ไม่ว่าจะถือเป็น “เสือจริง” หรือ “เสือกระดาษ”...แต่ภาพที่บรรดารัฐมนตรีต่างประเทศ “อาเซียน” ยืนจับมือถือแขนเรียงเป็นแถวเป็นแนว ในระหว่างการประชุมสุดยอดที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ช่วงวันที่ 26-27 พ.ค.นี้เพื่อแสดงให้เห็นถึงความร่วมไม้-ร่วมมือ ร่วมแรง-ร่วมใจ ในอันที่จะเผชิญหน้ากับยุคแห่ง “สงครามทางการค้า” หรือยุคที่ “โลกาภิวัตน์แบบเดิมๆ” ได้ล่มสลายลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อันนี้...ต้องเรียกว่าออกจะ “เก๋” อยู่พอสมควรทีเดียว หรือต้องถือเป็น “นิมิตหมาย” ที่น่าจะเข้าท่าเอามากๆ...
และนอกจากพยายามกระตุ้นและยกระดับการทำมาค้าขายระหว่างกันและกันที่เคยมีอยู่ประมาณ 23 เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าการค้าอาเซียนทั้งหมด การประชุมคราวนี้ยังหันไปยกระดับความร่วมมือระหว่างกลุ่มการค้า “ATIGA” (Asean trade in goods Agreement) กับกลุ่มการค้า “CAFTA” (China-Asean free trade Area) หรือพยายามไปดึงเอามหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลกอย่างคุณพี่จีนมาผนึกกำลังรวมหัว รวมตัว เพื่อรับมือกับพายุเศรษฐกิจที่กำลังโหมกระหน่ำโลกทั้งโลก อันเนื่องมาจากมาตรการภาษีของผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” เขานั่นแหละ โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงมูลค่าทางการค้าระหว่างจีนกับอาเซียนที่ปาเข้าไปเกือบปีละ “ล้านล้านดอลลาร์” หรือ982,340,000 ดอลลาร์ เมื่อปีที่แล้ว และมีแต่จะเพิ่มกับเพิ่มปีละประมาณ 7.8 เปอร์เซ็นต์เป็นอย่างน้อย การหันไปให้ความสำคัญกับคู่ค้าที่อยู่แถวๆ “เล้ง...อยู่สะพานขาวแค่นี้เอง!!!” ยังไงๆ...ย่อมน่าจะสบายใจกว่าการแยกย้ายกันหันไป “Kiss Ass”ประธานาธิบดีอเมริกาคนละฟ่อด สองฟ่อด เป็นไหนๆ...
แต่ไม่เพียงเท่านั้น...ในฐานะประธานอาเซียน ท่านนายกรัฐมนตรี “Anwar Ibrahim” ของมาเลเซีย ท่านยังอาศัยความเป็น “แขก” หรือความเป็นมุสลิม เชื้อเชิญบรรดากลุ่มประเทศอ่าวหรือ “GCC” (Gulf Cooperation Council) มาร่วมผนึกกำลัง รวมตัว ด้วยการประชุมสุดยอด 3 ฝ่าย ระหว่าง “Asean-China-GCC” เป็นครั้งแรกในช่วงระหว่างนี้อีกซะล่วย หรือเท่ากับเป็นการรวมหัว รวมตัว ของบรรดากลุ่มประเทศที่มีสัดส่วน “GDP” ประมาณ 1 ใน 4 ของ “GDPโลก” มี “ตลาด”หรือมีจำนวนประชากรปาเข้าไปถึง 2,100 ล้านผู้บริโภคเอาเลยถึงขั้นนั้น นี่...อันนี้นี่แหละ ที่ทำให้มหาอำนาจคู่แข่งของคุณพ่ออเมริกาอย่างคุณพี่จีน เขาถึงกับถือว่า...การประชุมคราวนี้ถือเป็นการ “ส่งสัญญาณ” ให้กับโลกทั้งโลก ว่าบรรดากลุ่มประเทศ “โลกใต้” นั่นเอง...ที่จะเป็นผู้ก่อรูป ก่อร่าง ผู้ที่จะปฏิรูประเบียบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศขึ้นมาใหม่ โดยไม่จำเป็นต้องคำนึงถึง “กลุ่มก้อนทางการเมือง” ใดๆ ที่มักถูกนำมาใช้เป็นอุปสรรคขัดขวาง ความร่วมมือ-ร่วมไม้ระหว่างประเทศต่างๆแต่หันไปอาศัย “ความเท่าเทียมกัน” ในการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ของแต่ละฝ่าย กันแทนที่...
