018 ทำขึ้นด้วยวิธี Mercator Projection ที่แสดงระยะทางได้ถูกต้อง แม้ขนาดภูมิประเทศจะคลาดเคลื่อนบ้าง ขณะที่เครื่องมือของฝ่ายกัมพูชาใช้แผนที่อัตราส่วน ๑: ๒๐๐,๐๐๐ ทำขึ้นด้วยวิธี Sinusoidal Projection แม้ขนาดภูมิประเทศอาจจะแม่นยำกว่า แต่ระยะทางจะคลาดเคลื่อน[2]
แม้จะมีข้อดี-ข้อเสียกันคนละจุด แต่ในการกำหนดเส้นเขตแดนของรัฐ “ระยะทาง” ย่อมสำคัญกว่า “ขนาดภูมิประเทศ” และคำว่า “อัตราส่วน ๑:๕๐,๐๐๐” หมายความว่า ๑ ส่วนบนแผนที่เท่ากับ ๕๐,๐๐๐ ส่วนบนพื้นที่จริงขยายความให้เข้าใจง่ายขึ้นคือ ๑ เซนติเมตรบนแผนที่เท่ากับ ๕๐๐ เมตร (๕๐,๐๐๐ เซนติเมตร) ในสถานที่จริง ขณะที่อัตราส่วน ๑: ๒๐๐,๐๐๐ หมายความว่า ๑ เซนติเมตรบนแผนที่เท่ากับ ๒ กิโลเมตร(๒๐๐,๐๐๐ เซนติเมตร) ในสถานที่จริง
ต่างกันถึง “๔ เท่า !!”
หากผู้อ่านลากปากกาหัวเข็มขนาด ๑ มิลลิเมตรลงบนแผนที่อัตราส่วน ๑: ๕๐,๐๐๐ ท่านจะสร้างแถบกว้าง ๕๐ เมตรลงไปในพื้นที่จริง

เส้นที่กว้าง ๑ มิลลิเมตรบนแผนที่อัตรา ๑ : ๕๐,๐๐๐ จะกลายเป็นแถบกว้างเพียง ๕๐ เมตรในสถานที่จริง (ภาพจาก https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000054680)
ขณะที่การทำเช่นนี้กับแผนที่อัตราส่วน ๑ : ๒๐๐,๐๐๐ ท่านจะสร้างแถบกว้างถึง ๒๐๐ เมตรลงไปในพื้นที่จริง (ซึ่งช่างบังเอิญตรงกับระยะรุกล้ำของฝ่ายกัมพูชาที่ท่านภูมิธรรมแถลงว่าเป็น No Man’s Land พอดิบพอดี)

เส้นที่กว้างเพียง ๑ มิลลิเมตรบนแผนที่อัตรา ๑: ๒๐๐,๐๐๐ จะกลายเป็นแถบกว้างถึง ๒๐๐ เมตรในสถานที่จริง
(ภาพจากhttps://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000054680)
ปัญหาอีกประการหนึ่งของแผนที่ ๑: ๒๐๐,๐๐๐ คือ เส้นเขตแดนที่ปรากฏบนแผนที่หลายจุดไม่ตรงกับสันปันน้ำทางภูมิศาสตร์ เพราะแผนที่อัตราส่วน ๑: ๒๐๐,๐๐๐ จัดทำขึ้นตามผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับฝรั่งเศสเมื่อต้นทศวรรษ ๑๙๐๐ ในเวลานั้นประเทศฝรั่งเศสในฐานะเจ้าอาณานิคมของกัมพูชามีเทคโนโลยีในการจัดทำแผนที่ดีกว่า
ฝ่ายไทยในเวลานั้นจึงเชื่อถือว่าน่าจะเป็นแผนที่ที่ถูกต้อง แต่เมื่อแผนที่จัดทำแล้วเสร็จกลับมี “เส้นเขตแดนปริศนา” ที่ไม่ลากตรงกับแนวสันปันน้ำตามที่สนธิสัญญาสยาม – ฝรั่งเศสกำหนดไว้
หลักฐานที่ชัดเจนที่สุดว่าเส้นเขตแดนปริศนานี้มีจริงก็คือแผนที่อัตราส่วน ๑: ๒๐๐,๐๐๐ ในคดีปราสาทพระวิหาร ที่กำหนดเส้นเขตแดนพาดกลางแนวเขาพระวิหารทั้งที่ภูเขามีลักษณะลาดเอียงไปทางฝั่งไทย
ผู้เขียนเชื่อว่าคงไม่มีนักภูมิศาสตร์คนใดในโลกที่จะกล้าหาญพูดว่าเส้นเขตแดนดังกล่าวอยู่ในตำแหน่งของสันปันน้ำที่ถูกต้อง
แม้กระทั่งศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เองก็ยังไม่กล้าเขียนคำพิพากษายืนยันเลยว่าเส้นดังกล่าวเป็นสันปันน้ำ

เส้นเขตแดนปริศนาที่ไม่ตรงกับสันปันน้ำทางภูมิศาสตร์ในพื้นที่เขาพระวิหาร (ภาพจาก https://pantip.com/topic/31240969)
เราเริ่มเห็นตรงกันหรือยังว่าในการกำหนดเขตแดนนั้น เครื่องมือที่กำหนดรายละเอียดได้ชัดเจนแม่นยำกว่า ย่อมมีประสิทธิภาพมากกว่า และแผนที่อัตราส่วน ๑: ๒๐๐,๐๐๐ มีปัญหาทั้งเรื่อง “ไม่แม่นยำ” และ “ไม่น่าเชื่อถือ”
แต่ MOU 2543 กลับกำหนดพื้นฐานทางกฎหมายในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกให้ใช้ “แผนที่ที่จัดทำขึ้นตามผลงานการปักปันเขตแดนของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีน ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามอนุสัญญา ค.ศ. ๑๙๐๔ และสนธิสัญญา ค.ศ. ๑๙๐๗ กับเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้อนุสัญญา ค.ศ. ๑๙๐๔ และสนธิสัญญา ค.ศ. ๑๙๐๗ กับเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้อนุสัญญา ค.ศ. ๑๙๐๔ และสนธิสัญญา ค.ศ. ๑๙๐๗ ระหว่างสยามกับฝรั่งเศส”
เท่ากับว่าการสำรวจและปักหลักเขตแดนทางบก นอกจากจะใช้เอกสารที่ผูกพันไทยและกัมพูชาตามกฎหมายระหว่างประเทศแล้ว ยังรวมถึง “แผนที่มาตราส่วน ๑: ๒๐๐,๐๐๐” ด้วย
