ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา...จะมีสิทธิ์ลุกลามไปถึงระดับเดียวกับฉากสถานการณ์ ณ ฉนวนกาซา ดังที่ผู้นำเขมร อย่าง “ฮวยเซ็ง” ออกมาขู่คำรามหรือไม่? อย่างไร?แม้จะเป็นเรื่องสำคัญเอามากๆ โดยเฉพาะสำหรับประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา ที่ไม่อาจยกประเทศหนีไปจากการติดต่อเชื่อมโยงกับพรมแดนอาณาเขต อาณาจักรของ “พระยาละแวก” ในอดีต ได้เลยแม้แต่น้อย แต่คงต้องถือว่า...ยังไม่ถึงกับเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องโต เมื่อเทียบฉากสถานการณ์ความเป็นไปของโลกทั้งโลก ที่ชักใกล้ๆ “สงครามล้างโลก” ยิ่งเข้าไปทุกทีเอาเลยก็ว่าได้!!!
ไม่ว่าจะไล่มาตั้งแต่ “แนวรบยุโรปตะวันออก” ที่ความพยายามหาทางออก-ทางไปด้วย “การเจรจา” ระหว่างรัสเซีย-ยูเครน มาถึง ณ ขณะนี้...ต้องเรียกว่ากลายเป็นแค่ “พิธีกรรม”ไม่ใช่ “กระบวนการ” ที่สามารถนำไปสู่ข้อสรุป ข้อยุติแบบเป็นจริง-เป็นจังได้เลย เพราะขณะที่กำลังเริ่มๆ จะเจรจารอบ 2 ที่ตุรกีไปตามกำหนดการ จู่ๆ...วันอาทิตย์ที่ผ่านมา (1 มิ.ย.) กองกำลังยูเครนที่ชักจะกลายเป็นกองกำลังแห่งการ “ก่อการร้าย”ยิ่งเข้าไปทุกที โดยได้รับการสนับสนุนส่งเสริมจากบรรดาชาติตะวันตก ที่ทำท่าว่าชักไม่อยากเป็น “พรมเช็ดเท้า” ให้กับ“ทรัมป์บ้า” ผู้นำอเมริกาแบบเดิมๆ อีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี เช่น การแสดงออกถึงความกระเหี้ยนกระหือรือของอังกฤษ-ฝรั่งเศสที่คิดจะส่งกองกำลังยุโรปเข้าไปยังดินแดนยูเครนภายใต้หน้ากากของ “กองกำลังรักษาสันติภาพ” อันแทบไม่ต่างไปจากการเร่งเร้าให้เกิดการเผชิญหน้าโดยตรงระหว่าง“รัสเซีย-NATO” กันเห็นๆ หรือการคิดจะยกเลิกข้อจำกัดการใช้ขีปนาวุธ “Taurus” ของเยอรมนี เพื่อให้กองทัพยูเครนสามารถใช้อาวุธชนิดนี้โจมตีลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซีย ได้เปิดฉากปฏิบัติการโจมตีรัสเซียครั้งใหญ่ ที่เรียกขานในนาม“Operation Spiderweb” หรือ “ปฏิบัติการใยแมงมุม” อะไรทำนองนั้น แบบชนิดเล่นเอาฉิบหายวายวอดกันไปเป็นแถบๆ...
คือไม่ใช่แค่โจมตีแต่เฉพาะจุดใด-จุดหนึ่งแบบที่เคยบุกแคว้น “Kurtz” ซึ่งอยู่แถวๆ ชายแดนรัสเซียก่อนหน้านี้เท่านั้นแต่ยังโจมตีลึกเข้าไปในอาณาเขต อาณาบริเวณ ระดับนับเป็นพันๆ กิโลเมตรเอาเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าแถบอาร์กติก แถบไซบีเรียฯลฯ ไปโน่นเลย โดยเฉพาะอาณาบริเวณอันเป็นฐานทัพที่ตั้งของเครื่องบินรบชนิดต่างๆ ของรัสเซีย ส่งผลให้เครื่องบินทิ้งระเบิด เครื่องบินโจมตี แต่ละรุ่น แต่ละลำ ไม่ว่า “A-50”, “TU-95”, “TU-22”, “TU-160” ฯลฯ พังพินาศฉิบหาย ไปไม่ต่ำกว่า 41 ลำ มูลค่าไม่น้อยกว่า 7,000 ล้านดอลลาร์ นั่นยังไม่รวมถึงการก่อวินาศกรรมระเบิดสะพานเชื่อมทางรถไฟ ไปจนการล้างผลาญทำลายสิ่งสาธารณูปโภคด้านพลังงาน ที่เคยถูกถือเป็นข้อห้าม ข้อจำกัด ของทั้งสองฝ่ายระหว่างการเริ่มต้นเจรจาหาข้อยุติมาก่อนหน้านี้...
