xs
xsm
sm
md
lg

แม่น้ำคือสายเลือดของเรา : จากคำเตือนของหัวหน้าเผ่าซีแอตเติล สู่แนวทางอาเซียนในการเยียวยาลุ่มน้ำกกจากพิษสารหนู

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ศ.ดร.ศิวัช พงษ์เพียจันทร์



ศ.ดร.ศิวัช พงษ์เพียจันทร์
ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนากาป้องกันและจัดการภัยพิบัติ
คณะพัฒนาสังคมและยุทธศาสตร์การบริหาร
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)
Email: pongpiajun@gmail.com


“ในปี ค.ศ. 1857 หัวหน้าเผ่าซีแอตเทิลได้กล่าวสุนทรพจน์ตอบกลับข้อเสนอของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่ต้องการซื้อดินแดนของชาวอินเดียนแดง คำกล่าวของเขาไม่ใช่เพียงการแสดงความไม่เห็นด้วยทางการเมือง แต่ยังเป็นถ้อยคำเปี่ยมด้วยปัญญา สะท้อนถึงโลกทัศน์ของชนพื้นเมืองที่มองว่าธรรมชาติไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ครอบครองหรือซื้อขายได้ หากแต่เป็นสายใยแห่งชีวิตที่ทุกสิ่งเชื่อมโยงกัน ทั้งดิน ฟ้า น้ำ ป่าเขา และสิ่งมีชีวิตล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน คำพูดของเขาย้ำว่า “แม่น้ำคือสายเลือดของเรา” และ “เราเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดิน แผ่นดินก็เป็นส่วนหนึ่งของเรา” เป็นการเตือนใจต่อคนผิวขาวที่มองทรัพยากรเป็นเพียงของซื้อขาย ว่าเมื่อแยกมนุษย์ออกจากธรรมชาติ ผลลัพธ์ที่ตามมาคือความแห้งแล้งทั้งในแง่กายภาพและจิตวิญญาณ [1]
คำปราศรัยนี้ยังคงสะท้อนความจริงอย่างทรงพลังในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงกรณีการปนเปื้อนของสารหนูในแม่น้ำกก ซึ่งไม่เพียงทำลายสิ่งแวดล้อม หากยังบั่นทอนคุณภาพชีวิตของชุมชนที่พึ่งพาแม่น้ำเป็นแหล่งดำรงชีพ การปนเปื้อนนี้ไม่ใช่แค่ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังเป็นบทสะท้อนของความล้มเหลวในการเคารพความศักดิ์สิทธิ์ของธรรมชาติอย่างที่หัวหน้าซีแอตเทิลเคยกล่าวไว้เมื่อกว่าศตวรรษก่อน สารหนูในแม่น้ำจึงเปรียบเสมือนแผลเป็นของสายน้ำที่ครั้งหนึ่งเคยเป็น “สายเลือดของเรา” และเป็นคำเตือนถึงผลลัพธ์ของการปฏิบัติต่อธรรมชาติด้วยความโลภและความไม่รู้สึกรู้สม”


