xs
xsm
sm
md
lg

โอกาสที่ทักษิณกลับไปติดคุกสูง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ



ทักษิณจะกลับมาติดคุกหรือไม่ ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีความสงสัยเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายของการบังคับโทษและสั่งให้ดำเนินการไต่สวนด้วยตนเองเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกระบวนการบังคับโทษของทักษิณนั้นชอบหรือไม่

โดยสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงทักษิณป.ป.ช.อัยการสูงสุดผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ แพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจชี้แจงข้อเท็จจริงภายใน 30 วันและนัดไต่สวนในวันที่ 13 มิถุนายน 2568 เวลา 09.30 น.

ในกรณีที่นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนกรณีที่กรมราชทัณฑ์อนุญาตให้ทักษิณออกจากเรือนจำไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจชั้น 14 เป็นเวลา 180 วันอาจเข้าข่าย มาตรา 246 ป.วิอาญา แม้ว่าศาลจะวินิจฉัยว่า นายชาญชัยไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียในชั้นบังคับตามคำพิพากษาจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลนี้

แต่อย่างไรก็ตามเมื่อความปรากฏต่อศาลว่าอาจมีการบังคับตามคำพิพากษาไม่เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาลนี้ ศาลย่อมมีอำนาจไต่สวนและมีคำสั่งตามที่เห็นสมควร

มาตรา 246 บัญญัติว่าเมื่อจำเลยสามีภริยาญาติของจำเลยพนักงานอัยการ ผู้บัญชาการเรือนจำหรือเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่จัดการตามหมายจำคุกร้องขอหรือเมื่อศาลเห็นสมควรศาลจะมีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับให้จำคุกไว้ก่อนจนกว่าเหตุอันควรแก่การทุเลานั้นจะหมดสิ้นไปในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้

(1) เมื่อจำเลยวิกลจริต (2) เมื่อเกรงว่าถ้าจำเลยต้องถูกจำคุกจะเป็นอันตรายแก่ชีวิต (3) เมื่อจำเลยมีครรภ์ (4) เมื่อจำเลยคลอดบุตรแล้วยังไม่ถึงสามปีและจำเลยนั้นต้องเลี้ยงดูบุตรของตน

กรณีของทักษิณน่าจะเข้าข่ายวงเล็บ (2) เมื่อเกรงว่าถ้าจำเลยต้องถูกจำคุกจะเป็นอันตรายแก่ชีวิตซึ่งจะเห็นได้ว่า ในการรักษาตัวของทักษิณครบ 90 วัน 120 วัน แพทย์ของโรงพยาบาลตำรวจจะอ้างว่า ถ้าไม่ให้ทักษิณอยู่รักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต ดังนั้นก็น่าจะเข้าข่ายต้องใช้มาตรา 246 อย่างชัดแจ้ง คือต้องขอศาลให้มีคำสั่งทุเลาการบังคับโทษไว้ก่อน

จะใช้มาตรา 55 ของ พ.ร.บ.ราชทัณฑ์วรรคหนึ่ง : “ในกรณีที่ผู้ต้องขังป่วยมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพจิตหรือเป็นโรคติดต่อให้ผู้บัญชาการเรือนจำดำเนินการให้ผู้ต้องขังได้รับการตรวจจากแพทย์โดยเร็ว” ตลอดไปไม่ได้

ในตอนแรกแม้จะอ้างว่า ในคืนวันที่ 22 สิงหาคม 2566 (เวลา 00.20 น. ของวันที่ 23 สิงหาคม) ว่าทักษิณมีอาการแน่นหน้าอกความดันโลหิตสูง (170 มม.ปรอท) ระดับออกซิเจนปลายนิ้วต่ำและนอนไม่หลับกรมราชทัณฑ์ระบุว่าโรงพยาบาลราชทัณฑ์มีข้อจำกัดด้านเครื่องมือทางการแพทย์จึงส่งตัวไปโรงพยาบาลตำรวจที่มีความพร้อมมากกว่า โดยอ้างกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 ซึ่งออกตามมาตรา 55 วรรคสองของพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ก็ตาม

นั่นเป็นเหตุเฉพาะหน้าที่ต้องใช้มาตรา 55 ไปก่อน เมื่อความปรากฏต่อมาว่าแพทย์โรงพยาบาลตำรวจอ้างว่า ทักษิณมีอันตรายที่อาจถึงแก่ชีวิตจากนั้นก็จะต้องไปขออนุญาตต่อศาล ตามมาตรา 246 (2)

ดังนั้นในวันที่ 13 มิถุนายน นอกจากศาลอาจจะพิจารณาว่า จากสภาพแวดล้อมที่ปรากฏมีคนยืนยันว่า สามารถขึ้นไปเยี่ยมทักษิณได้ และไม่พบว่ามีผู้คุม พบเพียงแม่บ้านคอยดูแล ซึ่งศาลน่าจะเรียกพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ซึ่งเป็นประจักษ์พยานสำคัญมาไต่สวน ก็จะพิจารณาได้ว่า สถานที่ดังกล่าว อาจจะไม่ใช่ “สถานที่คุมขัง” ตามกฎหมายก็จะเท่ากับทักษิณไม่ได้ถูกคุมขังมาเลย

มีนักกฎหมายจำนวนมากที่เข้าข้างทักษิณเช่น นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย กล่าวว่ารัฐธรรมนูญมาตรา 194 บัญญัติให้ศาลยุติธรรมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีทั้งปวงส่วนการบังคับโทษมิได้เป็นอำนาจของศาลแต่เป็นอำนาจของกรมราชทัณฑ์ซึ่งเป็นฝ่ายบริหารตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติราชทัณฑ์พ.ศ. 2560