แปลกประหลาดมากที่ประเทศไทยยอมจะใช้เครื่องมือที่มีปัญหาทั้ง “ความไม่แม่นยำ” และ “ความไม่น่าเชื่อถือ” มากำหนดเส้นเขตแดนอันจะส่งผลต่อการใช้อำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนของชาติ
๒. สถานะทางกฎหมายระหว่างประเทศของ MOU 2543
ปัญหาว่า MOU 2543 มีสถานะทางกฎหมายเป็นสนธิสัญญาหรือไม่? บรรดานักกฎหมายระหว่างประเทศในบ้านเรายังเสียงแตกในเรื่องนี้ แต่ผู้เขียนเชื่อว่าทุกคนจะอ้างความหมายของสนธิสัญญาเหมือนกัน คือ นิยามตามมาตรา ๒ วรรคหนึ่ง (เอ) แห่งอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา ค.ศ. ๑๙๖๙ ที่บัญญัติว่า
“สนธิสัญญา หมายความว่า ความตกลงระหว่างประเทศซึ่งกระทำเป็นลายลักษณ์อักษรระหว่างรัฐ และอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะกระทำขึ้นเป็นฉบับเดียวหรือหลายฉบับ และไม่ว่าจะเรียกอย่างไรก็ตาม”
นิยามนี้นิสิตนักศึกษาทุกคนจะได้เรียนในวิชากฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง ดังนั้นหากเราจะโต้แย้งเรื่องนี้กันก็ควรเริ่มจากหลักคิดเดียวกันก่อน
เราลองมาไล่เรียงองค์ประกอบที่จะทำให้เอกสารระหว่างประเทศฉบับหนึ่งเป็นสนธิสัญญาเทียบกับข้อเท็จจริงของ MOU 2543 กันทีละข้อ
๑) สนธิสัญญาต้องทำขึ้นระหว่างรัฐ – ใช่ MOU 2543 ทำขึ้นระหว่างไทยและกัมพูชา
๒) สนธิสัญญาต้องทำเป็นลายลักษณ์อักษร – ใช่ MOU 2543 ทำเป็นลายลักษณ์อักษร
๓) สนธิสัญญาต้องอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ - ใช่ เพราะเราไม่สามารถนำกฎหมายภายในทั้งของไทยและกัมพูชามาบังคับใช้กับ MOU 2543 ได้
๔) การใช้ชื่อว่า “บันทึกความเข้าใจ หรือ MOU” – ข้อนี้ไม่เป็นสาระสำคัญ การเป็นสนธิสัญญาพิจารณาที่เนื้อหาภายใน ไม่ใช่ชื่อเรียกขาน ยกตัวอย่าง “กฎบัตรอาเซียน” หรือ “อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ” ก็เป็นสนธิสัญญาโดยที่ชื่อไม่มีคำว่า “สนธิสัญญา” เลยสักคำ
๕) สนธิสัญญาต้องเป็น “ข้อตกลง” - ข้อนี้แหละครับที่ทำให้นักกฎหมายเสียงแตก การเป็นข้อตกลงนั้นหมายความว่า
สนธิสัญญาต้องแสดงเจตนาที่สอดคล้องกันของประเทศคู่สัญญาเพื่อให้เกิดข้อผูกพันตามที่ได้ตกลงกันไว[3]
แล้ว MOU 2543 มีข้อใดที่จะแสดงว่าไทยและกัมพูชามีเจตนาที่จะสร้าง “ข้อผูกพัน” ระหว่างกันหรือไม่
ผู้เขียนเห็นว่า “มี” โดยอย่างน้อยก็ปรากฏในข้อ ๕ ของ MOU2543 ความว่า “เพื่ออำนวยความสะดวกในการสำรวจเขตแดนทางบกร่วมกันหน่วยงานของรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานเหล่านั้นจะงดเว้นการดำเนินการใด ๆ ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชายแดน เว้นแต่เป็นการดำเนินการของคณะอนุกรรมการเทคนิคร่วม”
ข้อความข้างต้นแสดงให้เห็นว่า ทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชาจะต้องไม่ทำอะไรที่เปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชายแดน
จะสร้าง จะขุด จะถม จะเกลี่ย หรือทำอะไรในพื้นที่ที่ต้องมีการสำรวจและกำหนดเขตแดนไม่ได้ทั้งนั้น ดังนั้นความในข้อ ๕ จึงมีลักษณะเป็น “ข้อผูกพัน” อย่างชัดเจน
ในความเห็นของผู้เขียน MOU 2543 จึงเป็น “ข้อตกลง” ระหว่างไทยและกัมพูชา และมีสถานะเป็น “สนธิสัญญา”
๓. แนวทางในการยกเลิก MOU2543
เหตุการณ์ที่ฝ่ายกัมพูชาเข้ามา “ยุ่มย่าม” กับพื้นที่ชายแดนเมื่อราวสองสัปดาห์ที่ผ่านมาไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก
หรือนาน ๆ จะเกิดขึ้นสักครั้ง
มีข้อมูลปรากฏว่าในรอบ ๒๕ ปีตั้งแต่มี MOU 2543 กัมพูชาละเมิดข้อตกลงข้อ ๕ มาแล้วกว่า ๔๕๐ ครั้ง โดยฝ่ายไทยทั้งโต้แย้งทั้งประท้วงมาโดยตลอด แต่กัมพูชากลับแก้ไขให้ไม่เกิน ๑๐๐ ครั้ง
แสดงว่าพฤติการณ์นี้ไม่ใช่เรื่อง“พลั้งเผลอผิดพลาด” แต่มองได้ว่าเป็นการ “จงใจ” ละเมิด MOU 2543
ผู้เขียนจึงนึกถึงบทบัญญัติข้อ ๖๐ ของอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา ค.ศ. ๑๙๖๙ ซึ่งบัญญัติว่า “การฝ่าฝืนอย่างร้ายแรงในสนธิสัญญาทวิภาคีโดยภาคีฝ่ายหนึ่งของสนธิสัญญา ย่อมก่อสิทธิแก่รัฐภาคีอีกฝ่ายหนึ่งที่จะยกขึ้นอ้างให้การละเมิดนั้นเป็นเหตุของการเลิกสนธิสัญญา หรือระงับการใช้บังคับสนธิสัญญานั้นทั้งหมดหรือบางส่วน...”
