xs
xsm
sm
md
lg

ตามพรลิงค์ : สมาพันธรัฐที่โลกลืม ตอน สินค้านำเข้าและส่งออกของสมาพันธรัฐตามพรลิงค์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ดร.เกียรติกำจร มีขนอน

โดย ดร.เกียรติกำจร มีขนอน

จากเอกสารเต้าอี้จาจื้อและอี้หยู่จื้อตามพรลิงค์เริ่มส่งบรรณาการอิสระแยกจากสมาพันธรํฐศรีวิชัยในปี พ.ศ.1739 และเอกสารหยุนลู่หม่านเฉาเริ่มบันทึกสินค้าส่งออกจากตามพรลิงค์และพัทลุงไปจีนในปี พ.ศ.1749 ตามตารางที่ 7


ในปี พ.ศ.1768 ช่วงก่อนที่สมาพันธรัฐตามพรลิงค์จะแยกตัวจากสมาพันธรัฐศรีวิชัย เมืองในแหลมมลายูที่ส่งสินค้าออกไปจีนได้แก่ลังกาสุกะและพัทลุงในตารางที่ 8 และเมืองที่นำเข้าสินค้าจากจีนในแหลมมลายูได้แก่ตามพรลิงค์ ลังกาสุกะ และพัทลุงในตารางที่ 9


หลังจากที่สมาพันธรัฐตามพรลิงค์ได้แยกตัวจากสมาพันธรัฐศรีวิชัยแล้ว วังต้าหยวนได้บันทึกสินค้าส่งออกและนำเข้าจากเมืองในสมาพันธรัฐตามพรลิงค์กับจีนและเมืองอื่นๆ เช่นชวา จามปา อินเดียเป็นต้น


สินค้านำเข้า ผ้าไหม เครื่องถ้วยชามกระเบื้อง สินค้าส่งออก ไม้หอม เครื่องหอม ไม้กฤษณา ไม้จันทน์แดง กระดองเต่า เปลือกหอย ขี้ผึ้ง ไข่มุก เครื่องหอม การบูร ไม้กระซิก กานพลู สมุนไพรต่าง กลันตันและตรังกานูนำเข้าผ้าจากจามปาสอดคล้องกับหลักฐานอื่นที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างกลันและตรังกานูกับจามปาในยุคต่อมา

รูป 10 เมืองในสมาพันธรัฐตามพรลิงค์
เอกสารและหลักฐานเกี่ยวกับสมาพันธรัฐตามพรลิงค์
ฌัคส์เอกวลช์ ไม่สามารถตั้งสมมุติฐานได้ว่าสมาพันธรัฐตามพรลิงค์ก่อตั้งขึ้นมาได้อย่างไรเช่นเดียวกับฟูกามิ ฮิซะโนริ ไวแอต มุนโร เฮย์ วัณณสาส์น นุ่นสุข ศรีศักร วัลลิโภดมและวลัยลักษณ์ ทรงศิริ อดีตเมืองขึ้นในสมาพันธรัฐตามพรลิงค์ที่อยู่ในไทยและมาเลเซียถูกตัดขาดจากอดีตและบรรพบุรุษที่นับถือพุทธศาสนานิกายมหายานและศาสนาพราหมณ์ทั้งด้านจิตวิทยาและวัฒนธรรมเนื่องจากอิทธิพลของพุทธศาสนาเถรวาทแบบลังกาวงศ์ วัฒนธรรมไทยและศาสนาอิสลาม ตำนาน พงศาวดารและเรื่องเล่าต่างๆของเมืองเหล่านี้ในทั้ง 2 ประเทศจะไม่กล่าวถึงบรรพบุรุษที่เป็นฮินดูและพุทธศาสนามหายานเลย ดังนั้นประวัติศาสตร์ของสมาพันธรัฐตามพรลิงค์จึงถูกลืมเลือนโดยสาธารณชน หนังสือตำราประวัติศาสตร์ที่เป็นทางการและจิตสำนึกทางประวัติศาสตร์ของคนในทั้ง 2 ประเทศ พุทธศาสนาเถรวาทแบบลังกาวงศ์ไม่เคยลงหลักปักฐานในอดีตเมืองขึ้นตามพรลิงค์ที่เคยอยู่ภายใต้อิทธิพลของมัชปาหิต ทำให้พรมแดนทางศาสนาระหว่างพุทธศาสนาเถรวาทแบบลังกาวงศ์และศาสนาอิสลามคือเส้นแบ่งทางวัฒนธรรมระหว่างนครรัฐไทยและมลายูในหลายศตวรรษต่อมา นครศรีธรรมราชขึ้นกับสุโขทัยหลังปี พ.ศ.1824

