โดย ดร.เกียรติกำจร มีขนอน
เรือพาณิชย์ที่ใช้ในสมาพันธรัฐศรีวิชัยและตามพรลิงค์น่าจะเป็นเรือจุง (คุนหลุนป๋อ) แบบออสโตรเนเซียน เรือสำเภาจีนและเรือโคลันดาของอินเดียที่น่าจะใช้กันเป็นที่แพร่หลายในสมัยราชวงศ์ซ่งและหยวน มหาอำนาจทางทะเลอย่างศรีวิชัย ตามพรลิงค์หรือมัชปาหิตสร้างเรือเดินสมุทรขนาดต่าง ๆ ตั้งแต่ยุคพุทธศตวรรษที่ 6-8 [Manguin 1980] เครือข่ายการค้าชาวออสโตรเนเซียนส่งเสริมการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมทางวัตถุ เช่น เรือใบคะตะมารัน เรือที่มีกรอบโครงไม้ประคองโดยใช้รูเย็บกับเดือยผูกกับกระดูกงูและตอกไม้กระดานเข้าด้วยกัน หมากพลู และพืชเพาะปลูกเช่นมะพร้าว จันทน์หอม กล้วย อ้อย [Manguin 2012] นักเดินเรือชาวออสโตรเนเซียนชอบแวะที่หมู่เกาะมัลดีฟที่ยังมีหลักฐานเรือยุคเก่าจากหมู่เกาะอินโดนีเซียและวิธีการจับปลาที่ยังคงพบเห็นได้ในปัจจุบัน [Manguin 2012] เรือเหล่านี้เรียกว่าจุงหรือจองในภาษาชวาและมลายูหรือคุนหลุนป๋อในภาษาจีนที่พบเห็นได้ทั่วไปในยุคโบราณของอุษาคเนย์ไปจนถึงชายฝั่งตะวันออกของแอฟริกา เรือกลุ่มแรกจากภาพแกะสลักนูนต่ำที่บรมพุทโธที่ใช้กรอบโครงไม้ทุ่นคู่สำหรับพยุงกราบเรือเป็นเรือขนาดกลาง ซึ่งลักษณะเหล่านี้ยังคงพบเห็นได้จนถึงพุทธศตวรรษที่ 21 เช่นเสากระโดงเรือหลายเสา ผูกคันชักใบเรือและหางเสือ 2 อันข้างเรือ เรือกลุ่มที่ 2 มีขนาดเล็กและไม่มีกรอบโครงไม้ [Manguin 1980] มองแกงไม่คิดว่าศรีวิชัยใช้เรือติดกรอบโครงไม้ทุ่นคู่ต่อสู้กับโจฬะ
วิธีสร้างเรือจุงคือการเข้าไม้ด้วยลูกประสัก (ปะสักในภาษามลายู) คือสลักไม้ที่ไว้เสียบยึดแผ่นไม้ท้องเรือเข้าด้วยกัน สร้างกาบหุ้มตัวเรือก่อนใช้ขอบชนขอบแล้วตัดกรอบโครงให้เข้ากับไม้แผ่นและทำให้ท้องเรือแข็งแรงหลังจากสร้างเสร็จ มี 2 วิธีคือผูกด้วยเชือกใยไม้หรือใช้ลูกประสักเสียบยึดแผ่นไม้กระดาน ตัวเรือสร้างจากแผ่นเรือต่อกันเพื่อผูกแล้วจึงใช้หมุดปักโดยไม่มีกรอบ น็อตหรือตะปูเหล็ก ผูกคันใบเรือกับใบเรือรูป 3 เหลี่ยม มีไม้ไผ่กั้น ท้องเรือใช้มือกดลูกประสักลงไปให้จมจนมองไม่เห็นจากภายนอกและมีจุดรวมทั้งหัวและท้ายเรือและมีไม้พายคล้ายกับหางเสือและใบเรือรูปสามเหลี่ยม ตามปกติแล้วเรือจุงจะมีกรอบโครงไม้ทุ่นคู่ยื่นออกไปนอกตัวเรือคอยพยุงกราบเรือให้สมดุล ลูกประสักทำจากไม้เนื้อแข็ง เช่น ตะเคียน แสม หรือเสม็ด