แม่น้ำกกและแม่น้ำสายเป็นแม่น้ำข้ามพรมแดนที่มีต้นกำเนิดจากรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ก่อนไหลเข้าสู่ภาคเหนือของไทย โดยเฉพาะในช่วงพายุยางิ เดือนกันยายน 2567 ที่ทำให้โคลนจากต้นน้ำไหลทะลักเข้าท่วมพื้นที่หลายอำเภอในเชียงราย ก่อให้เกิดคำถามถึงกิจกรรมที่เกิดขึ้นในฝั่งเมียนมา โดยเฉพาะการทำเหมืองแร่ทองคำที่มีการเปิดหน้าดินและขาดระบบควบคุมผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมที่ดี ซึ่งอาจกลายเป็นแหล่งปลดปล่อยโลหะหนัก เช่น สารหนู ตะกั่ว และปรอท ลงสู่แม่น้ำโดยตรง [2] แม้จะยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการจากฝั่งเมียนมา แต่ภาพถ่ายดาวเทียมและแผนที่ทางอากาศเผยให้เห็นจุดต้องสงสัยที่มีลักษณะคล้ายกิจกรรมเหมืองแร่หลายจุดใกล้ชายแดนไทย โดยเฉพาะในเขตอิทธิพลของกลุ่มว้าแดง ซึ่งมีการเปิดพื้นที่ทำเหมืองร่วมกับกลุ่มทุนจีน ปัญหานี้จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น แต่กลายเป็น “มลพิษข้ามพรมแดน” ที่ต้องการความร่วมมือระดับรัฐต่อรัฐ ทั้งในกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้างและการทูตระหว่างประเทศ ปัจจุบันแม่น้ำที่ควรเป็นแหล่งหล่อเลี้ยงชีวิตกลับกลายเป็นสายน้ำปนเปื้อนที่ไร้ผู้รับผิดชอบอย่างแท้จริง ท่ามกลางความล่าช้าในการเจรจาและการขาดมาตรการเชิงรุกจากทั้งสองฝ่าย ขณะที่ประชาชนในพื้นที่ปลายน้ำยังคงเผชิญผลกระทบโดยตรงโดยไม่มีทางเลือก [2] การทำเหมืองทองคำสามารถทำให้สารหนูปนเปื้อนในน้ำและดินได้ เพราะในหินที่มีทองมักจะมีสารหนูอยู่ด้วย สารหนูมักพบในแหล่งแร่ทองคำตามธรรมชาติ โดยอยู่ในรูปของ แร่ซัลไฟด์ที่มีสารหนู เช่น
• อาร์เซโนไพไรต์ (FeAsS)
• เรียลการ์ (As₄S₄)
• ออร์พิเมนต์ (As₂S₃)

พอขุดหินขึ้นมาแล้วสัมผัสกับอากาศและน้ำ สารหนูก็จะหลุดออกมา ผ่านกระบวนการออกซิเดชันของแร่ซัลไฟด์ที่มีสารหนู เมื่อแร่เช่น อาร์เซโนไพไรต์ สัมผัสกับออกซิเจนและน้ำ จะเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน เช่น:

4FeAsS+13O2+6H2O→4Fe2++4H3AsO4+4SO42-

ทำให้สารหนูถูกปลดปล่อยออกมาในรูปแบบของ อาร์เซเนต (Arsenate: As5+) หรือ อาร์เซไนต์ (Arsenite: As3+) ซึ่งเป็นพิษและสามารถแพร่กระจายเข้าสู่ น้ำใต้ดิน หรือ น้ำผิวดินและอาจไหลลงสู่แหล่งน้ำที่คนใช้ดื่มหรือทำการเกษตร ยิ่งถ้าบริเวณเหมืองมีน้ำที่เป็นกรดจากกระบวนการทำเหมือง ก็จะยิ่งทำให้สารหนูละลายและแพร่กระจายได้ง่ายขึ้น ซึ่งสารหนูเหล่านี้อาจสะสมในร่างกายของคนและสัตว์ได้ และเป็นอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาว [3-5] นอกจากนี้ เศษหินและกากแร่ที่เหลือจากการแยกทอง ถ้าไม่ได้จัดเก็บให้ดี เวลาฝนตก น้ำฝนก็อาจพาสารหนูไหลลงสู่แม่น้ำหรือน้ำใต้ดินได้อีก บางครั้งการทำเหมืองยังทำให้สภาพของดินและน้ำใต้ดินเปลี่ยนไป ซึ่งทำให้สารหนูที่เคยถูกเก็บไว้ในดินหลุดออกมาปนเปื้อนน้ำได้ง่ายขึ้น รวมถึงการทำลายป่าและพื้นที่ธรรมชาติรอบ ๆ เหมือง ก็อาจทำให้หน้าดินพังทลาย พาสารหนูลงสู่แหล่งน้ำได้อีกทางหนึ่ง ทั้งหมดนี้จึงทำให้การทำเหมืองทองคำกลายเป็นสาเหตุสำคัญของการปนเปื้อนสารหนูในหลายพื้นที่ทั่วโลก


