คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
คลองจั่น บางกะปิ กรุงเทพมหานคร
30 พฤษภาคม 2568
เรียน สมาชิกแห่งที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา
เรื่อง ให้กำลังใจองค์ประชุมแห่งที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา อย่าทิ้งอำนาจ อย่าทิ้งประชาชน อย่าทิ้งประเทศชาติ
“ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครจะทำให้คนทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมือง มีความปกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้...”
พระบรมราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระมหาชนกาธิเบศร ภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร
ในพิธีเปิดงานชุมนุมลูกเสือแห่งชาติ
ครั้งที่ 6 ณ ค่ายลูกเสือวชิราวุธ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี วันที่ 11 ธันวาคม 2512
กฎหมายบัญญัติให้ผู้พิพากษาผู้ทำงานในพระปรมาภิไธยมีอำนาจหน้าที่ในการประหารชีวิตและคุมขังจำคุกผู้กระทำความผิดทางอาญาเพื่อความสงบของสังคมได้ เช่น ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 (ฆาตกรรม) มาตรา 365 (ลักทรัพย์) หรือมาตรา 374 (ยักยอกทรัพย์) เป็นต้น
สำหรับผู้มีหน้าที่ในราชการ เช่น นักการเมืองหรือข้าราชการ กฎหมายก็ได้บัญญัติไว้ให้ตุลาการมีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดโทษ เช่น พิพากษาจำคุกเช่นกัน ดังปรากฎในประมวลกฎหมายอาญาหมวด 2 ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ (มาตรา 147-166) เป็นต้น
สถาบันตุลาการจึงมีหน้าที่สำคัญทำงานในพระปรมาภิไธย เป็นหนึ่งในสามอำนาจอธิปไตยที่ต้องถ่วงดุลอำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหารตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาตรา 3
สถาบันตุลาการจึงทำหน้าที่ในพระปรมาภิไธย “ควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้” ตามพระบรมราโชวาทในพระบรมราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระมหาชนกาธิเบศร ภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร องค์ด้านบนที่อัญเชิญมา ณ ที่นี้ โดยใช้อำนาจหน้าที่ประหารชีวิต จำคุก สั่งให้หยุดการปฏิบัติหน้าที่ราชการ เป็นการควบคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้ ทั้งหมดนี้คืออำนาจหน้าที่ของสถาบันตุลาการ ที่ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยให้ทำงานในพระปรมาภิไธย และปฏิบัติหน้าที่อันสำคัญยิ่งนี้ เพื่อให้บ้านเมืองเกิดความสงบสุขร่มเย็น
Great power comes with great responsibility. อำนาจอันยิ่งใหญ่ย่อมต้องประกอบด้วยความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่เช่นกัน สถาบันตุลาการจึงต้องมีความรับผิดชอบอย่างสูงยิ่งในการทำหน้าที่ ควบคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้ โดยการพิพากษาประหารชีวิต จำคุก หรือสั่งให้หยุดการปฏิบัติหน้าที่ในทันที ด้วยความเข้มแข็ง สุจริต เที่ยงตรง ต้องทำให้กฎหมายศักดิ์สิทธิ์ เป็นไปตามกฎแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว รักษาหลักนิติรัฐและนิติธรรมให้กับชาติบ้านเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การบังคับใช้กฎหมาย (Legal execution) ต้องเป็นไปอย่างตรงไปตรงมาเคร่งครัด
หลักสำคัญของการเมืองการปกครองและกฎหมายอีกประการหนึ่ง คือ ผู้ใดมีอำนาจสถาปนา ผู้นั้นมีอำนาจถอดถอน เช่น พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการสถาปนาพระอิสริยยศ และพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตามรัฐธรรมนูญ แม้กฎหมายมิได้กำหนดบัญญัติไว้ว่า พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจในการถอดพระอิสริยศหรือริบคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ แต่พระราชอำนาจเหล่านี้ก็เป็น พระราชอำนาจโดยปริยาย ขององค์พระมหากษัตริย์
การควบคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้นั้น เป็นอำนาจที่สถาบันตุลาการเป็นผู้สถาปนาได้ตามกฎหมาย ผู้พิพากษาจึงสามารถพิพากษาประหารชีวิตหรือจำคุกได้ การพักโทษหรือการทุเลาโทษให้กับผู้กระทำความผิด โดยเฉพาะในตำแหน่งหน้าที่ราชการ จึงเป็นอำนาจของสถาบันตุลาการเฉกเช่นเดียวกัน ดังที่ได้มีการบัญญัติไว้อย่างชัดเจนในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 246 เอาไว้ว่า
“เมื่อจำเลย สามี ภริยา ญาติของจำเลย พนักงานอัยการ ผู้บัญชาการเรือนจำหรือเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่จัดการตามหมายจำคุกร้องขอ หรือ เมื่อศาลเห็นสมควร ศาลมีอำนาจสั่งให้ทุเลาการบังคับให้จำคุกไว้ก่อนจนกว่าเหตุอันควรทุเลาจะหมดไป ในกรณีต่อไปนี้
(1) เมื่อจำเลยวิกลจริต
(2) เมื่อเกรงว่าจำเลยจะถึงอันตรายแต่ชีวิตถ้าต้องจำคุก
(3) ถ้าจำเลยมีครรภ์
(4) ถ้าจำเลยคลอดบุตรแล้วยังไม่ถึงสามปี และจำเลยต้องเลี้ยงดูบุตรนั้น
ในระหว่าง ทุเลาการบังคับอยู่นั้นศาลจะมีคำสั่งให้บุคคลดังกล่าวอยู่ในความควบคุมในสถานที่อันควรนอกจากเรือนจำหรือสถานที่ที่กำหนดไว้ในหมายจำคุกก็ได้ และให้ศาลกำหนดให้เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่จัดการตามหมายนั้นเป็นผู้มีหน้าที่และรับผิดชอบในการดำเนินการตามคำสั่ง
ลักษณะของสถานที่อันควรตามวรรคสองให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ซึ่งต้องกำหนดวิธีการควบคุมและบำบัดรักษาที่เหมาะสมกับสภาพของจำเลย และมาตรการเพื่อป้องกันการหลบหนีหรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นด้วย
เมื่อศาลมีคำสั่งตามวรรคหนึ่งแล้ว หากภายหลังจำเลยไม่ปฏิบัติตามวิธีการหรือมาตรการตามวรรคสามหรือพฤติการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป ให้ศาลมีอำนาจเปลี่ยนแปลงคำสั่งหรือให้ดำเนินการตามหมายจำคุกได้ให้หักจำนวนวันที่จำเลยอยู่ในความควบคุมตามมาตรานี้ออกจากระยะเวลาจำคุกตามคำพิพากษา

ทั้งหมดนี้เป็นอำนาจของศาลหรือสถาบันตุลาการ การจะทุเลาโทษได้นั้นจำเป็นต้องให้ศาลสั่งเสียก่อนจึงจะถูกต้อง การที่กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ออกกฎกระทรวงให้ตนเองมีอำนาจทุเลาโทษได้ โดยที่ศาลไม่ได้สั่ง จึงเป็นการแย่งชิงอำนาจของสถาบันตุลาการไป อันจะเซาะกร่อนบ่อนทำลายหลักนิติรัฐ นิติธรรม ของชาติบ้านเมือง เป็นการหมิ่นและหยามเกียรติและศักดิ์ศรีของสถาบันตุลาการผู้ทำงานในพระปรมาภิไธย อย่างที่มิอาจจะยอมรับได้
การออกกฎกระทรวงว่าด้วย การส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 เองกลับขัดกับพรบ. ราชทัณฑ์ 2560 มาตรา 6 ที่บัญญัติเอาไว้ว่ากฎกระทรวงใดๆ ที่ออกตามพรบ. ราชทัณฑ์นี้จะขัดแย้งกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามิได้ แต่กฎกระทรวงว่าด้วย การส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 กลับไปขัดแย้งและไปแย่งอำนาจจากสถาบันตุลาการอันบัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 246 และหลักนิติศาสตร์และหลักการเมืองการปกครองโดยทั่วไปที่ยึดถือว่า ผู้ใดมีอำนาจสถาปนา ผู้นั้นมีอำนาจถอดถอน
ทั้งนี้ขอให้กำลังใจศาลฎีกา โดยเฉพาะที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาและศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในการทำหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มแข็ง เที่ยงตรง เป็นธรรม อย่าทิ้งอำนาจตุลาการ ทำลายเกียรติและศักดิ์ศรีของสถาบันตุลาการ และเชื่อมั่นว่าตุลาการทุกท่านจะทำหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบด้วยอำนาจที่ได้รับมอบหมายให้ทำงานในพระปรมาภิไธยเพื่อชาติบ้านเมือง