หมายความว่า เมื่อภาคีฝ่ายหนึ่งละเมิดสนธิสัญญา ย่อมให้สิทธิแก่รัฐภาคีอื่นที่จะหยิบยกการละเมิดนั้นมาเป็นเหตุเพื่อยกเลิกเพิกถอน หรือระงับการใช้บังคับสนธิสัญญานั้นได้ ถือเป็นสิ่งจำเป็นและยอมรับกันในฐานะ “บทลงโทษ” เพื่อประกันการปฏิบัติตามสนธิสัญญา[4]
แต่ไม่ได้หมายความว่าเมื่อมีการละเมิดสนธิสัญญาแล้ว สนธิสัญญานั้นจะสิ้นผลการบังคับใช้ไปโดยทันที เพียงแต่รัฐคู่สัญญาฝ่ายที่ไม่ได้ละเมิดสามารถอ้างเป็นเหตุดังกล่าวเพื่อให้
๑) สนธิสัญญาสิ้นสุดลง เพื่อให้ภาคีนั้นหลุดพ้นจากพันธกรณีตามสนธิสัญญาได้[5]
๒) ระงับใช้สนธิสัญญาบางส่วน/บางข้อชั่วคราว หรือ
๓) ระงับใช้สนธิสัญญาทั้งหมดชั่วคราว[6]
หรือจะ “ปล่อยผ่าน” ไม่ทำอะไรเลยก็ได้ ทางเลือกทั้งหมดเป็นสิทธิของรัฐคู่สัญญา
และในวรรคสามของข้อ ๖๐ นี้ยังให้ความหมายของการฝ่าฝืนร้ายแรง (material breach) ว่าหมายถึงการฝ่าฝืนบทบัญญัติอันสำคัญต่อการบรรลุวัตถุประสงค์หรือความมุ่งหมายของสนธิสัญญา[7]
เมื่อกลับมาพิจารณา MOU 2543 เราจะพบว่าวัตถุประสงค์หรือความมุ่งหมายของ MOU ฉบับนี้คือ การจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างไทย – กัมพูชา ซึ่งการจะทำเช่นนั้นประเทศทั้งสองจะต้องค้นหาสันปันน้ำให้พบ เพราะตำแหน่งของสันปันน้ำจะกลายเป็นแนวเขตแดนตามสนธิสัญญา ค.ศ. ๑๙๐๔ และค.ศ. ๑๙๐๗
แต่สันปันน้ำนั้นละเอียดอ่อนและเปราะบางกว่าที่เราคิด เพราะสันปันน้ำคือตำแหน่งบนภูเขาที่น้ำฝนแยกออกเป็นสองสาย การขุด เจาะ ถม เพียงเล็กน้อยด้วยเครื่องมือสมัยใหม่ก็ทำให้สันปันน้ำคลาดเคลื่อนได้ไม่ยาก MOU ข้อ ๕ จึงห้ามทั้งสองฝ่ายไม่ให้ดำเนินการใด ๆ ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชายแดน เพราะอาจส่งผลต่อสันปันน้ำ อันจะทำให้การกำหนดเส้นเขตแดนผิดเพี้ยนไป
ความในข้อ ๕ ของ MOU จึงถือเป็น “บทบัญญัติอันสำคัญต่อการบรรลุวัตถุประสงค์หรือความมุ่งหมายของ MOU” แต่กัมพูชากลับละเมิดข้อตกลงข้อนี้อยู่เป็นนิจและเหมือนจะจงใจเสียด้วย การกระทำของกัมพูชาเท่ากับเป็นการฝ่าฝืน MOU 2543 อย่างร้ายแรง (material breach) ตามกฎหมายระหว่างประเทศ และฝ่ายไทยก็ไม่เคยปล่อยผ่าน ทั้งประท้วงและโต้แย้งเรื่องนี้มาโดยตลอด คราวนี้จะอ้างว่าฝ่ายไทยรับรู้แต่ไม่คัดค้านเพื่อหวังจะให้เป็นกฎหมายปิดปากแบบคราวข้อพิพาทปราสาทพระวิหารเมื่อหกสิบกว่าปีก่อนคงไม่ได้แล้ว
ประเทศไทยจึงมีสิทธิที่จะยกการฝ่าฝืน MOU 2543 อย่างร้ายแรงของกัมพูชาเพื่อกล่าวอ้างให้ MOU นี้สิ้นสุดลง หรือระงับใช้ MOU ชั่วคราวทั้งหมดหรือบางส่วนก็ได้ โดยอ้างบทบัญญัติแห่งอนุสัญญากรุงเวียนนาฯ ข้อ ๖๐ ประชาคมโลกจะมากล่าวหาว่าฝ่ายไทยเกเรเพราะเป็นคนฉีกสัญญาก็ไม่ได้ เราใช้สิทธิตามกฎหมายระหว่างประเทศทุกอย่าง
แต่เมื่อพิจารณาประกอบกับประเด็นเรื่องผลเสียของ MOU 2543 ที่มีต่อประเทศไทยตามที่ผู้เขียนวิเคราะห์ไว้ข้างต้น การเลือกให้ MOU “สิ้นสุดลง” น่าจะเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายไทยมากที่สุด