ด้วยเหตุนี้...ไม่ว่าฝ่ายยูเครนจะคุยโม้โอ้อวด ถึงการวางแผนโจมตีอันสุดแสนจะสลับซับซ้อนมานานถึง 18 เดือน หรือแสดงอาการกระดี้กระด้ากันไปถึงขั้นไหน รวมทั้งบรรดาชาติตะวันตกที่อาจถือเป็นการบรรลุเป้าหมายในอันที่จะบ่อนเซาะ ทำลาย การเจ๊าะแจ๊ะเจรจาระหว่างรัสเซีย-ยูเครนภายใต้แรงกดดันของอเมริกา ที่เพิ่งเริ่มตั้งไข่ จนอาจหนีไม่พ้นต้องล้มโต๊ะกันไปจนได้ แต่อย่างที่นักคิด-นักวิเคราะห์อดีตเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองนาวิกโยธินอเมริกา “นายScott Ritter” ต้องออกมารำพึงไว้ดังๆ ในข้อเขียน บทความชิ้นล่าสุด (Playing with Fire) เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.ที่ผ่านมานั่นแหละว่า จากปฏิบัติการครั้งนี้นี่เอง...กำลังนำมาซึ่งฉากสถานการณ์ที่ถูกบรรยายไว้ว่า...“ไม่ว่าจะอเมริกาหรือโลกทั้งโลกก็ตาม กำลังเขยิบเข้าไปยืนอยู่ ณ ริมปากเหวของ...สงครามล้างโลก (Nuclear Armageddon)”ไปแล้วถึงขั้นนั้น!!! หรือ “ด้วยผลแห่งการกระทำของบรรดามวลมนุษยชาติทั้งหลาย แม้ว่าเราจะพยายามแยกตัวเองออกจากนโยบายต่างๆ ที่ได้ชักนำเราจนมาถึง ณ จุดนี้ แต่ดูเหมือนว่า...เราทั้งหลายคงเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องแบกรับผลพวงที่จะตามมา ด้วย...รายจ่าย...ที่ราคาแพงเอามากๆ!!!”
นี่...อันนี้นี่แหละที่ต้องเก็บมาคิด เก็บมาวิเคราะห์เอาไว้ให้จงหนัก เพราะเหตุที่ “นายScott Ritter” เขาต้องปรารภรำพึงเอาไว้ถึงขั้นนี้ ก็เนื่องมาจากก่อนหน้านี้ ฝ่ายรัสเซียเขาได้ยกระดับ “หลักนิยมนิวเคลียร์” คราวล่าสุด เมื่อช่วงปี ค.ศ. 2024 เอาไว้ค่อนข้างชัดเจน ถึงความจำเป็นที่ต้องงัดอาวุธมหาประลัยชนิดนี้ออกมาใช้ ตราบใดที่การโจมตีรัสเซียไม่ว่าด้วยอาวุธในแบบ หรืออาวุธนิวเคลียร์ ได้อุบัติขึ้นมาโดยชาติที่มีอาวุธนิวเคลียร์ หรือบรรดาผู้สนับสนุนชาตินิวเคลียร์ทั้งหลาย ลึกเข้ามาในดินแดนรัสเซียด้วยความจงใจที่จะล้างผลาญ ทำลาย ศักยภาพของชาติในด้านต่างๆ โดยไม่คิดจะบันยะบันยังเอาเลยแม้แต่น้อย และด้วย“ปฏิบัติการใยแมงมุม” ของยูเครนและชาติตะวันตกคราวนี้ มันหนักหนา-สาหัสชนิดเลยเส้นมาตรฐานของหลักนิยมนิวเคลียร์ครั้งล่าสุด ไปไม่รู้กี่ก้าวต่อกี่ก้าว หรือเท่ากับยูเครนและบรรดาชาติตะวันตก ได้พร้อมใจที่จะร่วมมือกันก้าวล้ำ “เส้นแดง” ที่ฝ่ายรัสเซียได้ขีด ได้วางเอาไว้ก่อนหน้านี้ อย่างไม่อินังขังขอบใดๆ ทั้งสิ้น!!!
ยิ่งไปกว่านั้น...บรรดาประเทศเสาหลักในยุโรป อย่างอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี ต่างแสดงออกโดยเปิดเผยยิ่งเข้าไปทุกที ถึงการคิด “เปิดศึกโดยตรง” กับรัสเซีย ไม่ว่าด้วยการเพิ่มงบประมาณทางทหาร ระดมบุคลากรเข้าประจำการในกองทัพ ไปจนการทุ่มเทเงินทองนับพันๆหมื่นๆ ล้านดอลลาร์ให้กับอุตสาหกรรมทหาร เพื่อผลิตอาวุธร้ายๆ ไม่ว่าจรวด โดรน และอะไรต่อมิอะไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้...ยิ่งทำให้แนวโน้มของ“สงคราม” ใน “แนวรบยุโรปตะวันออก” มีแต่จะยิ่งเพิ่มขึ้น ขยายตัวยิ่งขึ้น และจะยืดเยื้อยิ่งขึ้น จนยากที่จะหาข้อสรุป หรือข้อยุติกันได้ง่ายๆ...