เอกสารประเภทตำนานและพงศาวดารของอดีตเมืองบริวารของสมาพันธรัฐตามพรลิงค์ ทั้งในฝั่งไทย เช่น ตำนานเมืองนครศรีธรรมราช ตำนานพระนางเลือดขาว ฮิกายัต ปัตตานี หรือในฝั่งมาเลเซีย เช่น ฮิกายัต มะหรงมหาวงศ์ มักจะไม่อ้างความเชื่อมโยงกับอารยธรรมพุทธมหายานหรือฮินดูก่อนหน้านี้ เช่นสมาพันธรัฐตามพรลิงค์หรือศรีวิชัยแต่จะเริ่มที่การเข้ามาของพุทธศาสนาเถรวาทแบบลังกาและศาสนาอิสลาม ตำนานเมืองนครศรีธรรมราชไม่กล่าวถึง “ตามพรลิงค์” ฮิกายัต ปัตตานี ไม่กล่าวถึง ”ลังกาสุกะ” แต่บอกว่าปัตตานีสืบทอดมาจากโกตามะลิฆัย

เอกสารจีนที่เขียนเกี่ยวกับการค้าระหว่างจีนกับสมาพันธรัฐตามพรลิงค์แบ่งเป็น 4 ประเภทคือ 1. เจิ้งสือคือพงศาวดารได้แก่ ซ่งฮุ่ยเย่า (พ.ศ.1779) ซ่งสือ (พ.ศ.1888) และหยวนสือ (พ.ศ.1913) แบ่งเป็นจ้วน (ม้วนหรือบรรพ) 2. บันทึกของข้าราชการและบัณฑิต ได้แก่ ผิงโจ่วเข่อถัน (พ.ศ.1659) เขียนโดยจู หยวี หลิ่งว่ายไต้ต่า (พ.ศ.1723) บันทึกตามพรลิงค์เป็น เติ้ง-หลิว-เหมย เขียนโดยโจวชื่อเฟย ไม่ใช่หม่าต้วนหลิน หยุนลู่หม่านเฉา (พ.ศ.1749) เขียนโดยจ้าวเอี้ยนเหว่ย ได้บันทึกเกี่ยวกับละโว้ (หลัว-หู่) จูฟ่านจื้อ (พ.ศ.1768) เขียนโดยจ้าวหยู่คั่วเป็นศุลการักษ์ บอกว่าละโว้เป็นเมืองขึ้นของกัมพูชา และต้าเต๋อหนานไห่จื้อ (พ.ศ.1847) เขียนโดยเฉินต้าเจิ้นเป็นศุลการักษ์ บอกว่าละโว้เป้นอิสระจากกัมพูชา และคันฉ่องส่องการปกครองเขียนโดย ซื่อมากวง 3. สารานุกรมประวัติศาสตร์จีน (เล่ยชู้) ได้แก่ เหวินเซี่ยนถงเข่า (พ.ศ.1860) เขียนโดยหม่าต้วนหลิน และ 4.บันทึกการเดินทาง ได้แก่ เต้าอี้จื้อเลื่อยเขียนโดยวังต้าหยวน ชิงฉาเสิ่งหลันเขียนโดยเฟ่ยซิ่น อิ้งหยาเสิ่งหลันเขียนโดยหม่าหวน เป็นต้น แต่ฉบับแปลไทยไม่ค่อยบอกที่มา