จีนไม่มีเรือเดินทะเลก่อนพุทธศตวรรษที่ 14-15 แต่เริ่มสร้างเรือในสมัยราชวงศ์ซ่งเมื่อความรู้เรื่องการเดินเรือพัฒนาขึ้น เรือจีนจึงเดินทางไปยังอุษาคเนย์จนกลายเป็นคู่แข่งสำคัญของพ่อค้ามลายู จีนอาจจะพัฒนาเรือสำเภาของตนเองจากเรือจุง โดยรวมวิธีการสร้างเรือแม่น้ำที่แยกท้องเรือเป็นห้องๆและตั้งแกนหางเสือไว้ท้ายเรือกับเรือจุงที่ผูกใบเรือไว้กับเสากระโดงหลายเสา โดยรวมไม้กระดานหลายแผ่นไว้ที่ตัวเรือ [Manguin 1980] เรือสำเภาจีนเป็นเรือไม้ที่มีใบเรือหลายใบเพื่อใช้ลมในการแล่นเรือและมีท้องเรือแบ่งเป็นห้องๆเพื่อป้องกันน้ำท่วมท้องเรือเวลาเรือรั่วทั้งหมด [Worcester 1947] เรือสำเภาจีนเป็นพาหนะหลักในการค้าทางทะเลกับศรีวิชัยและตามพรลิงค์ แม้ว่าเรือสำเภาจีนและเรือจุงจะมีลักษณะหลายอย่างร่วมกัน เช่น ขนส่งสินค้าและคนได้เป็นจำนวนมาก มีหัวเรือเพรียวลม มีเสากระโดงพร้อมใบเรือหลายเสา แต่ก็แตกต่างกันตามตาราง 11. 1 เปรียบเทียบที่เรือจุงกับเรือสำเภาจีน [Manguin 1980, 2012; Djoko 2011; Serono 2014]

เรือเวียดนาม (จามปา) เป็นลูกผสมระหว่างเรือจุงกับเรือสำเภาจีนโดยใช้หางเสือเดี๋ยวไว้ข้างหลังแบบเรือจีนแต่ส่วนที่เหลือเหมือนเรือจุง [Manguin 1980] เรือจุงใช้กลไกการบังคับเรือแบบเดิมๆมาหลายศตวรรษจากบันทึกของนักสังเกตการณ์ชาวจีน อาหรับ เปอร์เซียและยุโรป โอโดริโกและบาตตูต้าบันทึกว่าเรือจุงเดินทางจากมาลุกกุ (โมลุกกะ) มามะละกา ลักษณะที่สำคัญของเรือจุงได้แก่
1) ขนคนได้ประมาณ 500-1000 คนและสินค้าประมาณ 250-1000 ตันสำหรับเรือขนาดใหญ่
2) ไม่มีการใช้เหล็กประกอบเรือ
3) มีไม้แผ่นหลายชั้น
4) ใช้หางเสือข้างเรือ
เรือจุงอาจเคยใช้หางเสือเดี๋ยวแต่พัฒนามาเป็นหางเสือคู่ข้างเรือและมีห้องโดยสาร มีไม้พาย 2 ข้างเป็นตัวช่วยบังคับทิศทาง โดยตั้งเสากระโดงหลายเสามีใบเรือหลายใบและบางลำอาจจะไม่มีกรอบโครงไม้คู่ประคองเรือ [Manguin 1980] เรือจุงมีการพัฒนาเนื่องจากการติดต่อค้าขายระหว่างเมืองมลายู ชวา จีน จามปา อินเดียใต้และตะวันออกกลาง เมือสิงหส่าหรีปกครองชวาได้ขยายเรือจนใหญ่กว่าเรือศรีวิชัย 3-4 เท่าและสามารถบรรทุกสินค้าได้ 4-5 พันตัน ในพิสัย 85-700 ตัน เมื่อพวกมองโกลบุกชวา เรือจีนที่ผูกด้วยเชือกและใช้ตะปูเหล็กตอกลงบนโครงเรือและมีท้องแบนใช้บรรทุกสินค้ามีหางเสือเดี่ยวอยู่ท้ายเรือและมีท้องเรือแบนโดยไม่ต้องใช้โครงกรอบไม้คู่ประคอง ลักษมณา นลา หรือ มปู นลา แม่ทัพเรือของมัชปาหิตได้ศึกษาโครงสร้างเรือจีนเหล่านี้มาปรับปรุงออกแบบเรือมัชปาหิตจากจุดอ่อนของเรือจีนจนเรือของเขาทรงตัวดีและบรรทุกสินค้าได้มากขึ้นและติดตั้งปืนใหญ่เซตบัง [Djoko 2011; Serono 2014]
เมื่อชาวโปรตุเกสเดินทางมายังอุษาคเนย์จึงเรียกเรือจุงว่า ฌุงโค (Junco) ชาวโปรตุเกสบันทึกว่าเรือจุงเหล่านี้บรรทุกสินค้าได้ประมาณ 400-500 เมตริกตันถ้าคิดเป็นหน่วยวัดในปัจจุบัน ลำเล็กสุดบรรทุกได้ 85 ตัน ลำใหญ่สุด 700 ตัน ปาติ อูนุส สร้างเรือบรรทุกสินค้าได้ 1000 ตัน และคน 1000 คนที่เจปาร่าบนเกาะชวาโดยไม่มีการใช้เหล็กเลย หัวเรือใช้ลูกประสักตอกเข้าไปในช่องที่เจาะเอาไว้ [Manguin 1980] ชาวโปรตุเกสได้เห็นกรุงศรีอยุธยาสร้างเรือ 200 ลำ เป็นเรือลันชรันของมลายู และเรือกำปั่นแบบชวา บรรทุกทหาร 6000 นายเตรียมบุกมะละกา [De Jong & Van Vijk 1960] จากบันทึกชาวโปรตุเกสนี้ทำให้ทราบว่ากรุงศรีอยุธยายังใช้เรือจุงแบบชวาและมลายูในยุทธนาวีจนถึงสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2