ศาลฎีกาอย่าทิ้งอำนาจ อย่าทิ้งหน้าที่ อย่าทิ้งประชาชน อย่าทิ้งประเทศชาติ ขอให้รำลึกถึงพระราชนิพนธ์ "เมื่อข้าพเจ้าจากสยามมาสู่สวิทเซอร์แลนด์" ในวารสารวงวรรณคดี ซึ่งมีชายไม่ทราบชื่อคนหนึ่งตะโกนว่า “ในหลวงอย่าทิ้งประชาชน” ทรงรับฟังเสียงของชายคนนั้น และทรงใคร่ครวญในพระราชหฤทัยและอยากจะทรงตอบกลับไปว่า "ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะทิ้งประชาชนอย่างไรได้" แต่ก็มิสามารถทรงทำได้ อันเป็นการที่ประชาชนเตือนสติพระมหากษัตริย์ มิให้ทรงทิ้งหน้าที่ มิให้ทรงทิ้งอำนาจ มิให้ทรงทิ้งประชาชน มิให้ทรงทิ้งประเทศชาติ (โปรดอ่านได้จากบทความ ศาลฎีกาอย่าทิ้งอำนาจ อย่าทิ้งประชาชน อย่าทิ้งประเทศชาติ https://mgronline.com/daily/detail/9680000011465)
วันที่ 13 มิถุนายน 2568 นี้ ขอให้กำลังใจผู้พิพากษาศาลฎีกาผู้ทำงานในพระปรมาภิไธยจงปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็ง ด้วยอำนาจที่มีอยู่เต็มเปี่ยม สมกับที่ได้รับพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณให้ทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองในพระปรมาภิไธย
กราบขอฝากประเทศไทยไว้ในมือของผู้พิพากษาและสถาบันตุลาการด้วย
ขออัญเชิญพระบรมราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระมหาชนกาธิเบศร์ ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช เพื่อให้กำลังใจผู้พิพากษาศาลฎีกาอีกครั้งหนึ่ง
“ผู้พิพากษานั้นเป็นคนที่จะประกันของความยุติธรรม ความยุติธรรมนั้นถ้าดูว่าเป็นอะไร ยุติก็หยุด หยุดในธรรม อยู่ในสิ่งที่ดีไม่เฉไฉไปทางซ้ายทางขวา ตรงไปตรงมา สำหรับธรรมนี้ก็ต้องมีความรู้ถ้าท่านได้เรียนมา ฉะนั้นสำคัญที่สุด ท่านตั้งใจที่จะใช้กฎเกณฑ์ของกฎหมายของความยุติธรรม ถ้าท่านทำได้แล้วท่านก็ทำสำเร็จในงานที่ท่านตั้งใจจะทำ ที่ท่านได้ปฏิญาณด้วยความดีอย่างนี้ ก็เชื่อว่าท่านจะมีส่วนในการสร้างให้บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุข แต่ละคนจะอยู่เย็นเป็นสุข มีความสุข มีความเรียบร้อยของบ้านเมืองท่านก็ได้ทำตามหน้าที่ที่ท่านเลือกไว้ที่จะทำ ฉะนั้นการที่ท่านได้มาปฏิญาณตนเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะว่าท่านถ้าทำตามที่ท่านตั้งใจไว้ตั้งแต่ต้น คือหมายความว่าท่านเรียนรู้เกี่ยวกับกฎหมาย เกี่ยวข้องกับความดี ความตรงไปตรงมาและท่านจะได้ปฏิบัติในสิ่งที่ท่านได้เรียนมาและตั้งใจจะทำ ฉะนั้นทุกครั้งที่เห็นผู้พิพากษา โดยเฉพาะศาลฎีกามาปฏิญาณตนว่าจะทำดี ทำตรงไปตรงมา ทำให้ ข้าพเจ้ารู้สึกมีความหวังในอนาคตของประเทศ ถ้าผู้พิพากษาทำดีประเทศชาติก็อยู่ได้...”
พระบรมราโชวาทในวโรกาสนายวิรัช ลิ้มวิชัย ประธานศาลฎีกา
นำผู้พิพากษาประจำศาลเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท
เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ เมื่อ 9 ม.ค. 2552
ด้วยจิตคารวะยิ่ง
รองศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
สาขาวิชาสถิติศาสตร์ สาขาวิชาพลเมืองวิทยาการข้อมูล
สาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
กรรมาธิการวิสามัญพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ วุฒิสภา
คลองจั่น บางกะปิ กรุงเทพมหานคร
30 พฤษภาคม 2568
เรียน สมาชิกแห่งที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา
เรื่อง ให้กำลังใจองค์ประชุมแห่งที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา อย่าทิ้งอำนาจ อย่าทิ้งประชาชน อย่าทิ้งประเทศชาติ
“ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครจะทำให้คนทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมือง มีความปกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้...”
พระบรมราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระมหาชนกาธิเบศร ภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร
ในพิธีเปิดงานชุมนุมลูกเสือแห่งชาติ
ครั้งที่ 6 ณ ค่ายลูกเสือวชิราวุธ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี วันที่ 11 ธันวาคม 2512
กฎหมายบัญญัติให้ผู้พิพากษาผู้ทำงานในพระปรมาภิไธยมีอำนาจหน้าที่ในการประหารชีวิตและคุมขังจำคุกผู้กระทำความผิดทางอาญาเพื่อความสงบของสังคมได้ เช่น ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 (ฆาตกรรม) มาตรา 365 (ลักทรัพย์) หรือมาตรา 374 (ยักยอกทรัพย์) เป็นต้น
สำหรับผู้มีหน้าที่ในราชการ เช่น นักการเมืองหรือข้าราชการ กฎหมายก็ได้บัญญัติไว้ให้ตุลาการมีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดโทษ เช่น พิพากษาจำคุกเช่นกัน ดังปรากฎในประมวลกฎหมายอาญาหมวด 2 ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ (มาตรา 147-166) เป็นต้น
สถาบันตุลาการจึงมีหน้าที่สำคัญทำงานในพระปรมาภิไธย เป็นหนึ่งในสามอำนาจอธิปไตยที่ต้องถ่วงดุลอำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหารตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาตรา 3
สถาบันตุลาการจึงทำหน้าที่ในพระปรมาภิไธย “ควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้” ตามพระบรมราโชวาทในพระบรมราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระมหาชนกาธิเบศร ภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร องค์ด้านบนที่อัญเชิญมา ณ ที่นี้ โดยใช้อำนาจหน้าที่ประหารชีวิต จำคุก สั่งให้หยุดการปฏิบัติหน้าที่ราชการ เป็นการควบคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้ ทั้งหมดนี้คืออำนาจหน้าที่ของสถาบันตุลาการ ที่ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยให้ทำงานในพระปรมาภิไธย และปฏิบัติหน้าที่อันสำคัญยิ่งนี้ เพื่อให้บ้านเมืองเกิดความสงบสุขร่มเย็น
Great power comes with great responsibility. อำนาจอันยิ่งใหญ่ย่อมต้องประกอบด้วยความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่เช่นกัน สถาบันตุลาการจึงต้องมีความรับผิดชอบอย่างสูงยิ่งในการทำหน้าที่ ควบคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้ โดยการพิพากษาประหารชีวิต จำคุก หรือสั่งให้หยุดการปฏิบัติหน้าที่ในทันที ด้วยความเข้มแข็ง สุจริต เที่ยงตรง ต้องทำให้กฎหมายศักดิ์สิทธิ์ เป็นไปตามกฎแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว รักษาหลักนิติรัฐและนิติธรรมให้กับชาติบ้านเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การบังคับใช้กฎหมาย (Legal execution) ต้องเป็นไปอย่างตรงไปตรงมาเคร่งครัด
หลักสำคัญของการเมืองการปกครองและกฎหมายอีกประการหนึ่ง คือ ผู้ใดมีอำนาจสถาปนา ผู้นั้นมีอำนาจถอดถอน เช่น พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการสถาปนาพระอิสริยยศ และพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตามรัฐธรรมนูญ แม้กฎหมายมิได้กำหนดบัญญัติไว้ว่า พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจในการถอดพระอิสริยศหรือริบคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ แต่พระราชอำนาจเหล่านี้ก็เป็น พระราชอำนาจโดยปริยาย ขององค์พระมหากษัตริย์
การควบคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้นั้น เป็นอำนาจที่สถาบันตุลาการเป็นผู้สถาปนาได้ตามกฎหมาย ผู้พิพากษาจึงสามารถพิพากษาประหารชีวิตหรือจำคุกได้ การพักโทษหรือการทุเลาโทษให้กับผู้กระทำความผิด โดยเฉพาะในตำแหน่งหน้าที่ราชการ จึงเป็นอำนาจของสถาบันตุลาการเฉกเช่นเดียวกัน ดังที่ได้มีการบัญญัติไว้อย่างชัดเจนในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 246 เอาไว้ว่า
“เมื่อจำเลย สามี ภริยา ญาติของจำเลย พนักงานอัยการ ผู้บัญชาการเรือนจำหรือเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่จัดการตามหมายจำคุกร้องขอ หรือ เมื่อศาลเห็นสมควร ศาลมีอำนาจสั่งให้ทุเลาการบังคับให้จำคุกไว้ก่อนจนกว่าเหตุอันควรทุเลาจะหมดไป ในกรณีต่อไปนี้
(1) เมื่อจำเลยวิกลจริต
(2) เมื่อเกรงว่าจำเลยจะถึงอันตรายแต่ชีวิตถ้าต้องจำคุก
(3) ถ้าจำเลยมีครรภ์
(4) ถ้าจำเลยคลอดบุตรแล้วยังไม่ถึงสามปี และจำเลยต้องเลี้ยงดูบุตรนั้น
ในระหว่าง ทุเลาการบังคับอยู่นั้นศาลจะมีคำสั่งให้บุคคลดังกล่าวอยู่ในความควบคุมในสถานที่อันควรนอกจากเรือนจำหรือสถานที่ที่กำหนดไว้ในหมายจำคุกก็ได้ และให้ศาลกำหนดให้เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่จัดการตามหมายนั้นเป็นผู้มีหน้าที่และรับผิดชอบในการดำเนินการตามคำสั่ง
ลักษณะของสถานที่อันควรตามวรรคสองให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ซึ่งต้องกำหนดวิธีการควบคุมและบำบัดรักษาที่เหมาะสมกับสภาพของจำเลย และมาตรการเพื่อป้องกันการหลบหนีหรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นด้วย
เมื่อศาลมีคำสั่งตามวรรคหนึ่งแล้ว หากภายหลังจำเลยไม่ปฏิบัติตามวิธีการหรือมาตรการตามวรรคสามหรือพฤติการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป ให้ศาลมีอำนาจเปลี่ยนแปลงคำสั่งหรือให้ดำเนินการตามหมายจำคุกได้ให้หักจำนวนวันที่จำเลยอยู่ในความควบคุมตามมาตรานี้ออกจากระยะเวลาจำคุกตามคำพิพากษา
ทั้งหมดนี้เป็นอำนาจของศาลหรือสถาบันตุลาการ การจะทุเลาโทษได้นั้นจำเป็นต้องให้ศาลสั่งเสียก่อนจึงจะถูกต้อง การที่กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ออกกฎกระทรวงให้ตนเองมีอำนาจทุเลาโทษได้ โดยที่ศาลไม่ได้สั่ง จึงเป็นการแย่งชิงอำนาจของสถาบันตุลาการไป อันจะเซาะกร่อนบ่อนทำลายหลักนิติรัฐ นิติธรรม ของชาติบ้านเมือง เป็นการหมิ่นและหยามเกียรติและศักดิ์ศรีของสถาบันตุลาการผู้ทำงานในพระปรมาภิไธย อย่างที่มิอาจจะยอมรับได้
การออกกฎกระทรวงว่าด้วย การส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 เองกลับขัดกับพรบ. ราชทัณฑ์ 2560 มาตรา 6 ที่บัญญัติเอาไว้ว่ากฎกระทรวงใดๆ ที่ออกตามพรบ. ราชทัณฑ์นี้จะขัดแย้งกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามิได้ แต่กฎกระทรวงว่าด้วย การส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 กลับไปขัดแย้งและไปแย่งอำนาจจากสถาบันตุลาการอันบัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 246 และหลักนิติศาสตร์และหลักการเมืองการปกครองโดยทั่วไปที่ยึดถือว่า ผู้ใดมีอำนาจสถาปนา ผู้นั้นมีอำนาจถอดถอน
ทั้งนี้ขอให้กำลังใจศาลฎีกา โดยเฉพาะที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาและศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในการทำหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มแข็ง เที่ยงตรง เป็นธรรม อย่าทิ้งอำนาจตุลาการ ทำลายเกียรติและศักดิ์ศรีของสถาบันตุลาการ และเชื่อมั่นว่าตุลาการทุกท่านจะทำหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบด้วยอำนาจที่ได้รับมอบหมายให้ทำงานในพระปรมาภิไธยเพื่อชาติบ้านเมือง