หากท่านมีข้อกังวลต่อไปว่า หากปราศจาก MOU2543 แล้ว การกำหนดเขตแดนทางบกระหว่างทั้งสองประเทศจะทำอย่างไรต่อไป เช่นนั้นเราก็จะไม่มีเส้นเขตแดนที่ชัดเจนระหว่างสองประเทศ หรือเป็นการ “ถอยหลังเข้าคลอง” หรือไม่
ผู้เขียนใคร่ขอให้ท่านกลับไปทบทวนหลักคิดของการกำหนดเขตแดนในตอนต้นของบทความนี้อีกครั้งว่า “เครื่องมือที่ใช้จะต้องแม่นยำและเชื่อถือได้” ไทยและกัมพูชาก็เพียงแต่กลับไปตั้งต้นที่จุดนั้น กำหนดเครื่องมือที่จะใช้ในการกำหนดเขตแดนเสียใหม่ให้ตรงกัน ผู้เขียนเชื่อว่าในโมงยามนี้ฝ่ายกัมพูชาก็น่าจะมีเทคโนโลยีที่สามารถทำแผนที่อัตราส่วน ๑: ๕๐,๐๐๐ ได้ แล้วทั้งสองประเทศค่อยทำ MOU ฉบับใหม่ จะดึงข้อความมาจาก MOU2543 นี้ก็ได้ แต่เปลี่ยนเป็นการใช้แผนที่ ๑: ๕๐,๐๐๐ ที่ทั้งสองฝ่ายจัดทำขึ้น เช่นนี้ยังฟังดูเป็นเหตุเป็นผลกว่า
หากกัมพูชาดื้อแพ่ง ยืนยันจะใช้แผนที่ ๑: ๒๐๐,๐๐๐ ให้ได้ ฝ่ายไทยก็เพียงแต่ชะลอการดำเนินการต่อไป อย่างไรเสียเราก็มีสนธิสัญญาสยาม - ฝรั่งเศส ทั้งสองฉบับที่วางหลักการใช้ยึดสันปันน้ำ มีสันปันน้ำตามธรรมชาติร่วมกับหลักหมุดเขตแดน ๗๓ หลัก (แม้ปัจจุบันจะเหลือไม่ครบ แต่ส่วนใหญ่ก็ยังอยู่) เป็นแนวเขตแดนในภาพใหญ่ และมีแผนที่อัตราส่วน ๑: ๕๐,๐๐๐ ที่ระบุตำแหน่งสันปันน้ำได้แม่นยำ ประเทศไทยย่อมรู้ดีว่าขอบขัณฑสีมาของชาติเราอยู่ตรงไหน
ฝ่ายไทยเราพร้อมเจรจาเสมอ ขอเพียงแต่เพื่อนบ้านเรา “ซื่อสัตย์” และ “น่าเชื่อถือ” เท่านั้นเอง
ถ้าเราติดกระดุมเม็ดแรกผิด เราจะปล่อยเลยตามเลยเพียงเพราะไม่ต้องการถอยหลัง หรือจะยอมถอยกลับไปแก้ไขแล้วเริ่มติดกระดุมใหม่ให้ถูกต้อง
ผู้เขียนเป็นคนหนึ่งที่จะไม่ใส่เสื้อเบี้ยว ๆ ออกจากบ้านครับ
อ้างอิง
[1] อาจารย์ประจำหลักสูตรนิติศาสตรบัณฑิต คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, ๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๘.
[2] กระทรวงการต่างประเทศ, ข้อมูลที่ประชาชนไทยควรทราบ เกี่ยวกับกรณีปราสาทพระวิหาร และการเจรจาเขตแดนไทย – กัมพูชา, (กรุงเทพฯ: กระทรวงการต่างประเทศ, ๒๕๕๔) น. ๔๑
[3] จตุรนต์ ถิระวัฒน์, กฎหมายระหว่างประเทศ, พิมพ์ครั้งที่ ๔ (กรุงเทพฯ: วิญญูชน, ๒๕๕๘) น.๑๑๑ และ ประสิทธิ์ เอกบุตร, กฎหมายระหว่างประเทศ เล่ม ๑ สนธิสัญญา, พิมพ์ครั้งที่ ๔ (กรุงเทพฯ: วิญญูชน, ๒๕๕๑) น. ๖๗.
[4] จันตรี สินศุภฤกษ์, กฎหมายระหว่างประเทศ, (กรุงเทพฯ: นิติธรรม, ๒๕๖๐) น. ๒๐๐.
[5] ประสิทธิ์ เอกบุตร, กฎหมายระหว่างประเทศ เล่ม ๑ สนธิสัญญา, พิมพ์ครั้งที่ ๔ (กรุงเทพฯ: วิญญูชน, ๒๕๕๑) น. ๒๗๙ และอภิญญา เลื่อนฉวี, กฎหมายระหว่างประเทศ แผนกคดีเมือง (กรุงเทพฯ: นิติธรรม, ๒๕๕๙) น. ๓๒๗.
[6] จตุรนต์ ถิระวัฒน์, กฎหมายระหว่างประเทศ, พิมพ์ครั้งที่ ๔ (กรุงเทพฯ: วิญญูชน, ๒๕๕๘) น. ๑๙๗
[7] จุมพต สายสุนทร, กฎหมายระหว่างประเทศ เล่ม ๒, พิมพ์ครั้งที่ ๑๑ (กรุงเทพฯ: วิญญูชน, ๒๕๖๑) น. ๑๘๖.