ส่วนเรืออินเดียจากภาพแกะสลักที่ถ้ำอชันตาในพุทธศตวรรษที่ 11 มีขนาดใหญ่และไม่มีกรอบโครงไม้คู่ไว้ประคองเรือแต่มีเสากระโดงเรือ 3 เสา ผูกกับใบเรือ 3 ใบมีหางเสือ 2 หางอยู่ข้างเรือซึ่งมีลักษณะร่วมกับเรือจุงออสโตรเนเซียน เรืออินเดียอาจเลียนแบบเรือจุงหรือเรือจุงอาจเลียนแบบเรืออินเดียก็เป็นได้ซึ่งต้องค้นคว้ากันต่อไป [Manguin 1980] พวกโจฬะที่ใช้เรือโคลันดาที่เป็นเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่เดินทางมาถึงช่องแคบมะละกาได้โดยใช้ไม้ซุงทั้งท่อนผูกรวมกันจนบรรทุกสินค้าจำนวนมากได้ โดยกราบเรือติดกาบเหล็กเป็นโล่ป้องกัน [Vijay Sakhuja & Sangeet Sakhuja 2009] เรือโคลันดาอาจจะพัฒนามาจากเรือในถ้ำอชันตา
เอกสารอ้างอิง
Nugroho Irawan Djoko (2011). Majapahit Peradaban Maritim : Ketika Nusantara Menjadi Pelabuhan Dunia [Majapahit Maritime Civilization]. Jakarta: Suluh Nuswantara Bakti.
De Josselin De Jong, P. E., & Van Wijk, H. L. A. (1960). The Malacca Sultanate. Journal of Southeast Asian History, 1(2), 20–29.
Manguin, P.-Y. (1980). The Southeast Asian Ship: A Historical Approach. Journal of Southeast Asian Studies, 11(2), 266.
Manguin, P.-Y. (2012). Asian Ship-building Tradition in the Indian Ocean at the Dawn of European Expansion. In O. Prakash, & D. Chattopadhyaya, History of Science, Philosophy and Culture in Indian Civilization (Vols. 3, part 7, pp. 597-629). Delhi, Chennai, Chandigarh: Pearson.
Agus S. Serono. (2014). Jayaning Majapahit: Kisah Para Kesatria Penjaga Samudra (The Story of Knights Guarding the Ocean). Jakarta: Gramedia Pustaka Utama.
Sakhuja, V., & Sakhuja, S. (2009). Rajendra Chola I's Naval Expedition to Southeast Asia: A Nautical Perspective. In H. Kulke, K. Kesavapany, & V. Sakhuja, Nagapattinam to Suvarnadwipa: Reflections on the Chola Naval Expeditions to Southeast Asia (pp. 76-90). Singapore: ISEAS–Yusof Ishak Institute.
Worcester, G. R. G. (1947). The Junks and Sampans of the Yangtze, A Study in Chinese Nautical Research (Vol. 1). The Statistical Department of the Inspectorate General of Customs.
