หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ
แม้ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลฮุนกับตระกูลชินจะเหมือนเครือญาติที่คอยช่วยเหลือเกื้อกูลกันมา ทั้งสองตระกูลมีโมเดลในการยึดครองประเทศเหมือนกันโดยการสืบทอดทางสายเลือด แต่สิ่งที่ฮุน เซนประสบความสำเร็จมากกว่าทักษิณก็คือ การทำให้สถาบันกษัตริย์ของกัมพูชาเป็นเพียงสัญลักษณ์ที่อยู่ใต้อำนาจของฮุน เซน
หลังรัฐประหาร 2549 ทักษิณใช้กัมพูชาเป็นฐานลี้ภัย โดยฮุน เซน แต่งตั้งเขาเป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจในปี 2552 ซึ่งสร้างความตึงเครียดกับรัฐบาลไทยขณะนั้น ถึงวันนี้ความสัมพันธ์ยังคงแน่นแฟ้น เช่น การที่ทักษิณและยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ร่วมงานวันเกิดครบรอบ 71 ปีของฮุน เซน ในปี 2566 และการเยือนของฮุน เซน ที่บ้านจันทร์ส่องหล้าของทักษิณในปี 2567 หลังทักษิณได้รับการพักโทษ
มิตรภาพนี้ขยายไปถึงครอบครัวผ่านการแต่งงานของ ชยาภา วงศ์สวัสดิ์ ลูกสาวของเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ (น้องสาวทักษิณ) กับ ลีนาล นัม ลูกชายนักการเมืองคนสนิทของฮุน เซน ในปี 2556 งานแต่งนี้มีแขกสำคัญ เช่น ยิ่งลักษณ์ และเตีย บันห์ รองนายกฯ กัมพูชา การสมรสถูกมองว่าเป็นการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลที่มีอิทธิพล แม้สมชาย วงศ์สวัสดิ์จะยืนยันว่าไม่เกี่ยวกับการเมือง แต่หลายฝ่ายตีความว่าเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์
เรียกได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างทักษิณและฮุน เซนเป็นมิตรภาพที่แน่นแฟ้น มีทั้งหนี้บุญคุณจากการช่วยเหลือในช่วงวิกฤตทางการเมืองและผลประโยชน์ร่วมกันในด้านเศรษฐกิจและการทูต
นอกจากนี้ กัมพูชายังอำนวยความสะดวกให้กับบุคคลในตระกูลชินวัตร เช่น การเดินทางของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผ่านกัมพูชาในช่วงที่ต้องหลบหนีคดีในประเทศไทยเพื่อหลบหนีคำพิพากษาคดีจำนำข้าว และยังเป็นที่พักพิงของคนเสื้อแดงที่หลบหนีคดีมาตรา 112 จำนวนมาก ถึงขนาดคนเสื้อแดงเคยใช้แผ่นดินกัมพูชาเป็นที่ชุมนุม และแต่งเพลงสรรเสริญฮุน เซน
แต่กลายเป็นว่า ในวันที่ตระกูลชินกลับมามีอำนาจ ความขัดแย้งปัญหาชายแดนกลับปะทุขึ้นอย่างรุนแรงด้วยท่าทีที่แข็งกร้าวของฝ่ายกัมพูชา หลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่า นี่เป็นแผนการร่วมกันที่ทำให้กองทัพต้องพะวงกับปัญหาชายแดนไม่มาสนใจกับปัญหาภายในประเทศ เพราะรัฐบาลของตระกูลชินมักจบลงด้วยการรัฐประหารของกองทัพ
เริ่มจากความขัดแย้งจากข้อพิพาทกรณีปราสาทตาเมือนธม ในจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งได้รับการยืนยันว่าเป็นของไทย 100% โดยกรมศิลปากร แต่ตั้งอยู่ใกล้ชายแดน ทำให้เกิดเหตุการณ์รุกล้ำ เช่น เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 ทหารกัมพูชานำโดยนายพลเข้าไปจัดงานเชิงสัญลักษณ์ หรือวันที่ 27 เมษายน 2568 ที่ทีมงานประวัติศาสตร์นอกตำราพบทหารกัมพูชาแสดงท่าทีเป็นเจ้าของพื้นที่ เหตุการณ์เหล่านี้กระตุ้นกระแสชาตินิยมในทั้งสองฝ่าย
จนกระทั่งล่าสุดเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 เกิดเหตุปะทะที่ ช่องบก จ.อุบลราชธานี ซึ่งเป็นพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนระหว่างไทยและกัมพูชา ตามรายงาน เมื่อเวลา 05.30-05.45 น. ทหารไทยจากหน่วยความมั่นคงชายแดนตรวจพบทหารกัมพูชาพยายามจัดเตรียมพื้นที่เพื่อตั้งจุดตรึงกำลังในเขตที่ไทยอ้างสิทธิ์ ทหารกัมพูชาเป็นฝ่ายยิงก่อน ส่งผลให้ทหารไทยต้องตอบโต้ด้วยการยิงป้องกันตัว การปะทะกินเวลาเพียง 10 นาที (05.45-05.55 น.) และยุติลงหลังการเจรจาโดยกองทัพไทย ซึ่งนำโดย พล.ต.ทล โซะวัน รองผบ.พล.สสน.3 จากฝั่งกัมพูชา ประสานงานเพื่อหยุดยิงและลดความตึงเครียด