ศาลฎีกาอย่าทิ้งอำนาจ อย่าทิ้งหน้าที่ อย่าทิ้งประชาชน อย่าทิ้งประเทศชาติ ขอให้รำลึกถึงพระราชนิพนธ์ "เมื่อข้าพเจ้าจากสยามมาสู่สวิทเซอร์แลนด์" ในวารสารวงวรรณคดี ซึ่งมีชายไม่ทราบชื่อคนหนึ่งตะโกนว่า “ในหลวงอย่าทิ้งประชาชน” ทรงรับฟังเสียงของชายคนนั้น และทรงใคร่ครวญในพระราชหฤทัยและอยากจะทรงตอบกลับไปว่า "ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะทิ้งประชาชนอย่างไรได้" แต่ก็มิสามารถทรงทำได้ อันเป็นการที่ประชาชนเตือนสติพระมหากษัตริย์ มิให้ทรงทิ้งหน้าที่ มิให้ทรงทิ้งอำนาจ มิให้ทรงทิ้งประชาชน มิให้ทรงทิ้งประเทศชาติ (โปรดอ่านได้จากบทความ ศาลฎีกาอย่าทิ้งอำนาจ อย่าทิ้งประชาชน อย่าทิ้งประเทศชาติ https://mgronline.com/daily/detail/9680000011465)
วันที่ 13 มิถุนายน 2568 นี้ ขอให้กำลังใจผู้พิพากษาศาลฎีกาผู้ทำงานในพระปรมาภิไธยจงปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็ง ด้วยอำนาจที่มีอยู่เต็มเปี่ยม สมกับที่ได้รับพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณให้ทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองในพระปรมาภิไธย
กราบขอฝากประเทศไทยไว้ในมือของผู้พิพากษาและสถาบันตุลาการด้วย
ขออัญเชิญพระบรมราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระมหาชนกาธิเบศร์ ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช เพื่อให้กำลังใจผู้พิพากษาศาลฎีกาอีกครั้งหนึ่ง
“ผู้พิพากษานั้นเป็นคนที่จะประกันของความยุติธรรม ความยุติธรรมนั้นถ้าดูว่าเป็นอะไร ยุติก็หยุด หยุดในธรรม อยู่ในสิ่งที่ดีไม่เฉไฉไปทางซ้ายทางขวา ตรงไปตรงมา สำหรับธรรมนี้ก็ต้องมีความรู้ถ้าท่านได้เรียนมา ฉะนั้นสำคัญที่สุด ท่านตั้งใจที่จะใช้กฎเกณฑ์ของกฎหมายของความยุติธรรม ถ้าท่านทำได้แล้วท่านก็ทำสำเร็จในงานที่ท่านตั้งใจจะทำ ที่ท่านได้ปฏิญาณด้วยความดีอย่างนี้ ก็เชื่อว่าท่านจะมีส่วนในการสร้างให้บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุข แต่ละคนจะอยู่เย็นเป็นสุข มีความสุข มีความเรียบร้อยของบ้านเมืองท่านก็ได้ทำตามหน้าที่ที่ท่านเลือกไว้ที่จะทำ ฉะนั้นการที่ท่านได้มาปฏิญาณตนเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะว่าท่านถ้าทำตามที่ท่านตั้งใจไว้ตั้งแต่ต้น คือหมายความว่าท่านเรียนรู้เกี่ยวกับกฎหมาย เกี่ยวข้องกับความดี ความตรงไปตรงมาและท่านจะได้ปฏิบัติในสิ่งที่ท่านได้เรียนมาและตั้งใจจะทำ ฉะนั้นทุกครั้งที่เห็นผู้พิพากษา โดยเฉพาะศาลฎีกามาปฏิญาณตนว่าจะทำดี ทำตรงไปตรงมา ทำให้ ข้าพเจ้ารู้สึกมีความหวังในอนาคตของประเทศ ถ้าผู้พิพากษาทำดีประเทศชาติก็อยู่ได้...”
พระบรมราโชวาทในวโรกาสนายวิรัช ลิ้มวิชัย ประธานศาลฎีกา
นำผู้พิพากษาประจำศาลเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท
เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ เมื่อ 9 ม.ค. 2552
ด้วยจิตคารวะยิ่ง
รองศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
สาขาวิชาสถิติศาสตร์ สาขาวิชาพลเมืองวิทยาการข้อมูล
สาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
กรรมาธิการวิสามัญพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ วุฒิสภา