ส่วน “แนวรบตะวันออกกลาง” ก็คงไม่ได้ผิดแผกแตกต่างไปจากกันสักเท่าไหร่ แม้ว่านักสันติภาพตามแบบฉบับ “ทรัมป์บ้า” จะพยายามฟื้นการเจรจากับอิหร่านในเรื่องโครงการนิวเคลียร์ เลิกรบกับพวก “Houthi” หรือกระทั่งต้องการให้เกิดการหยุดยิงในฉนวนกาซา ฯลฯ แต่พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์ของสหรัฐฯ อย่างอิสราเอลกลับไม่คิดจะให้ความสำคัญกับสันติภาพใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย ไม่เพียงแต่การเปิดฉากปฏิบัติการ“Gideon Chariots” อันมีจุดมุ่งหมายเพื่อยึดครองอาณาบริเวณฉนวนกาซาอย่างเป็นการถาวร ยังขยายเขตตั้งถิ่นฐานของชาวอิสราเอลเข้าไปยังอาณาบริเวณเวสต์แบงก์ จนทำให้โอกาสที่จะได้เห็น “รัฐปาเลสไตน์” อุบัติขึ้นมาอย่างเป็นจริง-เป็นจังตามแนวทางสันติภาพที่เรียกๆ กันว่า “Two State Solution” ยิ่งแทบเป็นไปไม่ได้เอาเลย หรือไม่เพียงแต่แทบมองไม่เห็นแนวโน้มแห่งสันติภาพแม้แค่เพียงรางๆ แต่ยังสะท้อนให้เห็นเค้าลางการขยายตัวของสงคราม ที่อาจลุกลามไปถึงอิหร่าน หรือไปทั่วทั้งตะวันออกกลาง ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้!!!
สำหรับ “แนวรบในทะเลจีนใต้” นั้น...เมื่อวัน-สองวันที่เพิ่งผ่านมานี่เอง รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ได้ลงทุนมาปลุกระดมบรรดาประเทศต่างๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ณ เวที “Shangri-La Dialogue” ที่สิงคโปร์ ให้หาทางรุมเล่นงานประเทศจีนในฐานะ “ภัยคุกคามที่อันตรายที่สุด” โดยมีรัฐมนตรีกลาโหมออสเตรเลียเป็นลูกคู่ ประสานเสียงคอรัส-รัดคอ อย่างไม่คิดจะบันยะบันยังใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย หรือไม่คิดจะ “อยู่ร่วมกันโดยสันติ” กับผู้ที่มีความผิดแผกแตกต่าง ไปจากตัวเองได้โดยเด็ดขาด...
อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง...เลยทำให้อดไม่ได้ที่จะคิดไปถึงคำกล่าวอ้างของพวก “นักทฤษฎีสมคบคิด” ที่เคยพูดๆ ถึงแนวคิดอันสุดแสนวิปริต วิตถาร ของผู้ที่ถูกเรียกขานกันในนามพวก “อีลิทโลก” ซึ่งมีอำนาจ อิทธิพล อยู่เบื้องหลังรัฐบาลแต่ละรัฐบาลมาโดยตลอด ที่คิดจะสร้าง “ความสมดุล” ระหว่าง“จำนวนทรัพยากรกับจำนวนประชากร” ภายในโลกใบนี้ ให้เกิดจุดลงตัว โดยไม่ใช่ด้วยการปรับเปลี่ยนกรรมวิธีในการจัดสรรและแจกจ่ายทรัพยากรให้เกิดความเสมอภาพและเท่าเทียม แต่ด้วยการลดทอนจำนวนประชากรนับพันๆ ล้านให้น้อยๆ ลงไปกว่าเดิม ด้วยการอาศัย “สงครามล้างโลก” นั่นแหละเป็นเครื่องมือ!!!
จริง-ไม่จริง น่าเชื่อ-ไม่น่าเชื่อ อันนั้น...คงต้องไปว่ากันอีกที แต่ถ้ามองถึงบทบาทของบรรดาผู้นำโลกรายสำคัญๆ ไม่ว่าจะเป็นประธานาธิบดี “ปูติน” แห่งรัสเซีย “สี ทนได้” หรือ “สี จิ้นผิง” แห่งประเทศจีน หรือกระทั่งผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ที่อยากเล่นบทเป็นนักสันติภาพไปตามความบ้า...ก็...บ้าวะของตัวเองก็เถอะ แต่ดูเหมือนว่า...บรรดาบุคคลเหล่านี้ กลับแทบมิอาจฝืนกระแสความเป็นไปของโลก ที่กำลังมุ่งไปสู่ “สงคราม” แบบใกล้เขยิบเข้าสู่ปากเหวของ “Nuclear Armageddon” อย่างที่“นายScott Ritter” ว่าไว้ ได้มากมายสักเท่าไหร่นัก ด้วยเหตุนี้...โอกาสที่แต่ละประเทศจะต้อง “จ่ายราคาแพง” ให้กับผลพวงที่กำลังมาถึง ไม่ว่าจะพยายามแยกตัวเองออกไปจากนโยบายที่ต้องการชักนำให้มวลมนุษย์ทั้งหลาย ก้าวมาถึงจุดๆนี้ หรือจุดที่ต้องวัดตัดสินกันด้วย “สงครามล้างโลก” จนได้!!!