“ใต้แผ่นดินทอง คือเงามืดของสารหนู: เหมืองแร่ ว้าแดง และวิกฤตแม่น้ำกก”
เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2568 สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (สคพ.1) ร่วมกับคณะทำงานระดับอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ได้ลงพื้นที่เก็บตัวอย่างน้ำจากแม่น้ำกก 3 จุดหลักที่ประชาชนใช้สอยในชีวิตประจำวัน ได้แก่ จุดแรกบริเวณบ้านแก่งตุ้ม ห่างชายแดนไทย–เมียนมาเพียง 500 เมตร จุดที่สองบริเวณสะพานบ้านท่าตอน และจุดที่สามบ้านผาใต้ ซึ่งอยู่ห่างกันต่อเนื่องราว 9–10 กิโลเมตร จุดประสงค์ของการเก็บตัวอย่างครั้งนี้เพื่อตรวจหาการปนเปื้อนของไซยาไนด์และโลหะหนัก โดยเฉพาะ “สารหนู” (Arsenic) จากความกังวลของชาวบ้านเกี่ยวกับกิจกรรมเหมืองทองคำในฝั่งเมียนมา แม้ผลการตรวจไม่พบไซยาไนด์ ซึ่งคาดว่าอาจสลายตัวเร็วเมื่อเจอแสงแดดและอากาศร้อน แต่กลับพบสารหนูในปริมาณที่เกินค่ามาตรฐานในทุกจุด โดยเฉพาะที่บ้านแก่งตุ้มตรวจพบสูงถึง 0.026 มิลลิกรัมต่อลิตร (µg/L) ซึ่งมากกว่าค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ไม่เกิน 0.01 µg/L ขณะที่จุดอื่นอย่างบ้านท่าตอนและบ้านผาใต้ก็มีค่าเกินเช่นกัน ส่งผลให้แม่น้ำกกไม่ปลอดภัยต่อการใช้น้ำเพื่ออุปโภคหรือบริโภค ทั้งนี้ยังพบว่าค่าความขุ่นและสารแขวนลอยในบริเวณบ้านแก่งตุ้มสูงผิดปกติเมื่อเทียบกับพื้นที่อื่น สะท้อนถึงความเสี่ยงเชิงสิ่งแวดล้อมที่ต้องเฝ้าระวังอย่างเร่งด่วน [6] สารหนูในน้ำดื่มเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพทั่วโลก ทำให้หลายประเทศต้องกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยในการบริโภคน้ำ โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้กำหนด ค่ามาตรฐานชั่วคราวไว้ที่ 10 µg/L [7] ซึ่งได้รับการนำไปใช้ในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา สหภาพยุโรป จีน และประเทศไทย ค่านี้สะท้อนถึงทั้งความเสี่ยงต่อสุขภาพและข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีในการกำจัดสารหนูออกจากน้ำ ในขณะเดียวกัน อินเดีย บังกลาเทศ ปากีสถาน และเนปาล ยังคงอนุญาตให้มีสารหนูในน้ำดื่มได้ถึง 50 µg/L เนื่องจากข้อจำกัดด้านทรัพยากรและการปนเปื้อนตามธรรมชาติในหลายพื้นที่ ส่วน เม็กซิโก อนุญาตไว้ที่ 25 µg/L โดยมีแผนจะปรับลดในอนาคต การบริโภคน้ำที่มีสารหนูปนเปื้อนในระยะยาวอาจก่อให้เกิดผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพ เช่น มะเร็ง โรคหัวใจ และปัญหาการพัฒนาในเด็ก

