xs
xsm
sm
md
lg

ระหว่า ง“ทรัมป์บ้า” กับ“Netanyahu” ใครบ้ายิ่งไปกว่ากัน!!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


โดนัลด์ ทรัมป์ - เบนจามิน เนทันยาฮู
เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องขออนุญาตแวะไปตะวันออกกลางกันอีกสักรอบ!!! เพราะแม้ว่าเรื่อง “ทรัมป์บ้า” ผู้นำอเมริกา คิดจะ “เท-ไม่เท” อิสราเอล ยังไม่ถึงกับเป็นอะไรที่ชัดเจน แต่โอกาสที่ผู้นำอิสราเอล อย่างนายกรัฐมนตรี Benjamin Netanyahu” ที่ทั้งเหี้ยม ทั้งโหด ผิดมนุษย์มนาโดยปกติธรรมดา แถมยัง “ดื้อ”ซะอีกด้วยต่างหาก อาจกลายเป็นผู้ที่ทำให้รายการ “ทัวร์เศรษฐี”หรือ “ทัวร์หาตังค์” ของ “ทรัมป์บ้า” ซึ่งสามารถหอบเงินลงทุนนับเป็น “ล้านล้านดอลลาร์”จากอภิมหาเศรษฐีในตะวันออกกลางอย่างซาอุฯ ยูเออี และกาตาร์ แถมเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวัน ลำเบ้อเร่อติดปลายนวมมาฟรีๆ อาจต้องกลายสภาพเป็น “ทัวร์ยาจก”เอาง่ายๆ!!!

คืออันที่จริง...ไม่ใช่แต่เฉพาะ “ทรัมป์บ้า” เท่านั้น ถ้าว่าตามข้อเขียน ข้อมูลที่อดีตเหยี่ยวข่าวผู้มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นตำนานมาตั้งแต่ครั้งคดี “วอเตอร์ เกท”อย่าง “นายBob Woodward”เขาได้ร่ายเรียงไว้ในหนังสือพ็อกเกตบุ๊กที่ให้ชื่อว่า War” ถึงกับระบุไว้ว่ากระทั่งอดีตประธานาธิบดีคนก่อน อย่างคุณปู่ “โจ ซึมเซา”ไม่เพียงแต่เคยรู้สึกหุดๆ หิดๆ ต่อผู้นำอิสราเอลอย่าง “นายNetanyahu” จนถึงขั้นต้องตวาด ต้องตะโกนก่อนกระแทกหูโทรศัพท์ในระหว่างการพูดคุยติดต่อของผู้นำทั้งสองประเทศ แต่ยังเคยเรียกขานผู้นำอิสราเอลรายนี้ ด้วยถ้อยคำที่ออกจะน่ารังเกียจเอามากๆ เช่น Bad F**king Guy”หรือF**king Liar”หรือไอ้เลวแม่มเช็ด แม่มชอบโกหกฉิบหายอะไรทำนองนั้น...

ด้วยเหตุนี้...จึงไม่ถึงกับน่าแปลกใจอะไรมากมาย ที่แม้ว่าผู้นำอเมริกาคนปัจจุบันอย่าง “ทรัมป์บ้า” จะเคยเอาอก เอาใจ
ทูนหัวทูลกระหม่อมอะไรต่อมิอะไรให้กับอิสราเอลมาโดยตลอด ไม่ว่าการย้ายสถานทูตอเมริกันไปอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็ม
อันเท่ากับเป็นการรับรองสิทธิครอบครองมหานครแห่งนี้ของอิสราเอลไปโดยปริยาย หรือการเห็นดี-เห็นงามกับการยึดที่ราบสูงโกลันของซีเรีย มาเป็นแนวป้องกันอิสราเอลเอาดื้อๆ จนถึงกับคิดเปลี่ยนชื่อเสียง เรียงนาม เป็น “ที่ราบสูงทรัมป์”กันเห็นๆ แต่เมื่อต้องเจอกับความเหี้ยม ความดื้อแบบไม่คิดจะฟังใครนอกเสียจาก “ตัวกูเอง” เรียกว่า...ขนาดชาวอิสราเอลนับเป็นล้านๆ
ออกมาขับไล่ไสส่งครั้งแล้ว ครั้งเล่า ก็ยังคง “ดื้อตาใส”ซะยังงั้น ก็เล่นเอาประมุขโลก ผู้นำโลก อย่าง “ทรัมป์บ้า”น่าจะกลืนไม่เข้า-คายไม่ออก ถึงขั้นต้อง “ตัดสายตรง” ในการติดต่อสื่อสารกับผู้นำอิสราเอลเอาดื้อๆ...

