xs
xsm
sm
md
lg

พบ “ผู้ชาย” ธรรมดาที่ไม่ธรรมดา?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“สอดแนมการเมือง”
“ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”

“พี่อ๋า-ธัญญา ชุนชฎาธาร” ซึ่งเพื่อน ๆ พี่ ๆ นักเคลื่อนไหวทางสังคม ทั้งก่อนและหลังเหตุการณ์ “14 ตุลาคม 2516” ต่างทราบกันดีว่า “พี่อ๋า” เป็นคน “ใจเย็น-ใจดี” และเป็น “ผู้ให้” เสมอ

“พี่อ๋า” นัดเจอผมที่ “บ้านราชครู” เพื่อพบชายชื่อเล่น “โต้ง” ชื่อจริง ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ ลูกชายคนเดียวของ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ หนึ่งในแกนนำหลักพรรคชาติไทย และ ท่านผู้หญิงบุญเรือน ชุณหะวัณ ผู้ภรรยา

“พี่โต้ง” ชายร่างสันทัดผอมเกร็ง ท่วงท่าใจดี พูดคุยกับพวกเราอย่างเป็นกันเองว่า “เอ้อ.. อ๋ากับชัชกินข้าวเที่ยงกับพี่แล้วเราจะได้คุยกัน”

อาหารมื้อแรก เป็นกับข้าวง่าย ๆ หาซื้อมาจากละแวกซอยอารีย์นั่นเอง เราสามคนกินพลางคุยเรื่องบ้านเมือง และพูดถึงเพื่อน ๆ ก่อนจะปิดท้ายด้วยกาแฟดำร้อนใส่น้ำตาลทรายแดง

“ตอนนี้ชัชทำงานอะไร?” พี่โต้งถามขึ้นหลังซดกาแฟดำอึกใหญ่

“ผมทำบริษัทโฆษณาสิ่งพิมพ์กับพี่ธนพลครับ” ผมตอบพี่โต้งและเล่ารายละเอียดงานที่ผ่านมาของผม ก่อนที่พี่โต้งจะเอ่ยปากชวนว่า “ชัช มาช่วยงานพี่ที่นี่ได้ไหม? พี่อยากให้ชัชมาช่วยพี่อีกคน เพราะพี่มีโครงการจะพิมพ์หนังสือดี ๆ ขายอยู่หลายเล่ม.. ชัชสนใจมาทำงานกับพี่ไหม?”

อืม..ไม่เลวนะ เพราะผมอยากทำหนังสือเนื้อหาดี ๆ และสวย ๆ ได้มาตรฐานสากลอยู่พอดี..

ผมจึงตอบพี่โต้งทันทีว่า “สนใจครับพี่โต้ง แต่ผมขอกลับไปคุยกับเพื่อน ๆ ก่อนนะครับ”

สองวันต่อมาผมขับรถ BMW ซีรีย์ 3 รุ่นเก่า เข้าบ้านเลขที่ 92 พหลโยธินซอย 5 หรือซอยราชครู แล่นผ่านบ้านหลังใหญ่ของ พล.อ.ชาติชาย ตรงไปที่“บ้านเรือนไทย”ของพี่โต้ง ซึ่งอยู่ลึกสุดในพื้นที่ใหญ่ของ“บ้านราชครู” เพื่อเริ่มต้นกับงานใหม่อีกครั้งในชีวิตผม..

ช่วงแรกในบ้านเรือนไทยของพี่โต้ง ผมยุ่งกับง่วนอยู่กับการทำอาร์ตเวิร์คที่“ตุ้ม” กำพล ถนอมศรี นักแปลมือฉกาจ กำลังแปลเรื่อง “ไซ่ง่อน” และนั่นทำให้ผมฉุกนึกถึงโครงการใหม่ขึ้นทันที เราจะทำหนังสือภาพและเรื่อง “สงครามเดียนเบียนฟู” ที่กองทัพมหาอำนาจฝรั่งเศสพ่ายแพ้ต่อ “กองทัพคอมมิวนิสต์เวียดนามเหนือ” อย่างยับเยิน ถึงกับต้องเผ่นป่าราบยกกำลังพลหนีกลับเมืองน้ำหอม โครงการใหม่นี้พี่โต้งและตุ้มเห็นด้วยกับผม พี่โต้งได้บอกกับผมว่า “ท่านทูตเอกเวียดนามชอบมาเยี่ยมพี่บ่อย ๆ ถ้าเขามาพี่จะให้ชัชคุยกับท่านทูตเลย”