พงศาวดารจีนบันทึกบรรณาการจากรัฐทะเลใต้มาตลอดจนถึงสิ้นสุดราชวงศ์ซ่งเหนือจากนั้นต้องอาศัยเอกสารจากหอจดหมายเหตุตามเมืองท่าต่างๆที่ข้าราชการได้จดบันทึกเอาไว้ เช่นหลิ่งว่ายไต้ต่า จูฟ่านจื้อ สือหลินกว๊างจี๊ ต้าเต๋อหนานไห่จื้อ เต้าอี้จื่อเลื่อย จนกระทั่งถึงราชวงศ์หมิงที่มีการฟื้นฟูระบบบรรณากาและมีการควบคุมพลเมืองและการค้าต่างประเทศที่เข้มงวดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และไม่ใช้ชาวต่างชาติดูแลเมืองท่าเหมือนกับปลายราชวงศ์ซ่งหรือหยวน นครรัฐในสมาพันธรัฐตามพรลิงค์มีการส่งบรรณาการไปจีนดังนี้

ตามพรลิงค์ส่งทูตไปจีนครั้งแรกในสมัยราชวงศ์ถังในชื่อตั๊ว-ปั๊ว-ตริ้ง และส่งบรรณาการ ไปจีนครั้งสุดท้ายในปีพ.ศ.1739 ตามที่บันทึกในหมวดเต้าอี้จาจื้อ ในสารานุกรมสือหลินกว๊างจี๊ ครหิส่งบรรณาการไปจีนครั้งเดียวในสมัยราชวงศ์สุย และถูกกล่าวถึงในบันทึกจูฟ่านจื้อและต้าเต๋อหนานไห่จื้อ ลังกาสุกะส่งบรรณาการให้จีนในสมัยราชวงศ์เหลียงและราชวงศ์เฉินใต้ หลังจากนั้นก็ไม่ได้ส่งบรรณาการไปยังจีนอีกคาดว่าเรือน่าจะเปลี่ยนท่าจากลังกาสุกะเหนือขึ้นไปยังรักตมฤติกา แต่ถูกบันทึกในเอกสารจีนและอาหรับหลายครั้งจนถึงต้นราชวงศ์หมิงและมีการขุดค้นพบเหรียญที่โบราณสถานยะรังระบุชื่อลังกาสุกะตามแบบของทวาราวดีสายบุรีถูกบันทึกในต้าเต๋อหนานไห่จื้อและเต้าอี้จื้อเลื่อยแต่ไม่เคยส่งบรรณาการไปจีน รักตมฤติกา (เมืองดินแดง) ถูกบันทึกในพงศาวดารสุยชู้เมื่อจักรพรรดิสุยหยางตี้ส่งฉางจุ้นและหวังจุ้นเฉิงมาเป็นทูตโดยนำเจ้าชายองค์นี้กลับไปเมืองลั่วหยางระหว่างปีพ.ศ.1150-1153