ยิ่งเมื่อ “นายBenjamin Netanyahu”ต้องหาทางดิ้นรน หาทางออก ทางไป ทางที่จะทำให้ “ตัวกูเอง”ยังคงอยู่ใน “อำนาจ”ได้ยาวนานที่สุดเท่าที่จะนานได้ ด้วยการอาศัย “สงคราม” นั่นแหละเป็นเครื่องมือ การคิดจะลดราวาศอก การหันมาสร้างบรรยากาศเพื่อให้ภูมิภาคตะวันออกกลางเกิดความสงบราบคาบ หรือเพื่อเปิดช่อง เปิดทาง ให้ผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” มีโอกาสทำเงิน-ทำทอง ดูดเงิน-ดูดทอง จากบรรดามหาเศรษฐีในตะวันออกกลาง ดังที่ตัวเองต้องการ เลยกลายเป็นเรื่องที่ผู้นำอิสราเอลรายนี้ ไม่คิดจะฟัง หรือฟังแต่ไม่คิดจะได้ยินอยู่แล้วแน่ๆ!!! ไม่เพียงแต่ไม่คิดจะหาข้อยุติในเรื่องการ “หยุดยิง”กับพวกHamas”ในเขตฉนวนกาซาอย่างที่ฝ่ายอเมริกากำลังพยายามเป็น “ตัวกลาง”เท่านั้น ยังหันไปขยายผล “สงคราม” ให้ดุเดือดเลือดพล่าน ยิ่งขึ้นไปอีก ทั้งที่ลากยาวมานานถึง18 เดือนเข้าไปแล้ว แต่ยังได้เริ่มเปิดฉากปฏิบัติการ Gideon’s Chariots”เพื่อหวังยึดพื้นที่ทุกตารางนิ้วในดินแดนดังกล่าวอย่างเป็นการถาวร แถมยังพยายามตัดขาดบรรดา “ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม”ต่อชาวปาเลสไตน์ ที่พยายามกลับเข้าไปอยู่ในพื้นที่ ไปจนกระทั่งถึงขั้น “ยิงขู่” พวกนักการทูตที่เข้าไปสังเกตการณ์ เพื่อช่วยเหลือเยียวยามนุษย์ตาดำๆ นับแสน นับล้าน ซะอีกด้วย...

แต่ที่หนักหนา-สาหัสยิ่งไปกว่านั้น...ก็คือการคิดเปิดฉากโจมตีโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านให้จงได้!!! อันนี้...ถ้าว่ากันตามรายงานข่าวล่าสุดของสำนักข่าว CNN” เมื่อช่วงวันอังคารที่20 พ.ค.ที่ผ่านมานี่เอง ซึ่งได้อ้างถึงแหล่งข่าวระดับสูงในหน่วยข่าวกรองอเมริกัน ว่ามีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ(has gone up significantly)ไม่ว่าจะดูจากความเคลื่อนไหวในการตระเตรียมอาวุธยุทโธปกรณ์ โดยเฉพาะการเคลื่อนย้ายกำลังทางอากาศ รวมถึงความกระเหี้ยนกระหือรือของผู้คนในคณะรัฐบาลอิสราเอลชุดนี้ เช่น รัฐมนตรีความมั่นคง อย่าง “นายItamar Ben Gvir”หรือรัฐมนตรีคลัง “นายBezalel Smotrich”ฯลฯ ที่เคยประกาศว่าพร้อมจะถอนตัวออกจากรัฐบาล ถ้าไม่คิด “ลุยแหลก”ให้ฉิบหายกันไปข้าง แม้ว่าทุกวันนี้...หนทางที่ “ทรัมป์บ้า” พันธมิตรรายสำคัญของอิสราเอลยังคงเลือกที่จะใช้เป็นทางออก-ทางไป คือ “การเจรจา” กับอิหร่าน ไม่ว่าจะกี่รอบต่อกี่รอบมาแล้วก็ตาม...

อันนี้นี่แหละ...ที่อาจทำให้ “ทัวร์เศรษฐี” ของ “ทรัมป์บ้า”ต้องกลายเป็น “ทัวร์ยาจก” เอาง่ายๆ!!! เพราะการเปิดศึก เปิดสงครามกับอิหร่านนั้น ไม่ว่าอเมริกาจะมีส่วนเกี่ยวข้อง จะเปิดไฟเขียว หรือไฟแดง ก็ตาม แต่บรรดาผู้คนในอิหร่าน โดยเฉพาะรัฐมนตรีต่างประเทศ “นายAbbas Araghchi” ท่านได้พูดเอาไว้ชัดเจน ว่าการโจมตีอิหร่านนั้นยังไงๆ...ต้องถือว่าอเมริกาย่อมมีส่วนร่วม หรือมีส่วนรู้เห็น อย่างมิอาจปฏิเสธได้เลยแม้แต่น้อย และจะต้องได้รับการตอบโต้อย่างหนักหน่วง หนักหนา-สาหัส ไม่น้อยไปกว่ากัน หรืออาจทำให้บรรดา “ฐานทัพอเมริกา”ในภูมิภาคตะวันออกกลาง ต้องเจอจรวดHypersonic” หล่นใส่หัวกบาล สร้างความตื่นตระหนกให้กับบรรดาอภิมหาเศรษฐีทั้งหลาย ไม่ว่าซาอุฯ ยูเออี หรือกาตาร์ เอาง่ายๆ...