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา ตั้งแต่การแสดงเชิงสัญลักษณ์ที่ปราสาทตาเมือนธม อันเป็นโบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนไว้ตามกฎหมายไทยตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๘ จนถึงการเผาทำลายศาลาตรีมุขและการขุดคูเลตในบริเวณพื้นที่ช่องบก
ทำให้ประเด็นข้อเรียกร้องให้มีการยกเลิกบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชา พ.ศ. ๒๕๔๓ (MOU 2543) กลับมาเป็นที่สนใจในสังคมอีกครั้ง และนำมาซึ่งข้อโต้แย้งมากมายทั้ง “จะยกเลิก MOU ทำไม” “MOU ตกลงไปแล้วจะยกเลิกไม่ได้” หรือ “ยกเลิกแล้วจะทำอย่างไรกันต่อไป”
ผู้เขียนจึงขอชวนทุกท่าน “ตั้งหลัก” ทางความคิดผ่านบทความชิ้นนี้ด้วยกัน เมื่อท่านอ่านและใช้ปัญญาพิจารณาแล้วจะเห็นพ้องหรือเห็นแย้งกับผู้เขียนก็ได้ แต่ขอให้เรามีหลักคิดที่ตรงกันและคำนึงถึงประโยชน์ของชาติบ้านเมืองเป็นตัวตั้งก็พอครับ
มาเริ่มกันเลย
๑.MOU 2543 ส่งผลเสียอย่างไรต่อประเทศไทย
เราต้องตั้งหลักให้ตรงกันก่อนว่าการใช้ MOU ในฐานะข้อตกลงเพื่อดำเนินการกำหนดเส้นเขตแดนให้ชัดเจนระหว่างประเทศเพื่อนบ้านนั้นไม่ใช่เรื่องผิดอะไร เพราะเป้าหมายสุดท้ายของการกำหนดเส้นเขตแดนเท่ากับเป็นการจัดสรรพื้นที่การใช้อำนาจอธิปไตยระหว่างประเทศทั้งสองให้ชัดเจน
แต่ก่อนที่จะทำเช่นนั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดข้อขัดแย้งระหว่างประเทศให้เหลือน้อยที่สุด ต้องเริ่มจากการใช้ “เครื่องมือเดียวกัน” และต้องเป็นเครื่องมือที่ทั้งสองฝ่าย “เชื่อถือและยอมรับได้” อีกด้วย
หากเครื่องมือของประเทศทั้งสองยังต่างกันและความถูกต้องแม่นยำของเครื่องมือก็ยังเป็นที่กังขา กระบวนการกำหนดเส้นเขตแดนยังไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นก็ได้ การกำหนดเส้นเขตแดนไม่จำเป็นต้องทำให้จบโดยเร็วเสมอไป ระหว่าง “เร็วแต่มั่ว”
กับ “ช้าแต่ชัวร์” อย่างหลังน่าจะเป็นคำตอบที่ดีกว่าในเรื่องนี้
เครื่องมือในการกำหนดเส้นเขตแดนทางบกของฝ่ายไทยใช้แผนที่อัตราส่วน ๑: ๕๐,๐๐๐ ปัจจุบันคือแผนที่ L7018 ทำขึ้นด้วยวิธี Mercator Projection ที่แสดงระยะทางได้ถูกต้อง แม้ขนาดภูมิประเทศจะคลาดเคลื่อนบ้าง ขณะที่เครื่องมือของฝ่ายกัมพูชาใช้แผนที่อัตราส่วน ๑: ๒๐๐,๐๐๐ ทำขึ้นด้วยวิธี Sinusoidal Projection แม้ขนาดภูมิประเทศอาจจะแม่นยำกว่า แต่ระยะทางจะคลาดเคลื่อน[2]
แม้จะมีข้อดี-ข้อเสียกันคนละจุด แต่ในการกำหนดเส้นเขตแดนของรัฐ “ระยะทาง” ย่อมสำคัญกว่า “ขนาดภูมิประเทศ” และคำว่า “อัตราส่วน ๑:๕๐,๐๐๐” หมายความว่า ๑ ส่วนบนแผนที่เท่ากับ ๕๐,๐๐๐ ส่วนบนพื้นที่จริงขยายความให้เข้าใจง่ายขึ้นคือ ๑ เซนติเมตรบนแผนที่เท่ากับ ๕๐๐ เมตร (๕๐,๐๐๐ เซนติเมตร) ในสถานที่จริง ขณะที่อัตราส่วน ๑: ๒๐๐,๐๐๐ หมายความว่า ๑ เซนติเมตรบนแผนที่เท่ากับ ๒ กิโลเมตร(๒๐๐,๐๐๐ เซนติเมตร) ในสถานที่จริง
ต่างกันถึง “๔ เท่า !!”
หากผู้อ่านลากปากกาหัวเข็มขนาด ๑ มิลลิเมตรลงบนแผนที่อัตราส่วน ๑: ๕๐,๐๐๐ ท่านจะสร้างแถบกว้าง ๕๐ เมตรลงไปในพื้นที่จริง
เส้นที่กว้าง ๑ มิลลิเมตรบนแผนที่อัตรา ๑ : ๕๐,๐๐๐ จะกลายเป็นแถบกว้างเพียง ๕๐ เมตรในสถานที่จริง (ภาพจาก https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000054680)
ขณะที่การทำเช่นนี้กับแผนที่อัตราส่วน ๑ : ๒๐๐,๐๐๐ ท่านจะสร้างแถบกว้างถึง ๒๐๐ เมตรลงไปในพื้นที่จริง (ซึ่งช่างบังเอิญตรงกับระยะรุกล้ำของฝ่ายกัมพูชาที่ท่านภูมิธรรมแถลงว่าเป็น No Man’s Land พอดิบพอดี)
เส้นที่กว้างเพียง ๑ มิลลิเมตรบนแผนที่อัตรา ๑: ๒๐๐,๐๐๐ จะกลายเป็นแถบกว้างถึง ๒๐๐ เมตรในสถานที่จริง
(ภาพจากhttps://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000054680)
ปัญหาอีกประการหนึ่งของแผนที่ ๑: ๒๐๐,๐๐๐ คือ เส้นเขตแดนที่ปรากฏบนแผนที่หลายจุดไม่ตรงกับสันปันน้ำทางภูมิศาสตร์ เพราะแผนที่อัตราส่วน ๑: ๒๐๐,๐๐๐ จัดทำขึ้นตามผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับฝรั่งเศสเมื่อต้นทศวรรษ ๑๙๐๐ ในเวลานั้นประเทศฝรั่งเศสในฐานะเจ้าอาณานิคมของกัมพูชามีเทคโนโลยีในการจัดทำแผนที่ดีกว่า