ฮุน เซน ระบุว่าพื้นที่ที่มีการปะทะ เช่น ช่องบก เป็นดินแดนของกัมพูชา โดยอ้างว่าเป็นของกัมพูชามาตั้งแต่ก่อนการลงนาม MOU 43 เขากล่าวว่า “ไม่มีประเทศใดในโลกที่ถูกขอให้ถอนทหารออกจากดินแดนของตนเอง สามเหลี่ยมมรกตรวมทั้งโรงเรียนที่นั่นเป็นของเรา ผมเคยไปเยี่ยมที่ตรงนั้นเป็นการส่วนตัว เขตแดนของเราไม่ได้อยู่แค่ตรงนั้น ผมเคยเข้าไปไกลกว่านั้นด้วย แล้วทำไมตอนนี้เราถึงถูกบอกให้ถอนทหาร นี่ไม่ใช่การปลุกปั่นให้โกรธกัน แต่เป็นการปกป้องอธิปไตยของชาติ และตอนนี้ เราจะได้เห็นชัดเจนว่าใครรักและปกป้องชาติอย่างแท้จริง”
ส่วนฮุน มาเนตโพสต์ผ่าน Facebook หลังเหตุปะทะที่ช่องบก โดยระบุว่ากัมพูชาจะปกป้องพรมแดนของตนอย่างเต็มที่ และสั่งระดมทหารและอาวุธหนักไปยังชายแดนเพื่อปกป้องอธิปไตย เขายังเรียกร้องให้ประชาชนกัมพูชาเชื่อมั่นในกองทัพและรัฐบาล
ขณะที่แพทองธาร กล่าวเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 ถึงเหตุการณ์ปะทะที่ช่องบกว่า ผู้บัญชาการทหารบกของทั้งสองฝ่าย (ไทยและกัมพูชา) เตรียมพูดคุยกันเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ โดยแสดงความหวังว่าการเจรจาจะนำไปสู่ความชัดเจนและลดความตึงเครียด เธอขอให้ทุกฝ่าย “ใจเย็น” และหันหน้ามาคุยกัน โดยย้ำว่ารัฐบาลไทยมุ่งมั่นในการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับกัมพูชาและหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า
ส่วนนายภูมิธรรม เวชยชัย รมว.กลาโหม สั่งการให้ผู้บัญชาการทหารบก ลงพื้นที่ชายแดนและห้ามใช้ความรุนแรง โดยแนะนำให้ทั้งสองฝ่ายถอยกำลังออกจากพื้นที่พิพาทฝ่ายละ 200-400 เมตร เพื่อลดความตึงเครียด และย้ำว่าไทยกำลังเจรจากับกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง และกองทัพไทยมีความพร้อมในการปกป้องดินแดน โดยระบุว่า “ทุกฝ่ายควรถอยคนละก้าว” เพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่ดี แต่หากจำเป็น ไทยจะดำเนินการตามกรอบกฎหมายระหว่างประเทศเพื่อปกป้องผลประโยชน์
การเจรจาเรื่องพรมแดนระหว่างรัฐบาลไทยผ่าน MOU 43 ที่ทำสมัยชวน หลีกภัย และ MOU 44 ที่ทำสมัยทักษิณ ยากจะจบลงได้ เพราะต่างฝ่ายต่างใช้กฎหมายคนละฉบับ MOU43 เป็นการเจรจาด้านพรมแดนทางบกเป็นหลัก แต่ทางไทยยึดหลักสนธิสัญญาฝรั่งเศส-สยาม ปี 1907 และไม่ยอมรับว่าแผนที่ Annex I มีผลผูกพันทางกฎหมาย ขณะที่ไทยยอมรับการเจรจาเพื่อหาข้อยุติอย่างสันติ โดยเน้นหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ส่วนกัมพูชายึดคำตัดสินของศาลโลกปี 2505 และแผนที่ Annex I เป็นหลักในการเจรจา
ในขณะที่ MOU 44 มุ่งเน้นพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (Overlapping Claims Area - OCA) ในอ่าวไทย ขนาดประมาณ 26,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งทั้งสองฝ่ายอ้างสิทธิในไหล่ทวีปที่มีทรัพยากรน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ฝ่ายไทยยึดอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล (UNCLOS) ปี 1982 เป็นหลักในการกำหนดเขตแดนทางทะเล โดยใช้หลักเส้นกึ่งกลาง (Median Line) ในการแบ่งเขตไหล่ทวีป ไทยมองว่าแนวพิกัดของกัมพูชาในปี 2515 ไม่สอดคล้องกับ UNCLOS และไม่ยอมรับว่ามีผลผูกพัน