หรือถ้าว่ากันตามความคิด ความเห็น ของนักเศรษฐศาสตร์ด้านพลังงานและผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานระดับโลกอย่าง Dr.Mamdouh G.Salameh”ที่ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวSputnik”เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา โอกาสที่สงครามระหว่างอิหร่าน-อิสราเอล จะทำให้ราคาน้ำมันBrent crude oil” พุ่งขึ้นไปถึง120-130 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ และจะทำให้อัตราการเติบโตเศรษฐกิจโลกหดตัวลงมาไม่น้อยกว่า2-3 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป โดยเฉพาะ “เศรษฐกิจอเมริกา”ที่กำลังได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของ “ทรัมป์บ้า” จนทำให้อัตราการเติบโตลดลงไปเหลือแค่-0.3 เปอร์เซ็นต์ในไตรมาสแรกอันถือเป็นการหดตัวครั้งแรกนับจากปี ค.ศ.2022 เป็นต้นมานั่นยังไม่นับรวมไปถึงความหวาดหวั่นวิตกกังวลต่อ “ปัญหาหนี้สิน”ในอเมริกาที่ทำให้สถาบันจัดอันดับเครดิตทั้งหลาย ไม่ว่าS&P” “Fitch”ไปจนถึง Moody’s”คราวล่าสุด ต้องปรับลดอันดับเศรษฐกิจอเมริกาจากAaa”ลงมาเหลือแค่ Aa1” เท่านั้นเอง...

นี่...อันนี้นี่แหละ ที่ทำให้ “ความดื้อ”และ “ความเหี้ยม”ของผู้นำอิสราเอลอย่าง “นายBenjamin Netanyahu” จึงเป็นอะไรที่น่าชิงชังรังเกียจเอามากๆ สำหรับผู้นำอเมริกา หรืออดีตนักธุรกิจผู้ชอบเงิน-ชอบทอง อย่าง “ทรัมป์บ้า” ที่หวังจะหอบเงินลงทุนจากเศรษฐีตะวันออกลางนับ “ล้านล้านดอลลาร์”กลับไปทำให้ America Great Again”ขึ้นมาอีกครั้ง หรืออย่างน้อย...ก็ทำให้ “คะแนนนิยม” ของตัวเองที่ตกต่ำระดับหนักที่สุดในประวัติศาสตร์พอได้เงยหัวชูหาง ขึ้นมาได้มั่ง ในระหว่างการ “เลือกตั้งกลางเทอม”ที่กำลังจะมาถึง แต่ถ้าหาก “ความบ้า”หรือ “ลูกบ้า”ของตัวเอง ยังมิอาจช่วยหยุดยั้งความบ้าของBad F**king Guy”อย่าง “นายNetanyahu” ได้เลย โอกาสที่เศรษฐกิจอเมริกาจะเจ๊งไปพร้อมๆ กับความบ้าของพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์อย่างอิสราเอล ย่อมมีความเป็นไปได้ไม่ยากส์ส์ส์...

ด้วยเหตุนี้...คงต้องคอยติดตามกันอย่างมิอาจกะพริบตาได้โดยเด็ดขาดว่าระหว่างลูกบ้าของ “ทรัมป์บ้า”กับลูกบ้าของ “นายBenjamin Netanyahu”เอาไป-เอามาแล้ว อะไรจะ “บ้า...ก็...บ้าวะ”มาก-น้อยไปกว่ากัน หรือระหว่าง “รัฐบาลอิสราเอลแท้ๆ” กับ “รัฐบาลอเมริกันเชื้อสายอิสราเอล”ที่มีพวกDeep State” ทั้งหลายยืนอยู่เบื้องหลัง สุดท้ายแล้ว...ใครจะเป็นผู้มีอำนาจตัดสินวินิจฉัยในขั้นตอนสุดท้าย ทั้งนั้น-ทั้งนี้...โดยมีฉากสถานการณ์สงครามใน “แนวรบตะวันออกกลาง”นั่นแหละเป็นเดิมพัน!!!


กำลังโหลดความคิดเห็น