ฝ่ายไทยในเวลานั้นจึงเชื่อถือว่าน่าจะเป็นแผนที่ที่ถูกต้อง แต่เมื่อแผนที่จัดทำแล้วเสร็จกลับมี “เส้นเขตแดนปริศนา” ที่ไม่ลากตรงกับแนวสันปันน้ำตามที่สนธิสัญญาสยาม – ฝรั่งเศสกำหนดไว้
หลักฐานที่ชัดเจนที่สุดว่าเส้นเขตแดนปริศนานี้มีจริงก็คือแผนที่อัตราส่วน ๑: ๒๐๐,๐๐๐ ในคดีปราสาทพระวิหาร ที่กำหนดเส้นเขตแดนพาดกลางแนวเขาพระวิหารทั้งที่ภูเขามีลักษณะลาดเอียงไปทางฝั่งไทย
ผู้เขียนเชื่อว่าคงไม่มีนักภูมิศาสตร์คนใดในโลกที่จะกล้าหาญพูดว่าเส้นเขตแดนดังกล่าวอยู่ในตำแหน่งของสันปันน้ำที่ถูกต้อง
แม้กระทั่งศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เองก็ยังไม่กล้าเขียนคำพิพากษายืนยันเลยว่าเส้นดังกล่าวเป็นสันปันน้ำ
เส้นเขตแดนปริศนาที่ไม่ตรงกับสันปันน้ำทางภูมิศาสตร์ในพื้นที่เขาพระวิหาร (ภาพจาก https://pantip.com/topic/31240969)
เราเริ่มเห็นตรงกันหรือยังว่าในการกำหนดเขตแดนนั้น เครื่องมือที่กำหนดรายละเอียดได้ชัดเจนแม่นยำกว่า ย่อมมีประสิทธิภาพมากกว่า และแผนที่อัตราส่วน ๑: ๒๐๐,๐๐๐ มีปัญหาทั้งเรื่อง “ไม่แม่นยำ” และ “ไม่น่าเชื่อถือ”
แต่ MOU 2543 กลับกำหนดพื้นฐานทางกฎหมายในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกให้ใช้ “แผนที่ที่จัดทำขึ้นตามผลงานการปักปันเขตแดนของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีน ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามอนุสัญญา ค.ศ. ๑๙๐๔ และสนธิสัญญา ค.ศ. ๑๙๐๗ กับเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้อนุสัญญา ค.ศ. ๑๙๐๔ และสนธิสัญญา ค.ศ. ๑๙๐๗ กับเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้อนุสัญญา ค.ศ. ๑๙๐๔ และสนธิสัญญา ค.ศ. ๑๙๐๗ ระหว่างสยามกับฝรั่งเศส”
เท่ากับว่าการสำรวจและปักหลักเขตแดนทางบก นอกจากจะใช้เอกสารที่ผูกพันไทยและกัมพูชาตามกฎหมายระหว่างประเทศแล้ว ยังรวมถึง “แผนที่มาตราส่วน ๑: ๒๐๐,๐๐๐” ด้วย
แปลกประหลาดมากที่ประเทศไทยยอมจะใช้เครื่องมือที่มีปัญหาทั้ง “ความไม่แม่นยำ” และ “ความไม่น่าเชื่อถือ” มากำหนดเส้นเขตแดนอันจะส่งผลต่อการใช้อำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนของชาติ
๒. สถานะทางกฎหมายระหว่างประเทศของ MOU 2543
ปัญหาว่า MOU 2543 มีสถานะทางกฎหมายเป็นสนธิสัญญาหรือไม่? บรรดานักกฎหมายระหว่างประเทศในบ้านเรายังเสียงแตกในเรื่องนี้ แต่ผู้เขียนเชื่อว่าทุกคนจะอ้างความหมายของสนธิสัญญาเหมือนกัน คือ นิยามตามมาตรา ๒ วรรคหนึ่ง (เอ) แห่งอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา ค.ศ. ๑๙๖๙ ที่บัญญัติว่า
“สนธิสัญญา หมายความว่า ความตกลงระหว่างประเทศซึ่งกระทำเป็นลายลักษณ์อักษรระหว่างรัฐ และอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะกระทำขึ้นเป็นฉบับเดียวหรือหลายฉบับ และไม่ว่าจะเรียกอย่างไรก็ตาม”
นิยามนี้นิสิตนักศึกษาทุกคนจะได้เรียนในวิชากฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง ดังนั้นหากเราจะโต้แย้งเรื่องนี้กันก็ควรเริ่มจากหลักคิดเดียวกันก่อน
เราลองมาไล่เรียงองค์ประกอบที่จะทำให้เอกสารระหว่างประเทศฉบับหนึ่งเป็นสนธิสัญญาเทียบกับข้อเท็จจริงของ MOU 2543 กันทีละข้อ
๑) สนธิสัญญาต้องทำขึ้นระหว่างรัฐ – ใช่ MOU 2543 ทำขึ้นระหว่างไทยและกัมพูชา
๒) สนธิสัญญาต้องทำเป็นลายลักษณ์อักษร – ใช่ MOU 2543 ทำเป็นลายลักษณ์อักษร
๓) สนธิสัญญาต้องอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ - ใช่ เพราะเราไม่สามารถนำกฎหมายภายในทั้งของไทยและกัมพูชามาบังคับใช้กับ MOU 2543 ได้
๔) การใช้ชื่อว่า “บันทึกความเข้าใจ หรือ MOU” – ข้อนี้ไม่เป็นสาระสำคัญ การเป็นสนธิสัญญาพิจารณาที่เนื้อหาภายใน ไม่ใช่ชื่อเรียกขาน ยกตัวอย่าง “กฎบัตรอาเซียน” หรือ “อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ” ก็เป็นสนธิสัญญาโดยที่ชื่อไม่มีคำว่า “สนธิสัญญา” เลยสักคำ