หรือพูดง่ายๆ ว่า...ไม่ว่าประเทศที่ยังคงยึดมั่นอยู่กับ “ทุนนิยมเสรี” อันได้แก่บรรดาประเทศอาเซียนโดยส่วนใหญ่ ประเทศที่ยังคงยึดมั่นอยู่กับ “ทุนนิยมเผด็จการ” อย่างคุณพี่จีนเป็นต้น ไปจนถึงประเทศที่ยังยึดอยู่กับความเป็น “ทุนนิยมราชวงศ์” เช่นบรรดากลุ่มประเทศอ่าวทั้งหลาย ต่างก็สามารถ “อยู่ร่วมกันโดยสันติ” ได้สบายๆ สามารถทำมาค้า-ขาย แลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างกันและกัน โดยมีความเท่าเทียม ความเคารพซึ่งกันและกันนั่นแหละเป็นสายใยแห่งความร่วมมือ เป็น “แก่นสาระ” ของสิ่งที่เรียกว่า “ระเบียบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแบบใหม่” หรือจะเรียกว่า “ระเบียบโลกแบบใหม่” ก็ย่อมได้...
อันเป็นอะไรที่ผิดแผกแตกต่างไปจาก “ระเบียบโลก” ฉบับคุณพ่ออเมริกาหรือโลกตะวันตกทั้งหลาย ที่มักจะอาศัย“อำนาจ” ทางการเมือง เศรษฐกิจ การทหาร มาเป็นตัวสร้างกลุ่ม สร้างก้อน เพื่อกีดกัน ป้องกัน ผู้หนึ่ง-ผู้ใดหรือประเทศหนึ่ง-ประเทศใดเป็นการเฉพาะ แม้แต่การเดินทางไป “ทัวร์หาตังค์”หรือ “ทัวร์เศรษฐี” ของผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ด้วยการไปเยี่ยมเยือนกลุ่มประเทศอ่าว ซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ ยูเออี อย่างเป็นทางการ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา นอกจากประธานาธิบดีรายนี้จะคุยโม้โอ้อวดกับสำนักข่าว “Fox News” ช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา (16 พ.ค.) ถึงความสำเร็จในการดูดเงิน-ดูดทองนับ“ล้านล้านดอลลาร์” ให้มาลงทุนในอเมริกา แถมเครื่องบินประจำตำแหน่งฟรีๆ อีกต่างหาก สิ่งที่ “ทรัมป์บ้า” ยังเน้นเป็นพิเศษก็คือ การทำให้กลุ่มประเทศอ่าวทั้ง 3 เกิดการแยกห่างไปจาก “อิทธิพลของจีน” ที่ถือเป็นมหาอำนาจคู่แข่งรายสำคัญของอเมริกาอีกด้วย...
นี่...อันนี้นี่แหละที่ทำให้สื่อทางการของจีนอย่าง “Global Times”เขาอดไม่ได้ที่จะร้องอุทานผ่านข้อเขียน บทความช่วงสัปดาห์ที่แล้วขึ้นมาดังๆ ว่า “Trump signals willingness to engage with China while attempting to sway Gulf states away from China.” หรือคล้ายๆประมาณ...ไรวะ!!! ทั้งๆ ที่บอกว่าต้องร่วมมือกับจีนแต่ดันหันไปคิดแยกจีนออกจากกลุ่มประเทศอ่าวไปซะนี่ คือทั้งๆ ที่ยอมถอย ยอมลดภาษีจีนจาก 145 เปอร์เซ็นต์เหลือแค่ 50 เปอร์เซ็นต์ เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจอเมริกาต้อง“เจ๊ง”เอาง่ายๆ แต่ยังมิวายหันไป “จระเข้ฟาดหาง” คิดแยกสลายสัมพันธภาพระหว่างจีนกับกลุ่มประเทศอ่าว เหมือนกับที่เคยคิดแยกจีนออกจากรัสเซีย อะไรประมาณนั้น แต่ก็นั่นแหละ...โอกาสที่จะอาศัยกลุ่มก้อนทางการเมืองใดๆ มาเป็นอุปสรรคขัดขวางความร่วมมือระหว่างประเทศหนึ่งประเทศใด แบบดื้อๆ ทื่อๆ นั้น ในโลกยุคใหม่ หรือโลกที่ได้กลายสภาพเป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มันคงยากลำบากกว่ายุคที่โลกยังเป็น “โลกขั้วอำนาจเดียว” หรือโลกที่อยู่ภายใต้อำนาจอเมริกาอยู่แล้วแน่ๆ...
