ความสัมพันธ์ระหว่างทักษิณและฮุนเซนเป็นมิตรภาพที่แน่นแฟ้น มีทั้งหนี้บุญคุณจากการช่วยเหลือในช่วงวิกฤตทางการเมือง และผลประโยชน์ร่วมกันในด้านเศรษฐกิจและการทูตที่ฮุนเซนมีต่อทักษิณ เพราะเมื่อเผชิญวิกฤตการเมืองในประเทศทั้งทักษิณและยิ่งลักษณ์น้องสาวต้องหนีไปพึ่งใบบุญของกัมพูชา สิ่งแรกที่ทักษิณพูดเมื่อมีอิสรภาพก็คือ การนำเอาทรัพยากรในอ่าวไทยมาแบ่งปันผลประโยชน์กัน
ครอบครัวชินวัตรกับตระกูลฮุนมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นเหมือนเครือญาติและพึ่งพาอาศัยกันและกัน แต่เป็นเรื่องที่น่ากังขามากว่าในวันที่ทักษิณกลับมามีอำนาจนั้นทำไมฝ่ายกัมพูชาจึงสร้างปัญหาให้เกิดข้อพิพาทในเรื่องดินแดนขึ้นมา
ต่างกับในอดีตนักองด้วง (Nguon Duong) เป็นเจ้านายกัมพูชาที่เกิดในราชวงศ์กัมพูชาในช่วงที่กัมพูชามีความขัดแย้งภายในและถูกกดดันจากทั้งสยามและเวียดนามนักองด้วงต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่กัมพูชาถูกเวียดนามรุกรานและควบคุมในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 นักองด้วงจึงเดินทางมาขอพึ่งพระบรมโพธิสมภารสมเด็จพระเจ้าตากสิน และต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นภายใต้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑
นักองด้วงใช้เวลาหลายปีในสยาม (ประมาณ พ.ศ. 2311-2325) โดยได้รับการคุ้มครองและฝึกฝนในราชสำนักไทยราวปีพ.ศ. 2325 (สมัยรัชกาลที่ ๑) สยามยกกองทัพไปยังกัมพูชาเพื่อขับไล่กองกำลังเวียดนามและสนับสนุนนักองด้วงให้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ของกัมพูชา การขึ้นครองราชย์ของนักองด้วงทำให้กัมพูชากลายเป็นรัฐบรรณาการของสยามในช่วงเวลานั้น
แม้เราต้องยอมรับว่าความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชามีรากเหง้าจากประเด็นอธิปไตยที่ซับซ้อนการเมืองภายในและความไม่ชัดเจนของเขตแดนซึ่งมิตรภาพส่วนตัวไม่สามารถช่วยให้สถานการณ์คลี่คลายได้ เพราะฮุนเซนมักจะใช้เรื่องนี้เพื่อกระตุ้นความรู้สึกชาตินิยมและเสริมความแข็งแกร่งให้กับตำแหน่งผู้นำของตนที่ตกทอดมาถึงลูกชายฮุนมาเนตโดยเฉพาะเมื่อเผชิญแรงกดดันภายในประเทศ
ความขัดแย้งชายแดนเช่นบริเวณปราสาทพระวิหารหรือช่องบกมีรากฐานจากข้อพิพาทเรื่องเขตแดนที่ไม่ชัดเจนซึ่งย้อนกลับไปถึงสมัยอาณานิคมฝรั่งเศสและการตีความสนธิสัญญาต่างๆ การตัดสินของศาลโลกในปี 2505 ที่ให้ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา แต่พื้นที่รอบๆ ยังคงเป็นที่ถกเถียงทำให้เกิดความตึงเครียดเป็นระยะเพราะต่างฝ่ายต่างอ้างกฎหมายและสนธิสัญญากันคนละฉบับ
กรณีสามเหลี่ยมมรกตหรือช่องบกในจังหวัดอุบลราชธานีซึ่งเป็นพื้นที่ทั้งสองฝ่ายอ้างสิทธิก็เป็นตัวอย่างของความไม่ชัดเจนในเขตแดนที่นำไปสู่การปะทะที่ต่างฝ่ายต่างอ้างว่าอีกฝ่ายเริ่มยิงก่อนซึ่งทำให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิตหนึ่งนาย
ในอดีตสามเหลี่ยมมรกตเคยเป็นสมรภูมิรบในอดีตเช่นการปะทะระหว่างทหารไทยและกองทัพเวียดนามในช่วงปี 2528-2530 ซึ่งขณะนั้นเวียดนามยึดครองกัมพูชา ต่อมาได้มีการตั้งชื่อ “สามเหลี่ยมมรกต” เพื่อสะท้อนถึงรอยต่อสามประเทศไทย กัมพูชา และลาว และส่งเสริมความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว
พื้นที่สามเหลี่ยมมรกตบริเวณ “ช่องบก” และ “ศาลาตรีมุข” เป็นจุดที่มีข้อพิพาทระหว่างไทยและกัมพูชา เนื่องจากยังไม่มีการปักปันเขตแดนที่ชัดเจนตามหลักสากล โดยฮุนเซนอ้างว่าพื้นที่นี้เป็นของกัมพูชาพร้อมแสดงภาพถ่ายที่ศาลาตรีมุขเมื่อ 15 ปีก่อน และท้าทายให้ไทยนำเรื่องขึ้นศาลโลกเพื่อยุติข้อพิพาท ขณะที่โฆษกกองทัพบกไทยโต้แย้งว่าการอ้างสิทธิของกัมพูชาไม่มีผลตามหลักสากลและยืนยันว่าควรใช้กลไกคณะกรรมการชายแดนร่วม (JBC) เพื่อกำหนดเขตแดน
ในขณะที่ฝั่งกัมพูชามีท่าทีที่แข็งกร้าวกว่า ยืนยันหนักแน่นว่าดินแดนดังกล่าวเป็นของเขาจากทั้งฮุนเซนและฮุนมาเนต นายกรัฐมนตรี เรายังไม่ได้ยินคำพูดนี้จากปากของแพทองธารชินวัตร นายกรัฐมนตรีของเรา หรือภูมิธรรม เวชยชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม การตอบโต้ของฝ่ายไทยเทียบไม่ได้กับความหนักแน่นแข็งกร้าวของฝ่ายกัมพูชาที่ประกาศว่าจะนำไทยขึ้นสู่ศาลโลก