เรือพาณิชย์ที่ใช้ในสมาพันธรัฐศรีวิชัยและตามพรลิงค์น่าจะเป็นเรือจุง (คุนหลุนป๋อ) แบบออสโตรเนเซียน เรือสำเภาจีนและเรือโคลันดาของอินเดียที่น่าจะใช้กันเป็นที่แพร่หลายในสมัยราชวงศ์ซ่งและหยวน มหาอำนาจทางทะเลอย่างศรีวิชัย ตามพรลิงค์หรือมัชปาหิตสร้างเรือเดินสมุทรขนาดต่าง ๆ ตั้งแต่ยุคพุทธศตวรรษที่ 6-8 [Manguin 1980] เครือข่ายการค้าชาวออสโตรเนเซียนส่งเสริมการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมทางวัตถุ เช่น เรือใบคะตะมารัน เรือที่มีกรอบโครงไม้ประคองโดยใช้รูเย็บกับเดือยผูกกับกระดูกงูและตอกไม้กระดานเข้าด้วยกัน หมากพลู และพืชเพาะปลูกเช่นมะพร้าว จันทน์หอม กล้วย อ้อย [Manguin 2012] นักเดินเรือชาวออสโตรเนเซียนชอบแวะที่หมู่เกาะมัลดีฟที่ยังมีหลักฐานเรือยุคเก่าจากหมู่เกาะอินโดนีเซียและวิธีการจับปลาที่ยังคงพบเห็นได้ในปัจจุบัน [Manguin 2012] เรือเหล่านี้เรียกว่าจุงหรือจองในภาษาชวาและมลายูหรือคุนหลุนป๋อในภาษาจีนที่พบเห็นได้ทั่วไปในยุคโบราณของอุษาคเนย์ไปจนถึงชายฝั่งตะวันออกของแอฟริกา เรือกลุ่มแรกจากภาพแกะสลักนูนต่ำที่บรมพุทโธที่ใช้กรอบโครงไม้ทุ่นคู่สำหรับพยุงกราบเรือเป็นเรือขนาดกลาง ซึ่งลักษณะเหล่านี้ยังคงพบเห็นได้จนถึงพุทธศตวรรษที่ 21 เช่นเสากระโดงเรือหลายเสา ผูกคันชักใบเรือและหางเสือ 2 อันข้างเรือ เรือกลุ่มที่ 2 มีขนาดเล็กและไม่มีกรอบโครงไม้ [Manguin 1980] มองแกงไม่คิดว่าศรีวิชัยใช้เรือติดกรอบโครงไม้ทุ่นคู่ต่อสู้กับโจฬะ
วิธีสร้างเรือจุงคือการเข้าไม้ด้วยลูกประสัก (ปะสักในภาษามลายู) คือสลักไม้ที่ไว้เสียบยึดแผ่นไม้ท้องเรือเข้าด้วยกัน สร้างกาบหุ้มตัวเรือก่อนใช้ขอบชนขอบแล้วตัดกรอบโครงให้เข้ากับไม้แผ่นและทำให้ท้องเรือแข็งแรงหลังจากสร้างเสร็จ มี 2 วิธีคือผูกด้วยเชือกใยไม้หรือใช้ลูกประสักเสียบยึดแผ่นไม้กระดาน ตัวเรือสร้างจากแผ่นเรือต่อกันเพื่อผูกแล้วจึงใช้หมุดปักโดยไม่มีกรอบ น็อตหรือตะปูเหล็ก ผูกคันใบเรือกับใบเรือรูป 3 เหลี่ยม มีไม้ไผ่กั้น ท้องเรือใช้มือกดลูกประสักลงไปให้จมจนมองไม่เห็นจากภายนอกและมีจุดรวมทั้งหัวและท้ายเรือและมีไม้พายคล้ายกับหางเสือและใบเรือรูปสามเหลี่ยม ตามปกติแล้วเรือจุงจะมีกรอบโครงไม้ทุ่นคู่ยื่นออกไปนอกตัวเรือคอยพยุงกราบเรือให้สมดุล ลูกประสักทำจากไม้เนื้อแข็ง เช่น ตะเคียน แสม หรือเสม็ด