แต่ก่อนที่ทูตเอกเวียดนามจะมา บ่ายแก่ ๆ วันหนึ่ง “น้าชาติ-พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ” ได้โผล่มาที่บ้านพี่โต้งในชุดลำลองง่าย ๆ เสื้อยืดคอกลมสีขาวกับกางเกงขายาวสีน้ำเงินเข้ม “น้าชาติ” ได้เจอพี่โต้งกับผมพอดี ผมยกมือไหว้ “น้าชาติ” ก่อนที่พี่โต้งจะพูดขึ้นว่า

“พ่อ.. นี่ชัชเพื่อนโต้ง.. โต้งชวนชัชมาทำงานด้วย” พี่โต้งแนะนำผม

“เออดี.. ที่ชัชมาช่วยโต้งทำงาน.. มีอะไรก็บอกพ่อได้นะ..ไม่ต้องเกรงใจ” น้าชาติมองผมก่อนจะยกซิการ์ในมือขึ้นสูบอย่างอารมณ์ดี ผมรู้สึกทันทีว่า นายทหารนักการเมืองเจ้าบ้านราชครู ใจดีไม่มีอะไรน่าหวาดกลัวเลย..

และแล้วบ่ายวันหนึ่ง “ฟามเนียน” ทูตเอกเวียดนามก็ได้มาเยือนบ้านพี่โต้ง ได้พบพี่โต้งกับผมที่ห้องรับแขก

หลังทูตเอกฟามเนียนซดกาแฟดำร้อนอึกใหญ่แล้ว จังหวะหนึ่งพี่โต้งก็พูดขึ้นว่า “ชัชมีโครงการพิเศษอะไรจะคุยกับท่านทูตไหม?”

“ผมขออนุญาตเรียกท่านทูตว่าลุงนะครับ” ท่านทูตเอกฟามเนียนพยักหน้ายิ้ม และตอบรับด้วยภาษาไทยที่ชัดเจน

“ลุงฟามเนียนครับ ผมกับพี่โต้งและเพื่อน ๆ อยากนำเรื่องและภาพสงครามเบียนเดียนฟูมาพิมพ์ขายเป็นภาษาอังกฤษครับ”

วันนั้น ลุงฟามเนียนคุยกับพี่โต้งและผมหลายเรื่องนานกว่า 2 ชั่วโมง ก่อนกลับได้แลกเบอร์โทรศัพท์กับผม ต่อมาลุงฟามเนียนได้มาที่บ้านพี่โต้งเจอกับผมอีกครั้งหนึ่ง ลุงฟามเนียนได้พูดอธิบายว่า

“คุณโต้งกับคุณชัช ผมคุยกับผู้ใหญ่ทางฝ่ายผมแล้ว เรื่องพิมพ์หนังสือเดียนเบียนฟูนั้นทางเราเห็นด้วยและพร้อมจะสนับสนุน แต่ทางเราห่วงว่าจะได้กำไรน้อยมากหรือไม่คุ้มครับ

เรามีเรื่องจะเสนอ คือทางเราอยากชวนคุณโต้งกับคุณชัชไปลงทุนทำธุรกิจที่เวียดนาม เพราะเวียดนามกำลังพัฒนาฯ และมีเรื่องน่าลงทุนเยอะมาก.. คุณโต้ง คุณชัช มีความเห็นว่าอย่างไรครับ?” ลุงฟามเนียนพูดกับเราสองคนด้วยน้ำเสียงจริงจัง

พี่โต้งตอบท่านทูตเอกเวียดนามว่า “ขอบคุณครับท่านทูต.. แต่ผมต้องบอกคุณฟามเนียนว่า.. ผมกับชัชไม่ถนัดเรื่องลงทุนทำธุรกิจทั้งในและต่างประเทศครับ”

จริงครับ ผมไม่ถนัดเรื่องการลงทุนทำธุรกิจอย่างที่พี่โต้งพูดจริง ๆ

“แต่ถ้าผมหรือพี่โต้งแนะนำใครมาทำเรื่องนี้ ลุงฟามเนียนช่วยสนับสนุนด้วยนะครับ.. OK.. ไหมครับลุง?” ผมพูดก่อนที่พี่โต้งจะถามย้ำกับฟามเนียนอีกคน

“ได้เลย.. พวกผมจะหนุนเพื่อนคุณโต้งกับคุณชัชอย่างเต็มที่ครับ”

นั่นเป็นสิ่งที่ผมจำได้ดีในการสนทนาครั้งนั้น หลังท่านทูตเอกฟามเนียนจากไปแล้ว ผมก็คุยกับพี่โต้งต่อ..

“เรื่องเวียดนาม เราไม่ควรปล่อยผ่านไปนะครับ.. พี่โต้งจะเอาไงดี?”

“พี่ไม่มีใคร แต่ถ้าชัชมีใครอยากจะทำเรื่องนี้ พี่พร้อมจะหนุนพวกของชัชเต็มที่เลย” พี่โต้งพูดยืนยัน

“ผมจะลองสอบถามเพื่อนนักเคลื่อนไหวบางคนดูครับพี่โต้ง” ผมตอบพี่โต้งได้แค่นั้น ในขณะที่สมองคิดถึงเพื่อนคนนั้นคนนี้ แล้วมาหยุดที่เพื่อนคนหนึ่ง “พีรพล”!

พีรพล ตริยะเกษม เป็นเพื่อนนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งขณะนั้นทำธุรกิจการพิมพ์อยู่กับบริษัทของ คุณชัยรัตน์ คำนวน สนิทสนมกับทางกลุ่ม ธนาคารกรุงเทพ และ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ..

หลังจากนั้นผมก็ได้ไปคุยกับ พีรพล และ ปรีชา เพชรติ้น เพื่อนอดีตสื่อเครือหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ซึ่งต่อมาปรีชาได้มาเป็นผู้จัดการและหุ้นส่วนบริษัทบางแห่งในกลุ่มของพวกเรา

“เฮ้ย! ชัช ถ้าทางเวียดนามอยากทำธุรกิจและจริงใจกับพวกเรา ก็ให้เขาเชิญผมไปพบกับพวกบริษัทของเวียดนามสิ”

การคุยครั้งนั้นพีรพลได้ยื่นการบ้านมาให้ผมทันที ผมนำเรื่องนี้ไปเล่าให้พี่โต้งฟัง และเมื่อพบลุงฟามเนียน เราจึงคุยเรื่องนี้กับท่านทูตเอกเวียดนามทันที

“ได้เลย! ทางผมจะรีบทำตามที่เพื่อนคุณโต้งกับคุณชัชต้องการโดยเร็ว” ฟามเนียนตอบพี่โต้งกับผมด้วยสำเนียงเสียงแข็งขันมั่นใจ..

ผมไปเล่าเรื่องนี้ให้พีรพลทราบ หลังจากนั้นไม่นาน พีรพลก็ได้รับเชิญให้เดินทางไปเวียดนาม และได้พบบริษัทที่นั่นเป็นจำนวนมาก..

แต่การทำธุรกิจในเวียดนามไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนดั่ง “ปอกกล้วยเข้าปาก” พีรพลที่มีทั้งความจริงใจและจริงจัง แต่เขาไม่มีเงินถุงเงินถังที่จะใช้จ่ายในระยะแรก จึงต้องฝ่าฟันด้วยตนเอง.. ทำไปสักพักก็ตกอยู่ในสภาพเป็นหนี้สิน แม้จะวิ่งเต้นจนได้ธุรกิจแล้ว ทว่ามักถูก “พ่อค้าไทยและเทศ” เบี้ยวซึ่ง ๆ หน้าครั้งแล้วครั้งเล่า

ครั้งหนึ่งผมเดินทางไปเวียดนามเพื่อช่วยพีรพลปิดจ๊อบ.... เรื่อง “สัมปทานไม้ซุง” ที่พีรพลวิ่งเต้นจนเวียดนามให้โควต้าไม้ 5,000 คิวบิกเมตร ผมเดินทางไปช่วยวัดไม้ถึงโกดังที่กรุงโฮจิมินห์ กับ “นายทุนไม้อัดคนหนึ่ง” ซึ่งผมได้หนีบสาวสวยคนหนึ่งไปช่วยวัดด้วย

วันนัดวัดไม้ หนุ่มเวียดนามกับผมและสาวคนนั้น ทำงานกันขะมักเขม้น ต้องก้ม ๆ เงย ๆ จนแลเห็น “เนินเขามรกต” ทำเอาหนุ่มเวียดนามไม่เป็นอันวัดไม้ ทำให้การวัดไม้ในวันนั้นมีการแถมให้ครั้งแล้วครั้งเล่าจนได้ไม้เกินกว่า 5,000 คิวบิกเมตร เมื่อเลิกงาน ผมพาหนุ่มวัดไม้ไปนวดผ่อนคลายเป็นการพิเศษด้วย!

คิดในใจว่า..งานนี้พีรพลควรจะได้กำไรไม่มากก็น้อยล่ะ.. ทว่า.. พีรพลบอกกับผม แล้วผมก็ได้เล่าต่อพี่โต้งว่า.. เจ้าพีมันไม่ได้ค่าคอมมิชชั่น+ เพราะ นายทุนคนนั้นมันเบี้ยว!

 ผมเจ็บจี๊ดๆ ข้างใน นึกถึงเพลง “เบี้ยวเป็นเบี้ยว” ของไวพจน์ เพชรสุพรรณ ขึ้นมาทันใด.. เฮ้อ!!!



กำลังโหลดความคิดเห็น