xs
xsm
sm
md
lg

ฮุน เซน กับหลักการนานาชาติ : จากนักเลงการเมืองถึงนักการทูตสองมาตรฐาน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ซกละออ รูดเฮย



เมื่อเร็วๆ นี้ ฮุน เซน ได้ออกมาประกาศเจตนารมณ์ที่จะนำกรณีข้อพิพาทเรื่องดินแดนกับไทยขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ซึ่งเป็นหน่วยงานของสหประชาชาติ พร้อมทั้งกล่าวหาประเทศไทยว่าหากบริสุทธิ์ใจเหตุใดจึงต้องหวาดกลัวการขึ้นศาลโลก วาทศิลป์ของเขานี้อาจทำให้หลายคนมองว่า ฮุน เซน เป็นผู้ที่เคารพหลักการและมีความตรงไปตรงมา อย่างไรก็ตาม การมองข้ามประวัติศาสตร์และพฤติกรรมในอดีตของผู้นำกัมพูชาผู้นี้ไปนั้น อาจเป็นการมองโลกในแง่ดีเกินไป เพราะแท้จริงแล้ว ฮุน เซน ไม่ได้เป็นนักการเมืองที่ยึดมั่นในหลักการสากลแต่อย่างใด หากแต่เป็นนักเลงเถื่อนที่ก้าวร้าวและพร้อมจะใช้ทุกวิถีทางเพื่อรักษาอำนาจของตนเอง

หลักฐานที่ชัดเจนที่สุดประการหนึ่งคือเหตุการณ์หลังการลงนามในข้อตกลงสันติภาพปารีส (Paris Peace Agreement) ในเดือนตุลาคม พ.ศ.2534 ซึ่งเป็นข้อตกลงสำคัญที่นำไปสู่การจัดตั้งองค์การบริหารชั่วคราวแห่งสหประชาชาติในกัมพูชา (UNTAC) ด้วยงบประมาณมหาศาลถึง 1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเจ้าหน้าที่และกองกำลังรักษาสันติภาพกว่า 22,000 นาย เพื่อดูแลการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2536


การเลือกตั้งที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 23-28 พฤษภาคม 2536 โดย UNTAC ได้รับการรับรองจากผู้สังเกตการณ์นานาชาติว่าเป็นไปอย่างเสรีและเป็นธรรม เมื่อผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการถูกประกาศโดย UNTAC ในวันที่ 10 มิถุนายน 2536 ออกมาว่าพรรคฟุนซินเปก (FUNCINPEC) ของสมเด็จพระนโรดม รณฤทธิ์ ได้รับคะแนนเสียงมากที่สุดในสภาธรรมนูญ ตามมาด้วยพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) ของฮุน เซน ที่ได้รับคะแนนรองลงมา

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็นการหักหลังหลักการประชาธิปไตยอย่างสิ้นเชิง ฮุน เซน และพรรค CPP ของเขาปฏิเสธผลการเลือกตั้งโดยทันที อ้างว่ามีการทุจริตการเลือกตั้งครั้งใหญ่ แม้ว่าการลงคะแนนจะเป็นการเลือกตั้งที่เสรีเป็นธรรมและได้รับการรับรองจากผู้สังเกตการณ์นานาชาติก็ตาม วันที่ 10 มิถุนายน 2536 มีการประกาศผลการเลือกตั้ง ฮุนเซนได้สั่งกองกำลังของเขาเข้าปิดล้อมสถานีวิทยุ UNTAC ในกรุงพนมเปญที่ประกาศผลการเลือกตั้ง ฮุนเซนออกประกาศทางโทรทัศน์ว่าถึงแม้ตนจะต้องลงไปนอนในโลงกว้างหนึ่งคืบยาวหนึ่งวาก็จะไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งอย่างเด็ดขาด จน UNTAC ภายใต้การบัญชาของ พลโท John Sanderson ต้องส่งหน่วยรถถังของทหารเยอรมันเข้าล้อมฝ่ายฮุนเซนอีกชั้นหนึ่ง จนฝ่ายฮุนเซนต้องล่าถอยออกไป และในวันที่ UNTAC ประกาศผลนี้เอง ฮุน เซน ได้ประกาศให้ 7 จังหวัดทางตะวันออกที่ติดกับชายแดนเวียดนาม ได้แก่ สวายเรียง, ไปรเวง, กำปงจาม, มณฑลคีรี, รัตนคีรี สตึงเตร็งและกระแจะ แยกตัวออกจากกัมพูชาภายใต้การนำของรองนายกรัฐมนตรี นโรดม จักรพงษ์ และรัฐมนตรีมหาดไทย สิน สอง การเคลื่อนไหวที่อุกอาจนี้ถูกมองว่าเป็นยุทธวิธีตีรวนในการบีบบังคับให้เกิดการแบ่งปันอำนาจ ไม่ยอมให้อำนาจที่ตนครอบครองอยู่ต้องหลุดไป

