xs
xsm
sm
md
lg

“น้ำลายหก อ้าปากหวอกันเลย!!!”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“สอดแนมการเมือง”
“ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”


พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 17 ของประเทศไทย เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2531 ด้วยนโยบายและแนวคิดใหม่ ๆ ที่ทรงพลัง ทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจกับสังคม รวมถึงนโยบายอีกหลายเรื่อง

ทว่า.. จากวันนั้น ปี 2531 มาถึงวันนี้ ปี 2568 เวลาล่วงเลยนานถึง 37 ปี จากยุค “โน พร็อบเบลม” ของ “น้าชาติ” วันนี้เมืองไทยกลายเป็น “เต็มไปด้วยปัญหา” จาก “นายแม้ว-คนตัณหาหนัก”

ซ้ำร้าย.. ปัญหาชาติหนักหนาสาหัสอย่างมหาศาล ด้วย “น้ำมือ”ข องอดีตนายกฯ มหาเศรษฐี “ทักษิณ ชินวัตร” ผู้มีสันดานโลภมากมิรู้จักพอ

ต้วย “นายทุนสามานย์คนนี้” ล่วงรู้ถึงจุดอ่อนของระบอบประชาธิปไตยทุนสามานย์ ที่ “เงิน” ซื้อได้ทั้ง “นักการเมืองเลว” และ “ข้าราชการชั่ว” กับ “คนขายเสียง” ในทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งทั่วไป เขาใช้ทั้งนโยบาย “ประชานิยม” รวมทั้งใช้ “หมาในคอก” และ “หมานอกคอก” ยกมือดันหลังให้ “ลูกสาวปัญญานิ่ม” ขึ้นเป็นนายกฯ โดยไม่แยแสว่า ชาติกับประชาชนจะฉิบหายวายป่วงมากสักเพียงใด.. ครอบครัวชิน No สน No แคร์ ว่ะ!!!

ช่วงที่ “น้าชาติ” เป็นนายกฯ ผมกับพี่โต้ง ยังคงไปมาหาสู่กันเป็นประจำที่บ้านเรือนไทย บางคราก็นัดเจอกันที่ “บ้านพิษณุโลก” เพราะเป็นที่ทำงานของพี่โต้งกับ “ทีมที่ปรึกษานายกฯ ชาติชาย” ซึ่งผมก็รู้จักคุ้นเคยกับสมาชิกในทีม

ช่วงนั้น “น้าชาติ” กับพี่โต้ง ซึ่งเป็นประธานที่ปรึกษานายกฯ เห็นตรงกันว่า อยากได้นักธุรกิจรุ่นใหม่ทันโลกทันสถานการณ์ และประสบความสำเร็จในยุคนั้น ให้เข้ามาเป็นรัฐมนตรี นักธุรกิจที่ถูกเล็งไว้คนนั้นคือ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ซึ่งทำธุรกิจสื่อมวลชนและอื่นๆ อีกมากมาย พี่สนธิเป็นเพื่อนสนิทของพี่โต้ง และ “น้าชาติ” ก็ชอบหลายความคิดใหม่ๆ ของพี่สนธิด้วย แต่หลังพี่สนธิรู้ว่า “ต้องช่วยพรรคสัก 20 ล้านบาท” พี่สนธิได้ปฏิเสธตำแหน่งรัฐมนตรีกับ “พี่โต้ง” และ“นายกฯ ชาติชาย” ทันที

เรื่อง“ ช่วยพรรค” แบบนั้น อย่าทำเป็นเล่นนะครับ ผมจะเล่าเรื่องจริงแต่ขอไม่บอกชื่อนะครับ วันหนึ่งที่สำนักงานเลขาฯ พลเอก ชาติชายฯ อันเป็นออฟฟิศที่บรรดา สส. รัฐมนตรี และนักธุรกิจ ชอบมาป้วนเปี้ยนเพื่อพบพี่โต้ง “นักธุรกิจหนุ่มคนหนึ่ง” มาถามผมว่า “ผมเป็นนักธุรกิจ ขอถามว่า.. พ่อผมจะได้ตำแหน่งอะไร?”