นัยก็คือว่า เมื่อศาลตัดสินคดีแล้วอำนาจการนำตัวไปบังคับโทษก็เป็นของกรมราชทัณฑ์โดยสมบูรณ์ที่ศาลจะเข้าไปก้าวก่ายฝ่ายบริหารไม่ได้

แต่มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1092/2482 อำนาจการให้ทุเลาบังคับคดีตามประมวลวิธีพิจารณาอาญามาตรา 246 นั้น ศาลมีอำนาจสั่งให้ทุเลาการบังคับได้ไม่ว่าก่อนหรือหลังจากที่ได้สั่งให้บังคับคดีไปแล้ว อำนาจศาลสั่งให้ทุเลาการบังคับคดีได้ตามประมวลวิธีพิจารณาอาญา ม. 246 หาได้ก้าวก่ายลบล้างกันกับอำนาจของอธิบดีราชทัณฑ์ 2479 นั้นไม่ โดยเป็นคนละส่วนต่างหากจากกัน

คำพิพากษาของศาลฎีกาที่ 1092/2482 นี้วินิจฉัยเกี่ยวกับอำนาจของศาลในการสั่งทุเลาการบังคับคดีตามมาตรา 246 โดยระบุว่าศาลมีอำนาจสั่งให้ทุเลาการบังคับคดีได้ทั้งก่อนหรือหลังการออกคำสั่งให้บังคับคดี

การสั่งทุเลาการบังคับโทษไม่จำกัดระยะเวลาซึ่งหมายความว่าศาลสามารถใช้ดุลพินิจในการกำหนดระยะเวลาการทุเลาได้ตามความเหมาะสมของสถานการณ์ โดยพิจารณาจากเหตุผลที่ระบุในมาตรา 246 เช่นความวิกลจริตอันตรายต่อชีวิต การตั้งครรภ์หรือการเลี้ยงดูบุตรเน้นย้ำถึงหลักการทางกฎหมายว่าศาลมีอำนาจกว้างขวางในการพิจารณาการทุเลาการบังคับโทษโดยไม่ถูกจำกัดด้วยกรอบเวลาที่ตายตัว

คำวินิจฉัยนี้กลายเป็นแนวปฏิบัติสำหรับศาลในกรณีที่ต้องพิจารณาการทุเลาการบังคับโทษตามมาตรา 246 โดยยืนยันว่าการทุเลาสามารถสั่งได้ในทุกขั้นตอนของการบังคับคดีตราบใดที่มีเหตุผลที่สมควรตามกฎหมาย

ดังนั้น ศาลจึงมีความชอบธรรมตามบทบัญญัติของกฎหมายและแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่จะเรียกทักษิณและผู้เกี่ยวข้องมาสอบสวนในวันที่ 13 มิถุนายน ส่วนศาลจะมองว่า คำสั่งที่ให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องส่งข้อเท็จจริงมาให้ภายใน 30 วันนั้นเพียงพอต่อการวินิจฉัยแล้วหรือไม่ เพราะเป็นข้อกฎหมายไม่ได้มีความสลับซับซ้อน ศาลก็อาจจะวินิจฉัยในวันที่ 13 มิถุนายนแล้วมีคำสั่งเลยก็ได้

หรือศาลอาจจะเห็นว่า หลักฐานที่มีอยู่ยังไม่เพียงพอ ศาลอาจจะเรียกบุคคลต่างๆ มาไต่สวน เช่น ตัวทักษิณเอง แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ และตัวแทนแพทยสภาที่มีความเห็นว่า ทักษิณไม่ได้ป่วยวิกฤตนั่นคือไม่จำเป็นต้องนอนในโรงพยาบาลตำรวจตลอด 180 วัน หรือพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ที่อ้างว่าได้ขึ้นไปเยี่ยมมาไต่สวนเสียก่อนโดยนัดวันก่อนจะมีคำวินิจฉัยก็ได้

ถ้าถามผมว่า มีความเห็นอย่างไร ข้อแรก ถ้าทักษิณป่วยทิพย์ไม่วิกฤตจริง แต่ศาลถือว่า การอยู่ในโรงพยาบาลตำรวจของทักษิณถือเป็นสถานที่คุมขังตามกฎหมายแล้ว ทักษิณก็อาจจะรอดตัวไป แต่คนที่จะรับผิดก็คือแพทย์ และเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ที่มีผู้ร้องอยู่ใน ป.ป.ช.แทน

แต่ถ้าศาลมองว่า การที่ทักษิณนอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลตำรวจเป็นการทุเลาโทษซึ่งต้องขออนุญาตศาลตามมาตรา 246 (2) เมื่อเกรงว่าถ้าจำเลยต้องถูกจำคุกจะเป็นอันตรายแก่ชีวิต ซึ่งตรงกับรายงานของแพทย์ตามที่อ้างเพื่อให้ทักษิณนอนอยู่ในโรงพยาบาลจนครบ 180 วัน การใช้มาตรา 55 ก็ไม่ถูกต้อง ต้องใช้ ป.วิอาญามาตรา 246 ทักษิณก็จะต้องกลับไปเริ่มนับโทษใหม่ เพราะถือว่าโทษนั้นได้ทุเลาเอาไว้

ถามว่ามีโอกาสแค่ไหนที่ทักษิณต้องกลับไปติดคุกใหม่ ความเห็นส่วนตัวผมคิดว่ามีความเป็นไปได้สูงมาก
 
ติดตามผู้เขียนได้ที่
https://www.facebook.com/surawich.verawan


กำลังโหลดความคิดเห็น