จีนไม่มีเรือเดินทะเลก่อนพุทธศตวรรษที่ 14-15 แต่เริ่มสร้างเรือในสมัยราชวงศ์ซ่งเมื่อความรู้เรื่องการเดินเรือพัฒนาขึ้น เรือจีนจึงเดินทางไปยังอุษาคเนย์จนกลายเป็นคู่แข่งสำคัญของพ่อค้ามลายู จีนอาจจะพัฒนาเรือสำเภาของตนเองจากเรือจุง โดยรวมวิธีการสร้างเรือแม่น้ำที่แยกท้องเรือเป็นห้องๆและตั้งแกนหางเสือไว้ท้ายเรือกับเรือจุงที่ผูกใบเรือไว้กับเสากระโดงหลายเสา โดยรวมไม้กระดานหลายแผ่นไว้ที่ตัวเรือ [Manguin 1980] เรือสำเภาจีนเป็นเรือไม้ที่มีใบเรือหลายใบเพื่อใช้ลมในการแล่นเรือและมีท้องเรือแบ่งเป็นห้องๆเพื่อป้องกันน้ำท่วมท้องเรือเวลาเรือรั่วทั้งหมด [Worcester 1947] เรือสำเภาจีนเป็นพาหนะหลักในการค้าทางทะเลกับศรีวิชัยและตามพรลิงค์ แม้ว่าเรือสำเภาจีนและเรือจุงจะมีลักษณะหลายอย่างร่วมกัน เช่น ขนส่งสินค้าและคนได้เป็นจำนวนมาก มีหัวเรือเพรียวลม มีเสากระโดงพร้อมใบเรือหลายเสา แต่ก็แตกต่างกันตามตาราง 11. 1 เปรียบเทียบที่เรือจุงกับเรือสำเภาจีน [Manguin 1980, 2012; Djoko 2011; Serono 2014]
เรือเวียดนาม (จามปา) เป็นลูกผสมระหว่างเรือจุงกับเรือสำเภาจีนโดยใช้หางเสือเดี๋ยวไว้ข้างหลังแบบเรือจีนแต่ส่วนที่เหลือเหมือนเรือจุง [Manguin 1980] เรือจุงใช้กลไกการบังคับเรือแบบเดิมๆมาหลายศตวรรษจากบันทึกของนักสังเกตการณ์ชาวจีน อาหรับ เปอร์เซียและยุโรป โอโดริโกและบาตตูต้าบันทึกว่าเรือจุงเดินทางจากมาลุกกุ (โมลุกกะ) มามะละกา ลักษณะที่สำคัญของเรือจุงได้แก่
1) ขนคนได้ประมาณ 500-1000 คนและสินค้าประมาณ 250-1000 ตันสำหรับเรือขนาดใหญ่
2) ไม่มีการใช้เหล็กประกอบเรือ
3) มีไม้แผ่นหลายชั้น
4) ใช้หางเสือข้างเรือ
เรือจุงอาจเคยใช้หางเสือเดี๋ยวแต่พัฒนามาเป็นหางเสือคู่ข้างเรือและมีห้องโดยสาร มีไม้พาย 2 ข้างเป็นตัวช่วยบังคับทิศทาง โดยตั้งเสากระโดงหลายเสามีใบเรือหลายใบและบางลำอาจจะไม่มีกรอบโครงไม้คู่ประคองเรือ [Manguin 1980] เรือจุงมีการพัฒนาเนื่องจากการติดต่อค้าขายระหว่างเมืองมลายู ชวา จีน จามปา อินเดียใต้และตะวันออกกลาง เมือสิงหส่าหรีปกครองชวาได้ขยายเรือจนใหญ่กว่าเรือศรีวิชัย 3-4 เท่าและสามารถบรรทุกสินค้าได้ 4-5 พันตัน ในพิสัย 85-700 ตัน เมื่อพวกมองโกลบุกชวา เรือจีนที่ผูกด้วยเชือกและใช้ตะปูเหล็กตอกลงบนโครงเรือและมีท้องแบนใช้บรรทุกสินค้ามีหางเสือเดี่ยวอยู่ท้ายเรือและมีท้องเรือแบนโดยไม่ต้องใช้โครงกรอบไม้คู่ประคอง ลักษมณา นลา หรือ มปู นลา แม่ทัพเรือของมัชปาหิตได้ศึกษาโครงสร้างเรือจีนเหล่านี้มาปรับปรุงออกแบบเรือมัชปาหิตจากจุดอ่อนของเรือจีนจนเรือของเขาทรงตัวดีและบรรทุกสินค้าได้มากขึ้นและติดตั้งปืนใหญ่เซตบัง [Djoko 2011; Serono 2014]
เมื่อชาวโปรตุเกสเดินทางมายังอุษาคเนย์จึงเรียกเรือจุงว่า ฌุงโค (Junco) ชาวโปรตุเกสบันทึกว่าเรือจุงเหล่านี้บรรทุกสินค้าได้ประมาณ 400-500 เมตริกตันถ้าคิดเป็นหน่วยวัดในปัจจุบัน ลำเล็กสุดบรรทุกได้ 85 ตัน ลำใหญ่สุด 700 ตัน ปาติ อูนุส สร้างเรือบรรทุกสินค้าได้ 1000 ตัน และคน 1000 คนที่เจปาร่าบนเกาะชวาโดยไม่มีการใช้เหล็กเลย หัวเรือใช้ลูกประสักตอกเข้าไปในช่องที่เจาะเอาไว้ [Manguin 1980] ชาวโปรตุเกสได้เห็นกรุงศรีอยุธยาสร้างเรือ 200 ลำ เป็นเรือลันชรันของมลายู และเรือกำปั่นแบบชวา บรรทุกทหาร 6000 นายเตรียมบุกมะละกา [De Jong & Van Vijk 1960] จากบันทึกชาวโปรตุเกสนี้ทำให้ทราบว่ากรุงศรีอยุธยายังใช้เรือจุงแบบชวาและมลายูในยุทธนาวีจนถึงสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2
ส่วนเรืออินเดียจากภาพแกะสลักที่ถ้ำอชันตาในพุทธศตวรรษที่ 11 มีขนาดใหญ่และไม่มีกรอบโครงไม้คู่ไว้ประคองเรือแต่มีเสากระโดงเรือ 3 เสา ผูกกับใบเรือ 3 ใบมีหางเสือ 2 หางอยู่ข้างเรือซึ่งมีลักษณะร่วมกับเรือจุงออสโตรเนเซียน เรืออินเดียอาจเลียนแบบเรือจุงหรือเรือจุงอาจเลียนแบบเรืออินเดียก็เป็นได้ซึ่งต้องค้นคว้ากันต่อไป [Manguin 1980] พวกโจฬะที่ใช้เรือโคลันดาที่เป็นเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่เดินทางมาถึงช่องแคบมะละกาได้โดยใช้ไม้ซุงทั้งท่อนผูกรวมกันจนบรรทุกสินค้าจำนวนมากได้ โดยกราบเรือติดกาบเหล็กเป็นโล่ป้องกัน [Vijay Sakhuja & Sangeet Sakhuja 2009] เรือโคลันดาอาจจะพัฒนามาจากเรือในถ้ำอชันตา
เอกสารอ้างอิง
Nugroho Irawan Djoko (2011). Majapahit Peradaban Maritim : Ketika Nusantara Menjadi Pelabuhan Dunia [Majapahit Maritime Civilization]. Jakarta: Suluh Nuswantara Bakti.
De Josselin De Jong, P. E., & Van Wijk, H. L. A. (1960). The Malacca Sultanate. Journal of Southeast Asian History, 1(2), 20–29.
Manguin, P.-Y. (1980). The Southeast Asian Ship: A Historical Approach. Journal of Southeast Asian Studies, 11(2), 266.
Manguin, P.-Y. (2012). Asian Ship-building Tradition in the Indian Ocean at the Dawn of European Expansion. In O. Prakash, & D. Chattopadhyaya, History of Science, Philosophy and Culture in Indian Civilization (Vols. 3, part 7, pp. 597-629). Delhi, Chennai, Chandigarh: Pearson.
Agus S. Serono. (2014). Jayaning Majapahit: Kisah Para Kesatria Penjaga Samudra (The Story of Knights Guarding the Ocean). Jakarta: Gramedia Pustaka Utama.
Sakhuja, V., & Sakhuja, S. (2009). Rajendra Chola I's Naval Expedition to Southeast Asia: A Nautical Perspective. In H. Kulke, K. Kesavapany, & V. Sakhuja, Nagapattinam to Suvarnadwipa: Reflections on the Chola Naval Expeditions to Southeast Asia (pp. 76-90). Singapore: ISEAS–Yusof Ishak Institute.
Worcester, G. R. G. (1947). The Junks and Sampans of the Yangtze, A Study in Chinese Nautical Research (Vol. 1). The Statistical Department of the Inspectorate General of Customs.