แต่แม้กัมพูชาจะเอาเรื่องนี้ขึ้นศาลโลกก็ไม่ได้ส่งผลอะไรต่อประเทศไทยเพราะประเทศไทยประกาศไม่ยอมรับอำนาจของศาลโลกมานานแล้ว
ขณะที่สมรังสีอดีตผู้นำฝ่ายค้านกัมพูชา ได้โพสต์ข้อความโดยระบุว่า “ปัญหาชายแดนเป็นเรื่องของชาติอย่าเอาแต่พูดคุณต้องยื่นฟ้องโดยใช้เอกสารต้นฉบับที่ชัดเจน ผมเชื่อว่านี่คือสิ่งที่ชาวกัมพูชาจากทุกกระแสการเมืองต้องการ”
“ดังนั้น ชาวเขมรผู้รักชาติในทุกกระแสการเมืองจะต้องกดดันและผลักดันให้ฮุนมาเนตยอมฟ้องประเทศไทยต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในกรณีที่เกาะกูดพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควายพื้นที่ช่องอานม้าและพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต”
ขณะที่ผู้นำกองทัพไทยพล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ แสดงจุดยืนในการปกป้องอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติโดยยืนยันว่าพื้นที่ช่องบกเป็นของไทยตามการอ้างสิทธิ และพล.ท.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบกระบุว่ากองทัพพร้อมปกป้องดินแดนแต่เน้นการถอยห่างจากจุดปะทะเพื่อลดความตึงเครียดและให้กลไก JBC จัดการเรื่องเขตแดนตามกฎหมายและข้อตกลงระหว่างประเทศ
กองทัพไทยมีข้อเสนอให้ปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชาเพื่อตอบโต้และกดดันฝ่ายกัมพูชาหลังจากเหตุการณ์ที่ทหารกัมพูชารุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ที่ไทยอ้างสิทธิบริเวณช่องบกจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งกองทัพเห็นว่าการปิดด่านจะเป็นการแสดงจุดยืนปกป้องอธิปไตยและกดดันฝ่ายกัมพูชา
แต่ทั้งแพทองธารและภูมิธรรมไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอนี้โดยสั่งให้กองทัพใช้ความอดทนอดกลั้นและหลีกเลี่ยงการปิดด่านชายแดน เนื่องจากเกรงว่าการปิดด่านจะส่งผลกระทบต่อการค้าชายแดนและเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศรวมถึงอาจทำให้สถานการณ์ตึงเครียดยิ่งขึ้นและยากต่อการคลี่คลาย
การแสดงออกของแพทองธารและภูมิธรรมสะท้อนถึงภาวะผู้นำ และแสดงถึงการขาดภาวะผู้นำและดูอ่อนแอเกินไปต่อกัมพูชาที่มีท่าทีแข็งกร้าวมากกว่า
ภูมิธรรมย้ำถึงการยึดหลักสันติวิธีและหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า โดยสั่งให้กองทัพไทยถอยห่างจากจุดปะทะฝ่ายละ 200-400 เมตรและรอการเจรจาผ่านกลไกคณะกรรมาธิการร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) เพื่อแก้ไขปัญหาการปักปันเขตแดน
ขณะที่ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ผู้นำพรรคฝ่ายค้าน ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 2มิถุนายน 2568 ตั้งคำถามว่ารัฐบาลไทยภายใต้การนำของแพทองธารและภูมิธรรมมีความเป็นมืออาชีพเพียงพอหรือไม่ในการจัดการวิกฤตความขัดแย้งชายแดนกับกัมพูชา โดยเฉพาะในพื้นที่สามเหลี่ยมมรกตและช่องบกเขาวิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐบาลอาจกำลังนำผลประโยชน์ของชาติไปเสี่ยงโดยเฉพาะเมื่อมีการอ้างถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างทักษิณกับฮุนเซนซึ่งอาจซ้ำเติมสถานการณ์ให้แย่ลง
ณัฐพงษ์แนะนำว่ารัฐบาลควรตอบโต้กัมพูชาด้วยวิธีการที่หลากหลายและเหมาะสมแทนที่จะปล่อยให้สถานการณ์ตึงเครียดโดยไม่มีการดำเนินการที่ชัดเจน โดยเขาเน้นว่ารัฐบาลต้องแสดงความหนักแน่นในการปกป้องผลประโยชน์ของชาติและหลีกเลี่ยงการปล่อยให้ความสัมพันธ์ส่วนตัวหรือการเมืองภายในมากำหนดนโยบายต่างประเทศ
หลังผ่านไป 7 วันเช้าวันพุธ รัฐบาลเพิ่งออกแถลงการณ์ว่า ไทยไม่ใช่ผู้รุกรานและจะป้องกันอธิปไตยอย่างเต็มที่ แต่ไม่หนักแน่นและแข็งกร้าวเหมือนฝั่งเขา
ก็คงต้องจับตาว่าระหว่างบุญคุณที่ต้องตอบแทนต่อฮุนเซนกับผลประโยชน์ของประเทศ แพทองธารและภูมิธรรมภายใต้การกำกับของทักษิณจะจัดการต่อไปอย่างไร
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan