ปิดท้ายสัปดาห์นี้...คงต้องขออนุญาตปลีกเวลาแวะไปเยี่ยมคุณพี่จีนเขาไว้สักหน่อย เพราะช่วงหลังๆ นี้...ข่าวคราวเรื่องราวเกี่ยวกับความก้าวหน้า ก้าวไกลทาง “เทคโนโลยี” ของคุณพี่เขา ออกจะมาแรง แซงโค้ง หรือเป็นอะไรที่ช่างระเบิดเถิดเทิงเสียเหลือเกิน!!! ไม่ว่าไล่มาตั้งแต่ครั้งเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่าง “DeepSeek” ของจีนที่จู่ๆ ก็ “ยกฝ่าตีนลูบหน้า” เทคโนโลยี “AI” ของคุณพ่ออเมริกาอย่าง “ChatGPT” ซะจนเสียหมา เสียรังวัด ชนิดหุ้นตกรวดเดียว วันเดียว ถึง 593,000 ล้านดอลลาร์เอาเลยถึงขั้นนั้น ทั้งๆ ที่ลงทุนไปแค่ไม่กี่สิบล้านดอลลาร์เท่านั้นเอง ต่างไปจาก “AI” ของอเมริกา ที่ทุ่มทุน ทุ่มเท นับไม่รู้กี่ร้อยกี่พันกี่แสนล้านดอลลาร์!!!
มาเมื่อวัน-สองวันนี้...โดยอาศัยฉากเหตุการณ์การปะทะระหว่างแขกอินตะระเดียกับแขกปากีสถานเป็น “โชว์รูม”ปรากฏว่าเครื่องบินโจมตีรุ่น “J-10” ของจีนที่ขายให้กับปากีสถาน ราคาลำละ 30-40 ล้านดอลลาร์เท่านั้นเอง ดันแสดงอานุภาพ แสนยานุภาพ ระดับสามารถสอยเครื่องบินรบราคาลำละ 108-200 ล้านเหรียญอเมริกัน อย่างเครื่องบิน “Rafale EH”ของฝรั่งเศส ที่คุณปู่อินตะระเดียอุตส่าห์ควักเงินรูปีซื้อมาประจำการถึง 34 ลำ ตกไปถึง 3 เครื่องซ้อนๆ โดยที่เครื่องบิน “J-10”ของปากีสถาน ไม่ได้ถูกแมวข่วน ไม่ได้ถูกกระทบกระเทือนใดๆเอาเลย...นะนายจ๋า!!!
ส่งผลให้บรรดาพวก “กูรู-กูรู้” หรือบรรดาพวกผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งหลาย ต้องหยิบเอาไป “เมาท์” ไปพูดกันสนั่นเมือง หรือสนั่นไปทั่วทั้งโลก เอาเลยก็ว่าได้...
ตรงกันข้ามกับมหาอำนาจสูงสุด เบอร์หนึ่ง อันดับหนึ่ง ไม่ว่าทางด้านเศรษฐกิจหรือการทหาร อย่างคุณพ่ออเมริกาที่เคยได้ชื่อฉายาว่าเป็น “เครื่องจักรสังหาร” ที่ทรงอานุภาพ ทรงประสิทธิภาพสูงที่สุดในโลก ผ่านกระบวนการที่เรียกๆ กันว่า “การปฏิวัติทางทหาร” หรือ “RMA” (Revolution in Military Affairs) มาตั้งแต่ยุคที่กองทัพจีนยังได้ชื่อว่าเป็น “พิพิธภัณฑ์ทางทหารเคลื่อนที่” ยังต้อง “ถมศพ” นับเป็นล้านๆ เพื่อสู้คุณพ่ออเมริกาใน “สงครามเกาหลี” แต่จะด้วยเหตุเพราะความเสื่อม ความโทรม ความหลงระเริงอยู่กับความยิ่งใหญ่เกรียงไกร หรืออะไรต่อมิอะไรก็ตาม ทุกวันนี้...แค่เจอกับกองกำลัง“Houthi” แห่งประเทศเยเมน ประเทศที่ได้ชื่อว่ายากจนที่สุดตามเส้นมาตรฐานสหประชาชาติ ถึงไม่เชื่อแต่ก็คงต้องเชื่อว่า...เครื่องบินรบล่องหนเจเนอเรชั่น 5 อันถือทรงประสิทธิภาพสุดๆ ของคุณพ่ออเมริกา อย่าง “F-35” ราคาลำละตั้งแต่ 82.5 ล้านดอลลาร์ จนไปถึง 109 ล้านดอลลาร์โน่นเลย กลับหวิดๆ ถูก “จรวด SAM” ราคาแค่ไม่กี่กะตังค์ ของพวกนักรบ “Houthi”สอยร่วงเอาดื้อๆ ระดับเฉียดฉิวชนิดแค่เส้นยาแดงผ่าแปด ผ่าสิบหกเท่านั้นเอง!!!
แถมก่อนหน้านั้น...เครื่องบินตรวจการณ์แบบไร้คนขับ หรือเครื่องบินโดรน “MQ-9 Reaper” ราคาลำละ 30 ล้านดอลลาร์ ยังมิวายถูกพวก “Houthi” สอยร่วงไปถึง 7 ลำซ้อนๆ นั่นยังไม่รวมไปถึงเครื่องบินโจมตี “F/A18” ตกราวๆ ลำละ 67 ล้านดอลลาร์ ที่ต้องตกน้ำ ตกท่า ไปเพราะเรือบรรทุกเครื่องบินลำดังกล่าว ต้องหักเลี้ยว หักหลบ จรวดของนักรบเยเมน จนจมทะเลแดง หรือเกิดการยิงกันเองชนิดเจ๊งไปแล้ว 2 ลำซ้อนๆ อันเป็นตัวสะท้อนถึงความเสื่อม ความโทรม ของผู้ที่ได้ชื่อว่าเครื่องจักรสังหารที่ทรงอานุภาพสูงสุดในโลกรายนี้ได้เป็นอย่างดี เล่นเอาผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ที่ชอบคิดอะไรเป็นเงิน-เป็นทองซะเป็นหลัก ต้องออกมาป่าวประกาศเลิกรบกับพวก“Houthi” ก่อนที่อเมริกาจะเสียเงิน-เสียทองมากมายเกินไปกว่านี้...
ด้วยเหตุนี้นี่เอง...ถ้าหากหนีไม่พ้นต้อง “ปะ-ฉะ-ดะ” กับมหาอำนาจคู่แข่งมหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลกอย่างคุณพี่จีน ที่นับวันชักก้าวหน้า ก้าวไกลทาง “เทคโนโลยี” ยิ่งเข้าไปทุกที โอกาสจะตกอยู่ในสภาพ “ช้อยเก็บฉาก” ย่อมน่าจะมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ เพราะไม่เพียงแต่เรือบรรทุกเครื่องบินที่ถือเป็น “ฐานทัพลอยน้ำ” อันทรงอานุภาพระดับสร้างความหวาดหวั่น เกรงขาม ให้กับใครต่อใครมาโดยตลอด อาจถูก “จรวดตงเฟิง” (DF) ของจีนจมได้ภายใน 20 นาที อย่างที่ผู้นำทางทหารอเมริกันเคยออกมาสารภาพ แถมเมื่อวัน-สองวันนี้...คุณพี่จีนเขายังได้เปิด “โชว์รูม” ในงาน “China Airshow” ครั้งที่ 15 เผยให้เห็นการประดิษฐ์คิดค้นอาวุธสมัยใหม่อันทรงอานุภาพไม่น้อยไปกว่าเรือบรรทุกเครื่องบินธรรมดาๆ นั่นคือ “เรือบรรทุกเครื่องบินลอยฟ้า” แถมประเภท “ไร้คนขับ” อีกซะด้วย (Drone Carrier in the Sky) ที่สามารถโหลดอาวุธไม่รู้จะกี่ชนิดต่อกี่ชนิด แล้วลอยเคว้งๆ คว้างๆ กลางอากาศไป ณ จุดไหนต่อจุดไหนก็ย่อมได้ ภายใต้รัศมีทำการยาวไกลถึง 7,000 กิโลเมตรไปโน่นเลย...
นี่...พูดง่ายๆ ว่า ถึงทุกวันนี้ “คนป่ามีปืน” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว!!! ในแง่การทหาร จีนไม่ใช่ “พิพิธภัณฑ์ทหารเคลื่อนที่”แบบเดิมๆ อีกต่อไปแล้ว ส่วนในทางเศรษฐกิจ โอกาสที่จะเบียดหลัง เบียดไหล่อเมริกา ขึ้นเป็นมหาอำนาจอันดับ 1 ก็น่าจะอยู่อีกไม่ใกล้-ไม่ไกลนับจากนี้ โดยเห็นได้จากการ “ปะ-ฉะ-ดะ” ในทางเศรษฐกิจ หรือในเรื่อง “สงครามภาษี” ที่ฝ่ายจีนทุกวันนี้ พร้อมที่จะโต้กลับแบบชนิด “ดอก-ต่อ-ดอก” เอาเลยก็ว่าได้ ต่างไปจากยุคอดีตที่ต้องหันไปเอาอกเอาใจในทุกๆ ครั้งที่ถูกขู่คำรามจากคุณพ่ออเมริกา ด้วยการซื้อสินค้า หรือซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ จนกลายเป็น “เจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุด” ของอเมริกามาโดยตลอด แต่เมื่อประมาณ 6 ปีที่แล้วนี่เอง การเทขายหรือลดสัดส่วนการถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ ทำให้จีนกลายเป็นแค่เจ้าหนี้อันดับ 2 ปล่อยให้ญี่ปุ่นแซงหน้าในปีค.ศ. 2019 และตั้งแต่เดือนมีนาคมปีนี้เป็นต้นมา การเทขายลดสัดส่วนการถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ ลงเหลือแค่ 765,400 ล้านดอลลาร์ ทำให้จีนกลายเป็นเพียงเจ้าหนี้อันดับ 3 ปล่อยให้อังกฤษก้าวขึ้นไป “รับขี้” แซงหน้าการถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ ด้วยมูลค่าราวๆ 779,300 ล้านดอลลาร์กันไปแทนที่...
ภายใต้สภาพเช่นนี้นี่เอง...เลยทำให้จีนทุกวันนี้ ไม่ใช่เป็นจีนแบบเดิมๆ หรือแบบ “เล้ง...อยู่สะพานขาวแค่นี้เอง!!!” อีกต่อไปแล้ว แม้แต่ในแง่ “ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติ” ก็ตาม ดังที่นักวิจัยชาวรัสเซียแห่งสถาบัน “China-CCE Institute”และผู้เชี่ยวชาญแห่งสโมสรนักคิด “The Valdai Discussion Club” อย่าง “นายLadislav Zemanek” เขาถึงกับต้องร่ายเรียงข้อเขียนบทความ ว่าด้วยเรื่อง “China is sending an important signal to entire world” หรือจีนกำลังส่งสัญญาณที่สำคัญเอามากๆ ต่อโลกทั้งโลก ด้วยการอ้างถึงเอกสารรายงานที่เรียกๆ กันว่า “สมุดปกขาว” ของจีนที่ออกเผยแพร่ช่วงเดือนพฤษภาคมเมื่อไม่กี่วันมานี้ อันแสดงให้เห็นถึงความมั่นอก-มั่นใจของจีน ในการที่จะก้าวขึ้นมาเป็น “พลังอำนาจระดับโลกที่ประชาชาติทั้งหลายจะขาดเสียมิได้” ไม่ว่าในแง่เศรษฐกิจ-การเมืองหรือการทหารก็ตามที...
โดยในรายละเอียดของเอกสารดังกล่าว...ได้สะท้อนให้เห็นว่าจีนได้เริ่มละทิ้ง “ยุทธศาสตร์” แบบเดิมๆ ที่ออกไปในแนว “ตั้งรับ” หรือแบบ “ซ่อนเร้นความแข็งแกร่งเพื่อรอคอยเวลา” (hide your strength, bide your time) หรือถ้าเรียกแบบฝ่ายซ้ายบ้านเรายุคก่อนๆ ก็คงประมาณ “ซุ่มซ่อนยาวนาน-รอคอยโอกาส” อะไรทำนองนั้น กลายมาเป็น “ยุทธศาสตร์ในเชิงรุก” ด้วยการนำเสนอโครงการริเริ่มเพื่อความมั่นคงของโลก หรือ “GSI” (The Global Security Initiative) เอาไว้ตั้งแต่ปีค.ศ. 2022 ช่วงจังหวะใกล้ๆ กับที่พันธมิตรทางยุทธศาสตร์ของจีน หรือคุณน้ารัสเซียตัดสินใจ “บุกยูเครน” เพื่อคลี่คลาย “รากเหง้าความขัดแย้ง” ระหว่างรัสเซียกับโลกตะวันตก...นั่นเอง...
ด้วยเหตุนี้...ในเอกสาร “สมุดปกขาว” จึงได้แสดงออกถึงการต่อต้าน คัดค้านและปฏิเสธความพยายามครอบงำโลก (Hegemonism) อันต่างไปจากแนวคิดของ “โลกตะวันตก” แบบคนละเรื่อง-คนละม้วน ไม่ว่าการไม่เห็นด้วยกับการ “ขยายเขตอิทธิพล” เพื่อการครอบงำ การรวมกลุ่มเพื่อสร้างอุปสรรคขัดขวางประเทศหนึ่งประเทศใดเป็นการเฉพาะ เช่นกลุ่ม “QUAD”หรือ “AUKUS” เป็นต้น การ “ส่งออกประชาธิปไตย” ไปจนถึง“การปฏิวัติสี” รวมทั้งการอาศัยเศรษฐกิจเป็นอาวุธทางการเมือง ด้วยการแซงชั่นฝ่ายเดียว หรือการใช้สองมาตรฐานในแต่ละเรื่อง แต่ละกรณี ฯลฯ หรือพูดง่ายๆ ว่า...นับแต่นี้คุณพี่จีนที่เคยถนัดในการเล่น “หมากล้อม” ได้ส่งสัญญาณว่าพร้อมแล้วที่จะหันมาเล่น “หมากรุก” ไม่ว่ากับใครก็ตามที่ยังคิดครอบงำโลกทั้งโลก หรือต้องการให้โลกตกอยู่ภายใต้อำนาจของ“โลกขั้วเดียว” ไปโดยตลอด...
นี่...อันนี้นี่แหละที่ “นักคิด” แห่งสโมสร “The Valdai Club” อย่าง “นายLadislav” เขาถือว่าเป็นการ “ส่งสัญญาณ”ที่สำคัญเอามากๆ ต่อโลกทั้งโลก และด้วยความมั่นอก-มั่นใจของจีนเช่นนี้ ย่อมต้องเกี่ยวข้อง พัวพัน กับความเป็น “หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่ไร้ขีดจำกัด” กับคุณน้ารัสเซียอย่างมิพึงต้องสงสัย เพราะดังที่ผู้นำจีนประธานาธิบดี “สี ทนได้” หรือ “สี จิ้นผิง”ท่านเคยได้ป่าวประกาศต่อบรรดาสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนไว้เมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้วนั่นแหละว่า “กุญแจสำคัญ” ในการเปลี่ยนแปลงโลก จาก “โลกขั้วอำนาจเดียว” ให้กลายมาเป็น“โลกหลายขั้วอำนาจ” ก็คือความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ระหว่างจีน-รัสเซีย นั่นเอง...
การเปลี่ยนแปลงของคุณพี่จีน ไม่ว่าในด้านเศรษฐกิจ-การเมือง-การทหารและเทคโนโลยี จากวันนั้น...มาสู่วันนี้!!! จึงเป็นอะไรที่คงต้องคอยจับตาอย่างมิอาจกะพริบตาได้โดยเด็ดขาด โดยเฉพาะในแง่ของการนำไปสู่ข้อสรุป หรือข้อยุติในขั้นตอนสุดท้าย ว่ามันจะสามารถเป็นไปอย่างละมุนละม่อม หรือจะต้องวัดตัดสินกันด้วย “พลังอำนาจ” ของแต่ละฝ่าย ที่หวังจะให้โลกเป็นไปในแบบที่ตัวเองปรารถนาและต้องการ อันย่อมทำให้ประเทศใดๆ ก็ตามที่ไม่ได้มีที่ตั้งอยู่บนอวกาศ ยังคงต้องมี “ปฏิสัมพันธ์” กับฝ่ายหนึ่ง-ฝ่ายใดจนมิอาจหา “พื้นที่เป็นกลาง”ได้อีกต่อไป คงต้องตัดสินใจ “เลือกข้าง” ไม่วันหนึ่ง-วันใดขึ้นมาจนได้!!!