“ตะกอนพิษจากแม่อายถึงเชียงราย: ความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ใต้ผิวน้ำแม่น้ำกก”
เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2568 สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) ได้รายงานผลการตรวจสอบคุณภาพตะกอนดินในแม่น้ำกก บริเวณอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ซึ่งเก็บตัวอย่างจาก 6 จุดระหว่างวันที่ 31 มีนาคม – 1 เมษายน พบว่าทุกจุดมีปริมาณสารหนู (As) เกินค่ามาตรฐาน [8] โดยจุดที่ 1 ที่บ้านแก่งตุ๋ม พบค่าสารหนูสูงถึง 33 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม [mg/kg] ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ไม่ปลอดภัยต่อสัตว์หน้าดินและอาจสะสมในปลา ส่งผลต่อสุขภาพมนุษย์หากบริโภคปลาเป็นประจำ ส่วนอีก 5 จุดมีค่าระหว่าง 20–22 mg/kg ซึ่งเกินค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ไม่เกิน 10 mg/kg และอาจกระทบต่อสัตว์หน้าดิน ส่งผลให้ความหลากหลายของระบบนิเวศลดลง [8] นอกจากนี้ยังตรวจพบโลหะหนักอื่น ๆ เกินมาตรฐานในบางจุด เช่น นิกเกิลที่สะพานแม่ฟ้าหลวง และโครเมียมที่บริเวณสะพานแม่น้ำกกและหน้าศาลากลางจังหวัด ทั้งนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้ยืนยันว่าคุณภาพน้ำประปายังปลอดภัยต่อการอุปโภคบริโภค แต่ได้สั่งการให้ตรวจสอบสัตว์น้ำอย่างต่อเนื่องเพื่อจับตาความเสี่ยงจากการสะสมสารพิษในห่วงโซ่อาหาร และเตรียมประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดมาตรการรองรับในพื้นที่เกษตรกรรมกว่า 50,000 ไร่ที่อยู่ภายใต้ความดูแลของโครงการชลประทานและสำนักงานเกษตรจังหวัด


“น้ำไม่รู้จักพรมแดน: การจัดการปัญหาสารหนูในแม่น้ำกกด้วยกรอบความร่วมมืออาเซียน”
การประยุกต์ใช้แผนปฏิบัติการเชิงยุทธศาสตร์ของอาเซียนว่าด้วยการจัดการทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2548 [9] เพื่อแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนของสารหนูในลุ่มน้ำกกจากกิจกรรมทำเหมืองทองคำในพื้นที่ถิ่นว้าแดง สามารถเป็นแนวทางที่สำคัญในการวางระบบจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนในพื้นที่เสี่ยงภัยด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในเขตพรมแดนที่มักขาดการควบคุมที่ชัดเจนและมีข้อจำกัดในการบังคับใช้กฎหมายสิ่งแวดล้อมของประเทศต้นน้ำและปลายน้ำ แนวคิดสำคัญจากแผนอาเซียนฉบับนี้ คือการส่งเสริมการจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการ (Integrated Water Resources Management: IWRM) ซึ่งมองทรัพยากรน้ำในมิติทั้งเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม โดยเน้นการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ท้องถิ่น ชุมชน นักวิชาการ และภาคเอกชน เพื่อให้การบริหารจัดการมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และยั่งยืน ในบริบทของลุ่มน้ำกก การปนเปื้อนของสารหนูซึ่งเป็นผลจากกิจกรรมการทำเหมืองทองคำในพื้นที่ถิ่นว้าแดง จำเป็นต้องถูกจัดการด้วยกระบวนการที่ครอบคลุมทั้งด้านการตรวจวัด การวางแผน การควบคุมมลพิษ และการฟื้นฟูพื้นที่ โดยสามารถนำโครงการต่าง ๆ จากแผนยุทธศาสตร์ของอาเซียนมาประยุกต์ใช้ เช่น “โครงการจัดทำระบบจำแนกแม่น้ำ” เพื่อจัดลำดับความสำคัญของพื้นที่ลุ่มน้ำตามระดับความเสื่อมโทรม และกำหนดมาตรการควบคุมตามชั้นคุณภาพน้ำ พร้อมทั้งสามารถนำ “ระบบจัดเก็บและรายงานข้อมูลคุณภาพน้ำอาเซียน” มาช่วยในการพัฒนาเครื่องมือและฐานข้อมูลที่ครอบคลุมทั้งน้ำผิวดิน น้ำใต้ดิน และตะกอน เพื่อใช้ในการติดตามสถานการณ์สารหนูอย่างต่อเนื่อง ซึ่งควรดำเนินการควบคู่กับการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในฐานะผู้เฝ้าระวังคุณภาพน้ำผ่านโครงการวิทยาศาสตร์พลเมือง (citizen science)