พอเขารู้ว่าพ่อจะได้ตำแหน่งสำคัญบริหารด้านการคลังเท่านั้นแหละ.. “เจ้าหนุ่มนักธุรกิจ” ในวันนั้น (ผู้กลายเป็นนักการเมืองใหญ่ในวันนี้) “เซ็นเช็ค 150 ล้านบาท” ยื่นให้ผมต่อหน้าพี่โต้งทันที! จากนั้นผมก็เดินถือเช็คฉบับนั้นเพื่อจะเอาไปให้ “น้าชาติ” แต่เจอ “พ่อเจ้าหนุ่มคนนั้น” นั่งรับประทานอาหารอยู่กับ “น้าชาติ” พอดี “

พ่อเจ้าหนุ่มฯ” ผู้มีตาไวราวกับเหยี่ยว เมื่อเหลือบเห็นลายเซ็นคุ้นๆ บนเช็ค เขาก็รีบคว้าหมับไปเก็บเข้ากระเป๋าตัวเองเสียฉิบ เพราะพ่อเจ้าหนุ่มคนนั้นจ่ายไปแล้ว 200 กิโลว่ะ!

การเป็นประธานที่ปรึกษานายกฯ ทำให้พี่โต้งง่วนอยู่กับการประสานงานกับ “ท่านนายกฯ ชาติชายผู้พ่อ” ส่วนผมก็วุ่นอยู่กับการผลักดันงานของพีรพล ทั้งในกรุงเทพและเวียดนาม

ก่อนปีใหม่ปีหนึ่ง พีรพลได้คิดโปรเจ็กต์และผลักดันจนเกิดการร่วมทำปฏิทินระหว่างไทยกับเวียดนามขึ้น โดยฝ่ายไทยมีผมและ “สิงห์คม บริสุทธิ์” ตากล้องมือฉมังของกรมศิลปากร เขาเป็นช่างภาพที่ถนัดถ่ายรูปโบราณวัตถุสำคัญๆ ของชาติได้อย่างสวยงาม ผลงานสิงห์คมทำให้ปฏิทินของผมและเพื่อน คว้ารางวัลที่ 1 ในการประกวดในไทยมาตลอดหลายปี เช่นภาพถ่ายเครื่องทองในพิพิธภัณฑ์ “เจ้าสามพระยา” จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

และที่โด่งดังระเบิดคือ ภาพถ่าย “ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์” ที่อเมริกายอมส่งคืนให้ไทย ซึ่งพิมพ์ใหญ่ขนาดกระดาษตัดสอง ทำให้เห็นรายละเอียดทุกมิติของพื้นหินทับหลัง ผลงานถ่ายภาพมากมายของ “สิงห์คม บริสุทธิ์” ทำให้เขาได้เป็นศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์

เรื่องการทำปฏิทินในปีนั้น ทางเวียดนามเป็นฝ่ายสนับสนุนนางแบบให้สิบกว่าคน เพื่อให้ผมกับสิงห์คมคัดเลือกจนเหลือแค่ 6 คน มีทั้งที่เป็นนางแบบอาชีพ นางงาม รวมทั้งดาราภาพยนตร์ที่เป็นอดีตนักยิมนาสติค การถ่ายทำมีทั้งฉากในตึกสำนักงานกรุงโฮจิมินห์ ฉากริมแม่น้ำไซ่ง่อน และฉากสาวใส่บิกินีเอนนอนอยู่ชายหาดริมทะเล ฯลฯ

ผมได้ถามถึงค่าตัวนางแบบที่ต้องทำงานหนึ่งถึงสองวัน จึงได้รู้ว่า “กลุ่มนางแบบ” ได้ค่าตัวเฉลี่ยวันละ 1,000 บาทเท่านั้น ในราคานี้พวกเธอต้องทำผมแต่งหน้าแต่งเล็บและขนเสื้อผ้าของตัวเองมาใส่ในการถ่ายภายด้วย ซึ่งผิดกับนางแบบไทยที่มีช่างแต่งหน้าทำผม และมีเสื้อผ้าที่แผนกจัดการจะเตรียมการไว้ให้เสร็จสรรพ แถมรายได้ก็ต่างกันลิบลับ นางแบบไทยทั่วไปรับเงินทำงานครั้งละ(ภายในหนึ่งชั่วโมง)ไม่ต่ำกว่า 5,000 บาท นางแบบบางคนถ่ายภาพนิ่งครั้งละเป็นหมื่นเป็นแสนหรือหลายแสนก็มีครับ