เพราะการที่บรรดากลุ่มประเทศอ่าวเขาพร้อมที่จะหอบเงินนับ “ล้านล้านดอลลาร์” ไปลงทุนในอเมริกานั้น มันยังคงต้องขึ้นอยู่กับ “เหตุปัจจัย” ต่างๆ ที่ย่อมผันผวน ปรวนแปร ไปได้เสมอๆ หรืออย่างที่ “The New York Times” เขาได้วิพากษ์วิจารณ์เอาไว้นั่นแหละว่า บรรดา “ข้อตกลง” ระหว่างประธานาธิบดีอเมริกันกับกลุ่มประเทศอ่าวนั้น ล้วนแล้วแต่เป็น “ข้อตกลงระยะยาว” ไปด้วยกันทั้งสิ้น ทุกสิ่งทุกอย่างจึงขึ้นอยู่กับฉากสถานการณ์ต่อไปภายหน้าว่าจะออกมาในรูปไหน แบบไหน โดยเฉพาะ “ฉากสถานการณ์ในตะวันออกกลาง” ว่าจะเป็นไปในแนว “สงคราม” หรือ “สันติภาพ” กันแน่??? หรือถ้าผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ไม่อาจหยุดยั้งความบ้าของพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์อย่างอิสราเอล ไม่ว่าการคิดจะกวาดล้างบรรดาชาวปาเลสไตน์ให้สิ้นซาก สิ้นประเทศ ดวลจรวดกับพวก “Houthi” พวก “Hezbollah” ถล่มดินแดนซีเรีย ไปจนเปิดศึกโดยตรงกับอิหร่าน ที่เพิ่งหันไปจูบปากกับซาอุดีอาระเบียโดยมีคุณพี่จีนเป็นตัวประสาน ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้...คงทำให้บรรดาประเทศอ่าวทั้งหลาย คงต้องคิดหน้า-คิดหลังประมาณ 8 ตลบ 10 ตลบเป็นอย่างน้อย เพราะภายใต้ “โลกแบบหลายขั้วอำนาจ”นั้น บรรดาประเทศเหล่านี้คงไม่ถึงกับต้อง “พึ่งพา” คุณพ่ออเมริกาเหมือนเดิมๆ อีกต่อไป สามารถแสดงตนเป็น “ขั้วอำนาจอิสระ” ได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ไม่ว่าด้วยการร่วมมือกับอเมริกา กับจีน หรือกับกลุ่มประเทศอาเซียน ฯลฯ ก็ตามแต่...
และอาจด้วยเหตุเพราะความเป็น “ขั้วอำนาจอิสระ” ยิ่งขึ้นๆ นี่เอง...ที่ทำให้หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่ไร้ขีดจำกัดของจีนอย่างคุณน้ารัสเซีย ท่านเลยคิดจะจัดประชุม “Russia-Arab summit” เป็นครั้งแรก ในช่วงกลางเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ อันถือเป็นการประชุม “ท่ามกลางสถานการณ์ยากลำบากในการเผชิญหน้าระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์” แต่เป็นเพราะกลุ่มประเทศ “Arab League” ที่มีบรรดาประเทศอ่าวทั้งหลายรวมอยู่ด้วย ถือเป็น “กลไกอันทรงประสิทธิภาพ” ในการที่จะร่วมกันขจัดอุปสรรคทั้งหลายในภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ การผนึกกำลังรวมหัว รวมตัวกับรัสเซีย เพื่อหาทางทำให้เกิด “สันติภาพ” ขึ้นมาในตะวันออกกลางให้จงได้ จึงถือเป็นสิ่งสำคัญเอามากๆ สำหรับฉากสถานการณ์ในอนาคตของภูมิภาคแห่งนี้...
ส่วนอะไรที่จะเป็น “จุดเริ่มต้น” ของ “สันติภาพในตะวันออกกลาง” ดูเหมือนว่าที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย “นางManal Radwan” ผู้ช่วยผู้อำนวยการ “The Political and Congression Affairs”เธอได้ให้คำตอบเหล่านี้ไว้ ณ ที่ประชุมสหประชาชาติเมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมานี่เอง ว่าหนึ่งในนั้นที่สำคัญเอามากๆ ก็คือการเริ่มต้นด้วยการให้ความยอมรับต่อ “รัฐปาเลสไตน์” อันไม่เพียงแต่ถือเป็นเรื่องทางศีลธรรม หรือเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมายระหว่างประเทศเท่านั้น แต่ยังถือเป็น “ยุทธศาสตร์ที่จำเป็น”(Strategic Necessity) อีกด้วย แม้ว่าพันธมิตรของคุณพ่ออเมริกาอย่างอิสราเอลจะคัดค้านแบบหัวชนฝาเพียงใดก็ตาม แต่ถ้าหากโลกทั้งโลก...ที่ต่างได้กลายเป็น “ขั้วอำนาจอิสระ” หรือไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอำนาจ อิทธิพล ของคุณพ่ออเมริกาแบบเดิมๆอีกต่อไปแล้ว รวมทั้งขั้วอำนาจอย่างอเมริกาเองพร้อมหันมาให้ความยอมรับต่อการสร้างสันติภาพในตะวันออกกลาง ตามแนวทางที่เรียกๆ กันว่า “The Two-State Solution” ดังที่เคยมี “ข่าวลือ” ก่อนหน้านี้อย่างจริงๆ จังๆ แล้ว โอกาสที่โลกทั้งโลก...ที่แม้จะมีความแตกต่างทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ตามลักษณะพิเศษของใคร-ของมัน แต่ก็น่าจะ “อยู่ร่วมกันโดยสันติ” ได้โดยไม่ยากส์ส์ส์!!!