นอกจากนี้ ยังสามารถอ้างอิงโครงการ “เวทีเรียนรู้การจัดการความต้องการใช้น้ำ” เพื่อสร้างความเข้าใจในหมู่เกษตรกรและชุมชนปลายน้ำเกี่ยวกับผลกระทบของการใช้น้ำในกิจกรรมเหมืองทองคำที่ต้นน้ำ รวมถึงการจัดตั้ง “คณะกรรมการลุ่มน้ำแบบมีส่วนร่วม” ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนจากชุมชนท้องถิ่น ภาครัฐ นักวิชาการ และองค์กรพัฒนาเอกชน ที่ทำหน้าที่ร่วมกันวางแผน กำกับ และติดตามการจัดการมลพิษในพื้นที่ เพื่อให้เกิดกลไกธรรมาภิบาลที่ชัดเจน นอกจากนี้ การนำแผนไปสู่การปฏิบัติจำเป็นต้องอาศัยการผลักดันจากกลไกระดับภูมิภาค เช่น กลุ่มผู้เชี่ยวชาญของอาเซียน (ASEAN Working Group on Water Resources Management: AWGWRM) ที่สามารถทำหน้าที่เป็นเวทีกลางในการเจรจาระหว่างประเทศต้นน้ำอย่างเมียนมา และประเทศปลายน้ำอย่างไทย เพื่อหาข้อตกลงในการจัดการปัญหาข้ามพรมแดนร่วมกัน ท้ายที่สุด การแก้ปัญหาการปนเปื้อนของสารหนูในลุ่มน้ำกกจากการทำเหมืองทองคำจะไม่สามารถสำเร็จได้ด้วยมาตรการใดมาตรการหนึ่ง แต่จำเป็นต้องอาศัยกรอบการจัดการที่มีโครงสร้าง มีข้อมูลรองรับ และมีความร่วมมือในทุกระดับ ซึ่งแผนปฏิบัติการเชิงยุทธศาสตร์ของอาเซียน พ.ศ. 2548 สามารถเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการสร้างแนวทางที่สมดุลระหว่างการพัฒนาและการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ เพื่อความปลอดภัยของประชาชนและความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมในภูมิภาค

เอกสารอ้างอิง
[1] Arrowsmith, W. (1969). Speech of chief seattle. Arion: A Journal of Humanities and the Classics, 8(4), 461-464.
[2] https://www.thaipbs.or.th/news/content/351096
[3] Rahman, M. A., Hasegawa, H., & Lim, R. P. (2012). Bioaccumulation, biotransformation and trophic transfer of arsenic in the aquatic food chain. Environmental research, 116, 118-135.
[4] Jia, Y., Wang, L., Li, S., Cao, J., & Yang, Z. (2018). Species-specific bioaccumulation and correlated health risk of arsenic compounds in freshwater fish from a typical mine-impacted river. Science of the Total Environment, 625, 600-607.
[5] Cheng, Z., Chen, K. C., Li, K. B., Nie, X. P., Wu, S. C., Wong, C. K. C., & Wong, M. H. (2013). Arsenic contamination in the freshwater fish ponds of Pearl River Delta: bioaccumulation and health risk assessment. Environmental Science and Pollution Research, 20, 4484-4495.
[6] https://www.thaipbs.or.th/news/content/350954
[7] Frisbie, S. H., & Mitchell, E. J. (2022). Arsenic in drinking water: An analysis of global drinking water regulations and recommendations for updates to protect public health. PLoS One, 17(4), e0263505.
[8] https://www.thaipbs.or.th/news/content/351579
[9] https://faolex.fao.org/docs/pdf/asean215807.pdf



กำลังโหลดความคิดเห็น