เมื่อการถ่ายทำในครั้งนั้นเสร็จสิ้น พีรพลใจป้ำจัดงานเลี้ยง “ขอบคุณ” บรรดานางแบบทุกคน รวมทั้งเลี้ยงทีมงานทางฝ่ายเวียดนามด้วย โดยมีวงสตริงคอมโบ้ชื่อดังของเวียดนาม และนักร้องชายหญิงมาสร้างความบันเทิงกันอย่างสนุกสนาน นักดนตรีเวียดนามวงนี้ฝีมือดีทีเดียว เล่นเพลงสากลที่ฮิตเหมือนในไทย มีทั้งเพลงของวงร็อคอเมริกันชื่อย่อ “CCR” ชื่อเต็ม “Creedence Clearwater Revival” โดยเล่นเพลงดังเช่น Proud Mary กับ Have You Ever Seen the Rain

ส่วนเพลงสไตล์ฮาร์ดร็อคก็เล่นเพลงของวง “Steppenwolf” โดยเล่นเพลงที่นิยมกันอย่าง Born to be Wild โดยเฉพาะเพลงที่นักดนตรีชอบเล่น มีทั้งเพลง Burn และเพลง Highway Star ของวงม่วงมหากาฬอย่าง Deep Purple เป็นต้นขณะที่เพลงช้าๆ ก็เล่นเพลงของวง The Bee Gees ซึ่งหนีไม่พ้นเพลง How Deep is Your Love และเพลงของวงดนตรีอเมริกันอื่นๆ อีกมากมาย

ที่น่าสนใจคือมีวงดนตรีเวียดนามวงหนึ่งที่เล่นด้วยเครื่องดนตรีเพียงแค่ 3 ชิ้น คือ กลอง 1ชุด กีต้าร์โซโล่ 1ตัว และกีต้าร์เบส 1 ตัว ต้องยอมรับว่านักดนตรีเวียดนามทั้ง 3 คนเล่นได้แน่นและดีจริงๆ เพลงที่พวกเขาเล่นล้วนเป็นเพลงที่ใช้เครื่องดนตรี 3 ชิ้นที่โด่งดังอยู่ในอเมริการวมทั้งอังกฤษและยุโรปด้วย เช่นเพลงของวง The Cream อย่างเพลง Sunshine of Your Love และวงดนตรีเฮฟวี่ร็อคอย่าง Grand Funk Railroad ที่เริ่มเล่นดนตรีอยู่ในบาร์ย่านผู้ใช้แรงงานในอเมริกา ซึ่งนักดนตรีในเอเซียมักจะเล่นกัน นั่นคือเพลง Closer to Home

รวมทั้งวงดนตรีที่เล่นในงานคอนเสิร์ตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Woodstock ซึ่งมีผู้คนไปดูกันราว 500,000 คน อย่างวง The Who ซึ่งเป็นวงดนตรีอังกฤษที่ไปโด่งดังในอเมริกา วงดนตรีเวียดนามที่เล่นดนตรี 3 ชิ้นวงนั้น เล่นหลายเพลงของวง The Who เพลงหนึ่งที่เล่นและร้องยากมาก คือ เพลง“Behind Blue Eyes” คืนนั้นกว่างานเลี้ยงจะเลิกก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว..

การถ่ายภาพนางแบบทำปฏิทินใช้เวลาร่วมหนึ่งสัปดาห์ ผมนำภาพนางแบบเวียดนามทุกคนที่สิงห์คมถ่ายกลับเมืองไทย เพื่อออกแบบ ทำอาร์ตเวิร์ค และพิมพ์จนเสร็จสิ้นก่อนปีใหม่ จากนั้นพีรพลก็นำปฏิทินไปมอบให้กับทางฝ่ายเวียดนาม ส่วนผมก็นำเบื้องหน้าเบื้องหลังการทำปฏิทินไทย-เวียดนามในครั้งนั้น ไปเผยแพร่ลงในหนังสือพิมพ์และนิตยสารบางฉบับ รวมทั้งนำไปให้พี่โต้งกับที่ปรึกษา “บ้านพิษณุโลก” บางคนดู เมื่อเห็นภาพ “พวกคุณเธอ” ที่ปรึกษาบางคนถึงกับ “น้ำลายหกโดยไม่รู้ตัว!”

เรียกว่า บางด้านของงาน “แปรสนามรบเป็นสนามการค้า” “น้าชาติ” ไม่รู้เลยว่า “ที่ปรึกษาบ้านพิษณุโลก”หลายคน “น้ำลายหยดอ้าปากหวอ” กันไปแล้ว.. เอ้อ!... แล้วผมจะมาเล่าเรื่องอื่นให้ทราบกันนะครับ!


กำลังโหลดความคิดเห็น