นอกจากนี้ จักรพงษ์และสิน สอง ยังได้โจมตีสำนักงานทางการเมืองของพรรคฟุนซินเปกและ BLDP ในจังหวัดต่างๆ และออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ UNTAC ออกไปเสียจากจังหวัดที่อยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขา สถานการณ์ตึงเครียดถึงขั้นที่สมเด็จพระนโรดม สีหนุ ทรงแสดงความกังวลว่ากัมพูชาอาจแตกแยกออกเป็นเสี่ยงๆ

การกระทำของฮุน เซน ไม่ได้หยุดอยู่เพียงการปฏิเสธผลการเลือกตั้งที่และการข่มขู่คุกคามเท่านั้น เขายังกล่าวหา UNTAC ซึ่งเป็นหน่วยงานของสหประชาชาติ ว่าจัดสร้างการฉ้อโกงการเลือกตั้งเพื่อทำให้พรรค CPP ของตนพ่ายแพ้ ทั้งๆ ที่ UNTAC คือหน่วยงานสากลชององค์การสหประชาชาติที่เข้ามาช่วยจัดกระบวนการสันติภาพและฟื้นฟูประชาธิปไตยในกัมพูชาตามข้อตกลงสันติภาพปารีสที่ฮุนเซนได้ลงนาม


ในที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงวิกฤตการณ์ที่อาจนำไปสู่สงครามกลางเมืองอีกครั้ง สภาแห่งชาติฉุกเฉินจึงได้จัดการประชุมในวันที่ 14 มิถุนายน 2536 ซึ่งนำไปสู่การประนีประนอมที่ยอมให้มีการแต่งตั้งเจ้าชายนโรดม รณฤทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก และฮุน เซน เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่สอง โดยทั้งสองมีอำนาจบริหารเท่าเทียมกัน การจัดสรรอำนาจนี้เป็นผลโดยตรงจากการที่พรรค CPP ปฏิเสธผลการเลือกตั้งและวิกฤตการณ์ทางการเมืองที่ตามมา

การกระทำของฮุน เซน ในปี 2536 สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้เคารพในกฎกติกาหรือหลักการประชาธิปไตยแต่อย่างใด เขาพร้อมที่จะใช้กำลัง ความรุนแรง และการข่มขู่ เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนเองต้องการ แม้จะต้องบิดเบือนข้อเท็จจริงและทำลายความพยายามของประชาคมโลกในการฟื้นฟูสันติภาพในกัมพูชา

ดังนั้น เมื่อฮุน เซน กล่าวอ้างว่าจะนำกรณีข้อพิพาทเรื่องดินแดนกับไทยขึ้นสู่ ICJ โดยอ้างถึง "ความตรงไปตรงมา" และตั้งคำถามถึง "ความบริสุทธิ์ใจ" ของไทย เราจึงจำเป็นต้องมองย้อนกลับไปยังประวัติศาสตร์ พฤติกรรมในอดีตของเขาเป็นเครื่องยืนยันว่า "ความตรงไปตรงมา" ของฮุน เซน นั้น เป็นเพียงวาทศิลป์ที่ใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตนเองเท่านั้น ไม่ได้สะท้อนถึงการเคารพหลักนิติธรรมหรือกฎกติการะหว่างประเทศแต่อย่างใด หากศาลโลกตัดสินออกมาไม่เป็นคุณต่อฝ่ายตนก็ไม่มีหลักประกันใดที่ฮุน เซนจะเคารพคำตัดสินนั้นเช่นเหตุการณ์ในอดีตที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ดังนั้นการที่เขาเสนอตัวเป็นเหมือนผู้พิทักษ์ความยุติธรรมผ่านเวทีโลก จึงเป็นเพียงละครฉากหนึ่งที่เขาแสดงเพื่อบิดเบือนความจริงและสร้างความชอบธรรมให้กับการกระทำของตนเอง ซึ่งไทยไม่ควรมองข้ามบทเรียนและระมัดระวังผู้นำจิตวิญญานของกัมพูชาที่ปลิ้นปล้อนและเจนสังเวียนผู้นี้ และเป็นชนวนจุดๆไฟก่อให้เกิดความบาดหมางกันระหว่างเพื่อนบ้าน

ซกละออ รูดเฮย
นักวิชาการในกรุงพนมเปญ



กำลังโหลดความคิดเห็น