ส่วนฝ่ายกัมพูชาไม่ได้ยึด UNCLOS เป็นหลักอย่างชัดเจนในการเจรจา MOU 44 แต่กลับอ้างแนวพิกัดที่กำหนดในปี 2515 ซึ่งอิงตามสนธิสัญญาฝรั่งเศส-สยามและการตีความของตนเอง แนวพิกัดนี้ให้พื้นที่มากกว่าที่จะได้จากหลักการของ UNCLOS ทำให้กัมพูชายืนกรานในแนวพิกัดของตนเพื่อรักษาข้อได้เปรียบ
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า การเจรจาพิพาทปัญหาพรมแดนระหว่างไทยกับกัมพูชายากจะจบลงได้ด้วยการเจรจา เพราะต่างฝ่ายต่างยึดกฎหมายคนละฉบับ แม้จะเจรจากันมาเนิ่นนานตาม MOU ทั้งสองฉบับก็ไม่เกิดประโยชน์ใดขึ้นมาเลย แต่ไม่เข้าใจว่า ไม่มีรัฐบาลไหนของไทยยกเลิก MOUทั้งสองฉบับ
ขณะที่ฮุน มาเนตระบุว่าเตรียมนำข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะพื้นที่ 4 แห่ง ได้แก่ พื้นที่สามเหลี่ยมมรกต ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย ขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือ “ศาลโลก” เพื่อแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธีและกฎหมายระหว่างประเทศ โดยจะมีการประชุมคณะกรรมการเขตแดนร่วม (JBC) เพื่อเตรียมข้อมูลสำหรับการยื่นฟ้อง
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยไม่ได้ยอมรับอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ(ICJ)มานานแล้ว และรัฐบาลเศรษฐาเพิ่งมีมติครม.เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2567 ยืนยันเรื่องนี้ และมีหนังสือลงวันที่ 19 มีนาคม 2567 แจ้งให้หน่วยราชการทุกหน่วยทราบและให้ถือเป็นข้อปฏิบัติอย่างเคร่งครัดว่าในการทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศใด ๆให้ทำข้อกำหนดไว้ว่าไม่ยอมรับเขตอำนาจศาล ICJ ในทุกเรื่อง
ในขณะที่ฝ่ายกองทัพไทยเสนอแผนปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา 6 แห่ง จุดผ่อนปรน 10 แห่ง และจุดท่องเที่ยวเขาพระวิหาร เนื่องจากความกังวลว่าการปะทะที่ช่องบกและกระแสชาตินิยมในกัมพูชา รวมถึงการรณรงค์ไม่ซื้อสินค้าไทย อาจนำไปสู่การกระทบกระทั่งระหว่างประชาชนสองฝ่าย โดยโฆษกกองทัพบกยอมรับว่า การปิดด่านเป็นหนึ่งในแผนระดับพื้นที่เพื่อดูแลความมั่นคงและความปลอดภัยของประชาชน โดยเฉพาะหากสถานการณ์มีความเสี่ยงสูงหรือมีการใช้อาวุธระยะไกล แต่ยืนยันว่า ยังไม่มีคำสั่งปิดด่าน และสถานการณ์ในพื้นที่ส่วนใหญ่ยังปกติ
แต่รัฐบาลแพทองธารไม่เห็นด้วยโดยยืนยันว่า ไม่มีการปิดด่านชายแดนทุกแห่ง โดยชี้ว่าการค้าขายตามแนวชายแดนยังเป็นปกติและคึกคัก โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดยาวที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก โดยรัฐบาลเน้นการใช้กลไกการเจรจา เช่น คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) และคณะกรรมการเขตแดนร่วม (JBC) เพื่อแก้ไขปัญหา และขอให้ทุกฝ่ายหลีกเลี่ยงการปลุกปั่นที่อาจสร้างความตึงเครียดเพิ่มเติม
และนายภูมิธรรม รมว.กลาโหม ไม่เห็นด้วยกับการปิดด่านทุกแห่ง โดยยืนยันว่าไม่มีการสั่งปิดด่าน และเน้นการเจรจาและรักษาการค้าขายตามปกติ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบด้านจิตวิทยาและเศรษฐกิจ พร้อมทั้งย้ำความพร้อมในการปกป้องอธิปไตยของชาติผ่านกลไกสันติวิธี
เห็นได้ว่าท่าทีของฮุน มาเนต และฮุน เซนเป็นไปด้วยความแข็งกร้าวเพื่อปลุกระดมคนในชาติ แต่ท่าทีของแพทองธาร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอดีตทหารป่าคนรับใช้ของทักษิณกลับอ่อนแอเหมือนกับปุยนุ่นที่เป็นเบี้ยล่างของกัมพูชา แม้ว่าสงครามเป็นสิ่งที่ควรจะหลีกเลี่ยงก็ตาม