ในสมัยราชวงศ์ถังจีนส่งต้าซี่เป็นทูตไปเมืองนี้ในระหว่างปีพ.ศ.1217-1218 หลังจากนั้นก็ไม่มีหลักฐานว่าติดต่อกันอีกจนกระทั่งมีชื่อเมืองพัทลุงปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกในเอกสารหลิ่งว่ายไต้ต่าในปีพ.ศ.1721 จนถึงบันทึกเต้าอี้จื้อเลื่อยในปีพ.ศ.1892 แต่ไม่มีหลักฐานว่าส่งบรรณาการไปจีนในชื่อพัทลุงเช่นเดียวกับสงขลาที่ปรากฏในบันทึกต้าเต๋อหนานไห่จื้อเป็นครั้งแรกในปีพ.ศ.1847 กลันตัน ตรังกานู ปาหัง สุไหงปะกาและเชราติงถูกบันทึกในจูฟ่านจื้อเป็นครั้งแรกในปีพ.ศ.1768 ส่วนกวนตันและเอนโดวถูกบันทึกเป็นครั้งแรกในต้าเต๋อหนานไห่จื้อ แต่ไม่มีหลักฐานว่าเมืองเหล่านี้ส่งบรรณาการไปจีนในสมัยราชวงศ์ซ่งและหยวน จนกระทั่งถึงสมัยราชวงศ์หมิง กลันตันและปาหังได้ส่งทูตและบรรณาการไปจีน ดังนั้นหัวเมืองในสมาพันธรัฐตามพรลิงค์ จึงมีแต่ตามพรลิงค์ ครหิ รักตมฤติกาและลังกาสุกะที่ส่งบรรณาการไปจีนมาตั้งแต่โบราณกาล แต่ตามพรลิงค์และลังกาสุกะเป็นเมืองที่ส่งบรรณาการไปจีนมากที่สุดคือ 4 ครั้ง ส่วนเมืองที่อยู่ในเขตประเทศมาเลเซียในปัจจุบันเพิ่งจะส่งบรรณาการให้จีนในสมัยราชวงศ์หมิงเพื่อให้คุ้มครองจาการแผ่ขยายอำนาจของกรุงศรีอยุธยาหลังจากที่สมาพันธรัฐตามพรลิงค์ล่มสลายไปแล้ว ในยุคที่แยกตัวมาจากสมาพันธรัฐศรีวิชัย สมาพันธรัฐตามพรลิงค์ไม่เคยส่งบรรณาการไปจีนเนื่องจากเป็นช่วงที่จีนใช้ระบบศุลกากรทางทะเลในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้และหยวน อย่างไรก็ตามกรุงศรีอยุธยามักจะใช้นครศรีธรรมราชในการควบคุมดูแลสอดส่องหัวเมืองมลายูอยู่เสมอเนื่องจากนครศรีธรรมราชเคยเป็นศูนย์กลางของสมาพันธรัฐตามพรลิงค์ หัวเมืองมลายูทางใต้ที่เปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลามแล้วยังต้องส่งคนมาที่นครศรีธรรมราชเพื่อศึกษาจารึกและเอกสารในยุคก่อนอิสลาม

เอกสารราชวงศ์หมิงจะระบุว่าจักรพรรดิจีนพระราชทานลัญฉกร (seal) คำหับ (a set of robe) และสัปทนสีเหลือง (a yellow umbrella) เป็นสัญลักษณ์ที่รับรองความเป็นกษัตริย์ของกษัตริย์ในภูมิภาคอุษาคเนย์ที่ต้องการค้าขายผ่านระบบบรรณาการกับจีนเป็นการทับซ้อนคติฮินดูอีกทีหนึ่ง ผู้เขียนขอจบเรื่องราวของสมาพันธ์รัฐตามพรลิงค์ที่ลงในเว็ปไซด์หนังสือพิมพ์ผู้จัดการไว้เพียงเท่านี้ และขอขอบคุณคณะบรรณาธิการผู้จัดการที่ให้ความอนุเคราะห์กับผู้เขียนในการเขียนบทความในครั้งนี้ หากมีข้อผิดพลาดประการใด ผู้เขียนขอน้อมรับไว้แต่เพียงผู้เดียว

เอกสารอ้างอิง
Heng, D. T. S. (2005). Economic Interaction between China and the Malacca Straits Region: Tenth to Fourteenth A.D. [Doctoral Thesis]. University of Hull.
Heng, D. T. S. (2009). Sino-Malay Trade and Diplomacy: From Tenth through the Fourteenth Century. ISEAS.
So, B. K. (Su Jilang 蘇基朗). (1998). Dissolving Hegemony or Changing Trade Pattern? Images of Srivijaya in the Chinese Sources of Twelfth and Thirteenth Centuries. Journal of Southeast Asian Studies, 29(2), 295–308.



กำลังโหลดความคิดเห็น