๕) สนธิสัญญาต้องเป็น “ข้อตกลง” - ข้อนี้แหละครับที่ทำให้นักกฎหมายเสียงแตก การเป็นข้อตกลงนั้นหมายความว่า
สนธิสัญญาต้องแสดงเจตนาที่สอดคล้องกันของประเทศคู่สัญญาเพื่อให้เกิดข้อผูกพันตามที่ได้ตกลงกันไว[3]
แล้ว MOU 2543 มีข้อใดที่จะแสดงว่าไทยและกัมพูชามีเจตนาที่จะสร้าง “ข้อผูกพัน” ระหว่างกันหรือไม่
ผู้เขียนเห็นว่า “มี” โดยอย่างน้อยก็ปรากฏในข้อ ๕ ของ MOU2543 ความว่า “เพื่ออำนวยความสะดวกในการสำรวจเขตแดนทางบกร่วมกันหน่วยงานของรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานเหล่านั้นจะงดเว้นการดำเนินการใด ๆ ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชายแดน เว้นแต่เป็นการดำเนินการของคณะอนุกรรมการเทคนิคร่วม”
ข้อความข้างต้นแสดงให้เห็นว่า ทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชาจะต้องไม่ทำอะไรที่เปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชายแดน
จะสร้าง จะขุด จะถม จะเกลี่ย หรือทำอะไรในพื้นที่ที่ต้องมีการสำรวจและกำหนดเขตแดนไม่ได้ทั้งนั้น ดังนั้นความในข้อ ๕ จึงมีลักษณะเป็น “ข้อผูกพัน” อย่างชัดเจน
ในความเห็นของผู้เขียน MOU 2543 จึงเป็น “ข้อตกลง” ระหว่างไทยและกัมพูชา และมีสถานะเป็น “สนธิสัญญา”
๓. แนวทางในการยกเลิก MOU2543
เหตุการณ์ที่ฝ่ายกัมพูชาเข้ามา “ยุ่มย่าม” กับพื้นที่ชายแดนเมื่อราวสองสัปดาห์ที่ผ่านมาไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก
หรือนาน ๆ จะเกิดขึ้นสักครั้ง
มีข้อมูลปรากฏว่าในรอบ ๒๕ ปีตั้งแต่มี MOU 2543 กัมพูชาละเมิดข้อตกลงข้อ ๕ มาแล้วกว่า ๔๕๐ ครั้ง โดยฝ่ายไทยทั้งโต้แย้งทั้งประท้วงมาโดยตลอด แต่กัมพูชากลับแก้ไขให้ไม่เกิน ๑๐๐ ครั้ง
แสดงว่าพฤติการณ์นี้ไม่ใช่เรื่อง“พลั้งเผลอผิดพลาด” แต่มองได้ว่าเป็นการ “จงใจ” ละเมิด MOU 2543
ผู้เขียนจึงนึกถึงบทบัญญัติข้อ ๖๐ ของอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา ค.ศ. ๑๙๖๙ ซึ่งบัญญัติว่า “การฝ่าฝืนอย่างร้ายแรงในสนธิสัญญาทวิภาคีโดยภาคีฝ่ายหนึ่งของสนธิสัญญา ย่อมก่อสิทธิแก่รัฐภาคีอีกฝ่ายหนึ่งที่จะยกขึ้นอ้างให้การละเมิดนั้นเป็นเหตุของการเลิกสนธิสัญญา หรือระงับการใช้บังคับสนธิสัญญานั้นทั้งหมดหรือบางส่วน...”
หมายความว่า เมื่อภาคีฝ่ายหนึ่งละเมิดสนธิสัญญา ย่อมให้สิทธิแก่รัฐภาคีอื่นที่จะหยิบยกการละเมิดนั้นมาเป็นเหตุเพื่อยกเลิกเพิกถอน หรือระงับการใช้บังคับสนธิสัญญานั้นได้ ถือเป็นสิ่งจำเป็นและยอมรับกันในฐานะ “บทลงโทษ” เพื่อประกันการปฏิบัติตามสนธิสัญญา[4]
แต่ไม่ได้หมายความว่าเมื่อมีการละเมิดสนธิสัญญาแล้ว สนธิสัญญานั้นจะสิ้นผลการบังคับใช้ไปโดยทันที เพียงแต่รัฐคู่สัญญาฝ่ายที่ไม่ได้ละเมิดสามารถอ้างเป็นเหตุดังกล่าวเพื่อให้
๑) สนธิสัญญาสิ้นสุดลง เพื่อให้ภาคีนั้นหลุดพ้นจากพันธกรณีตามสนธิสัญญาได้[5]
๒) ระงับใช้สนธิสัญญาบางส่วน/บางข้อชั่วคราว หรือ
๓) ระงับใช้สนธิสัญญาทั้งหมดชั่วคราว[6]
หรือจะ “ปล่อยผ่าน” ไม่ทำอะไรเลยก็ได้ ทางเลือกทั้งหมดเป็นสิทธิของรัฐคู่สัญญา
และในวรรคสามของข้อ ๖๐ นี้ยังให้ความหมายของการฝ่าฝืนร้ายแรง (material breach) ว่าหมายถึงการฝ่าฝืนบทบัญญัติอันสำคัญต่อการบรรลุวัตถุประสงค์หรือความมุ่งหมายของสนธิสัญญา[7]
เมื่อกลับมาพิจารณา MOU 2543 เราจะพบว่าวัตถุประสงค์หรือความมุ่งหมายของ MOU ฉบับนี้คือ การจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างไทย – กัมพูชา ซึ่งการจะทำเช่นนั้นประเทศทั้งสองจะต้องค้นหาสันปันน้ำให้พบ เพราะตำแหน่งของสันปันน้ำจะกลายเป็นแนวเขตแดนตามสนธิสัญญา ค.ศ. ๑๙๐๔ และค.ศ. ๑๙๐๗
แต่สันปันน้ำนั้นละเอียดอ่อนและเปราะบางกว่าที่เราคิด เพราะสันปันน้ำคือตำแหน่งบนภูเขาที่น้ำฝนแยกออกเป็นสองสาย การขุด เจาะ ถม เพียงเล็กน้อยด้วยเครื่องมือสมัยใหม่ก็ทำให้สันปันน้ำคลาดเคลื่อนได้ไม่ยาก MOU ข้อ ๕ จึงห้ามทั้งสองฝ่ายไม่ให้ดำเนินการใด ๆ ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชายแดน เพราะอาจส่งผลต่อสันปันน้ำ อันจะทำให้การกำหนดเส้นเขตแดนผิดเพี้ยนไป
ความในข้อ ๕ ของ MOU จึงถือเป็น “บทบัญญัติอันสำคัญต่อการบรรลุวัตถุประสงค์หรือความมุ่งหมายของ MOU” แต่กัมพูชากลับละเมิดข้อตกลงข้อนี้อยู่เป็นนิจและเหมือนจะจงใจเสียด้วย การกระทำของกัมพูชาเท่ากับเป็นการฝ่าฝืน MOU 2543 อย่างร้ายแรง (material breach) ตามกฎหมายระหว่างประเทศ และฝ่ายไทยก็ไม่เคยปล่อยผ่าน ทั้งประท้วงและโต้แย้งเรื่องนี้มาโดยตลอด คราวนี้จะอ้างว่าฝ่ายไทยรับรู้แต่ไม่คัดค้านเพื่อหวังจะให้เป็นกฎหมายปิดปากแบบคราวข้อพิพาทปราสาทพระวิหารเมื่อหกสิบกว่าปีก่อนคงไม่ได้แล้ว
ประเทศไทยจึงมีสิทธิที่จะยกการฝ่าฝืน MOU 2543 อย่างร้ายแรงของกัมพูชาเพื่อกล่าวอ้างให้ MOU นี้สิ้นสุดลง หรือระงับใช้ MOU ชั่วคราวทั้งหมดหรือบางส่วนก็ได้ โดยอ้างบทบัญญัติแห่งอนุสัญญากรุงเวียนนาฯ ข้อ ๖๐ ประชาคมโลกจะมากล่าวหาว่าฝ่ายไทยเกเรเพราะเป็นคนฉีกสัญญาก็ไม่ได้ เราใช้สิทธิตามกฎหมายระหว่างประเทศทุกอย่าง
แต่เมื่อพิจารณาประกอบกับประเด็นเรื่องผลเสียของ MOU 2543 ที่มีต่อประเทศไทยตามที่ผู้เขียนวิเคราะห์ไว้ข้างต้น การเลือกให้ MOU “สิ้นสุดลง” น่าจะเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายไทยมากที่สุด
หากท่านมีข้อกังวลต่อไปว่า หากปราศจาก MOU2543 แล้ว การกำหนดเขตแดนทางบกระหว่างทั้งสองประเทศจะทำอย่างไรต่อไป เช่นนั้นเราก็จะไม่มีเส้นเขตแดนที่ชัดเจนระหว่างสองประเทศ หรือเป็นการ “ถอยหลังเข้าคลอง” หรือไม่
ผู้เขียนใคร่ขอให้ท่านกลับไปทบทวนหลักคิดของการกำหนดเขตแดนในตอนต้นของบทความนี้อีกครั้งว่า “เครื่องมือที่ใช้จะต้องแม่นยำและเชื่อถือได้” ไทยและกัมพูชาก็เพียงแต่กลับไปตั้งต้นที่จุดนั้น กำหนดเครื่องมือที่จะใช้ในการกำหนดเขตแดนเสียใหม่ให้ตรงกัน ผู้เขียนเชื่อว่าในโมงยามนี้ฝ่ายกัมพูชาก็น่าจะมีเทคโนโลยีที่สามารถทำแผนที่อัตราส่วน ๑: ๕๐,๐๐๐ ได้ แล้วทั้งสองประเทศค่อยทำ MOU ฉบับใหม่ จะดึงข้อความมาจาก MOU2543 นี้ก็ได้ แต่เปลี่ยนเป็นการใช้แผนที่ ๑: ๕๐,๐๐๐ ที่ทั้งสองฝ่ายจัดทำขึ้น เช่นนี้ยังฟังดูเป็นเหตุเป็นผลกว่า
หากกัมพูชาดื้อแพ่ง ยืนยันจะใช้แผนที่ ๑: ๒๐๐,๐๐๐ ให้ได้ ฝ่ายไทยก็เพียงแต่ชะลอการดำเนินการต่อไป อย่างไรเสียเราก็มีสนธิสัญญาสยาม - ฝรั่งเศส ทั้งสองฉบับที่วางหลักการใช้ยึดสันปันน้ำ มีสันปันน้ำตามธรรมชาติร่วมกับหลักหมุดเขตแดน ๗๓ หลัก (แม้ปัจจุบันจะเหลือไม่ครบ แต่ส่วนใหญ่ก็ยังอยู่) เป็นแนวเขตแดนในภาพใหญ่ และมีแผนที่อัตราส่วน ๑: ๕๐,๐๐๐ ที่ระบุตำแหน่งสันปันน้ำได้แม่นยำ ประเทศไทยย่อมรู้ดีว่าขอบขัณฑสีมาของชาติเราอยู่ตรงไหน
ฝ่ายไทยเราพร้อมเจรจาเสมอ ขอเพียงแต่เพื่อนบ้านเรา “ซื่อสัตย์” และ “น่าเชื่อถือ” เท่านั้นเอง
ถ้าเราติดกระดุมเม็ดแรกผิด เราจะปล่อยเลยตามเลยเพียงเพราะไม่ต้องการถอยหลัง หรือจะยอมถอยกลับไปแก้ไขแล้วเริ่มติดกระดุมใหม่ให้ถูกต้อง
ผู้เขียนเป็นคนหนึ่งที่จะไม่ใส่เสื้อเบี้ยว ๆ ออกจากบ้านครับ
อ้างอิง
[1] อาจารย์ประจำหลักสูตรนิติศาสตรบัณฑิต คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, ๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๘.
[2] กระทรวงการต่างประเทศ, ข้อมูลที่ประชาชนไทยควรทราบ เกี่ยวกับกรณีปราสาทพระวิหาร และการเจรจาเขตแดนไทย – กัมพูชา, (กรุงเทพฯ: กระทรวงการต่างประเทศ, ๒๕๕๔) น. ๔๑
[3] จตุรนต์ ถิระวัฒน์, กฎหมายระหว่างประเทศ, พิมพ์ครั้งที่ ๔ (กรุงเทพฯ: วิญญูชน, ๒๕๕๘) น.๑๑๑ และ ประสิทธิ์ เอกบุตร, กฎหมายระหว่างประเทศ เล่ม ๑ สนธิสัญญา, พิมพ์ครั้งที่ ๔ (กรุงเทพฯ: วิญญูชน, ๒๕๕๑) น. ๖๗.
[4] จันตรี สินศุภฤกษ์, กฎหมายระหว่างประเทศ, (กรุงเทพฯ: นิติธรรม, ๒๕๖๐) น. ๒๐๐.
[5] ประสิทธิ์ เอกบุตร, กฎหมายระหว่างประเทศ เล่ม ๑ สนธิสัญญา, พิมพ์ครั้งที่ ๔ (กรุงเทพฯ: วิญญูชน, ๒๕๕๑) น. ๒๗๙ และอภิญญา เลื่อนฉวี, กฎหมายระหว่างประเทศ แผนกคดีเมือง (กรุงเทพฯ: นิติธรรม, ๒๕๕๙) น. ๓๒๗.
[6] จตุรนต์ ถิระวัฒน์, กฎหมายระหว่างประเทศ, พิมพ์ครั้งที่ ๔ (กรุงเทพฯ: วิญญูชน, ๒๕๕๘) น. ๑๙๗
[7] จุมพต สายสุนทร, กฎหมายระหว่างประเทศ เล่ม ๒, พิมพ์ครั้งที่ ๑๑ (กรุงเทพฯ: วิญญูชน, ๒๕๖๑) น. ๑๘๖.