xs
xsm
sm
md
lg

อเมริกากำลัง “เทอิสราเอล” จริงหรือ???

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท



เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงหนีไม่พ้นต้องแวบกลับไปแถวๆ “ตะวันออกกลาง” กันอีกนั่นแหละทั่น!!! เพราะจากรายการ “ทัวร์หาตังค์” ของผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า”เที่ยวนี้ ที่ได้เดินทางไปเยือนบรรดาประเทศรวยๆ ประเทศอภิมหาเศรษฐีในย่านนี้ ไม่ว่าซาอุฯ กาตาร์ ตลอดไปจนยูเออี เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา อันได้ก่อให้เกิดบรรยากาศ เกิดการส่ง “สัญญาณ” แห่งการ “พลิกซ้าย พลิกขวา”หรือ “การเปลี่ยนแปลง”อย่างมี “นัยสำคัญ”ทีเดียว...

คือต้องเรียกว่า...งานนี้ “ทรัมป์บ้ารับเละ!!!” รับประทานอะไรต่อมิอะไรที่บรรดาประเทศรวยๆ ในตะวันออกกลางยกมาเสิร์ฟ ยกมาเรียงเอาไว้ในถาด ชนิดน่าจะอิ่ม น่าจะจุก ไปถึงคอหลอยย์ย์ย์ อาจถึงขั้นต้องรีบๆ คว้า “ยากุมารตราอ้วนพี”ไม่ก็ “ยาประดงพระสังข์ทรงช้าง”มากินแก้อิ่ม แก้จุก ไว้ก่อนล่วงหน้าเพื่อไม่ให้เกิดอาการ “กรดย้อนไหล”ขึ้นมาดื้อๆ เพราะเฉพาะแค่มหาเศรษฐีกาตาร์ประเทศเดียวก็มีสิทธิ์ท้องเฟ้อ เรอเปรี้ยว เอาง่ายๆ ไม่ว่าการตกลงที่จะซื้อเครื่องบิน Boeing” จากอเมริการวดเดียวไม่รู้กี่สิบต่อกี่สิบลำมูลค่าปาเข้าไปถึง 96,000 ล้านดอลลาร์ การประกาศว่าเตรียมจะเข้าไปลงทุนในอเมริกาในมูลค่าไม่น้อยไปกว่า243,000 ล้านดอลลาร์ แล้วยังตามด้วยการ “เสิร์ฟของหวาน”คือยังแถม “พระราชวังลอยฟ้า” (Palace in the sky) หรือเครื่องบินประจำตำแหน่งผู้นำอเมริกามูลค่าปาเข้าไปถึง 400 ล้านดอลลาร์ แบบยกให้ฟรีๆ อีกซะล่วย!!!

นี่...แค่นี้เฉพาะคนปกติธรรมดาๆ ก็น่าจะจุกเสียด แน่นท้อง พอสมควรแล้ว แต่ยังมีอภิมหาเศรษฐีซาอุฯ ที่ไม่เพียงแต่ประกาศจะเข้าไปลงทุนในอเมริกาไม่น้อยไปกว่า 600,000 ล้านดอลลาร์ ยังพร้อมจะควักเศษๆ เงินจากค่าน้ำมันจำนวน 142,000 ล้านดอลลาร์มาซื้ออาวุธอเมริกาเอาไว้ช่วยคุ้มครองฝูงอูฐของตัวเองอีกต่างหาก นั่นยังไม่รวมไปถึงประเทศคู่แฝด หรือประเทศบริวารอย่างยูเออีที่สัญญิงสัญญาจะหอบเอาเงินสดไม่ต่ำกว่า1 ล้านล้านดอลลาร์เข้าไปลงทุนในอเมริกาในอีกไม่นานนับจากนี้ ส่งผลให้อดีตนักธุรกิจผู้ชอบเรื่องเงิน-เรื่องทอง เรื่องภาษี หรือออกจะ “บ้าเรื่องเศรษฐกิจ” อย่าง “ทรัมป์บ้า”ออกอาการละล่ำละลักถึงขั้นต้องพึมๆ พัมๆ แบบลิ้นพันกันเอาเลยว่า Oh, what I do for the crown prince.” หรือแทบไม่รู้จะตอบแทนความมีน้ำจิต น้ำใจของผู้นำกลุ่มประเทศอ่าวอย่างเจ้าชาย MbS”(Mohammad bin Salman) มกุฎราชกุมารราชอาณาจักรซาอุฯ กันในแบบไหน? อย่างไร???

แต่ก็นั่นแหละ...แค่เฉพาะการถ่ายรูปการจับมือถือแขนระหว่างผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” กับอดีตผู้ก่อการร้ายที่ได้กลายมาเป็นผู้นำประเทศซีเรียในทุกวันนี้ อย่าง “นายAhmed al-Sharaa” โดยมีเจ้าชายMbS” แห่งซาอุดีอาระเบียผู้เคยให้การสนับสนุนการโค่นล้มรัฐบาล Al-Assad”แห่งซีเรียระดับถือเป็น “เสาหลัก” เอาเลยก็ว่าได้ ยืนยิ้มเผล่อยู่ตรงกลาง พร้อมข่าวคราวคำประกาศ “การยกเลิกแซงชั่นประเทศซีเรีย” ของอเมริกา ที่มีมานานนับทศวรรษๆ อันนี้...ก็น่าจะทำให้มกุฎราชกุมารแห่งซาอุฯ น่าจะทรง “ยิ้มละเมียด”ได้พอสมควรแล้ว ยิ่งเมื่อ “ทรัมป์บ้า”ตัดสินใจเลิกรบกับพวก Houthi” แห่งเยเมน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตามที หรืออาจไม่ถึงกับคิดจะบุกถล่มโรงงานนิวเคลียร์อิหร่าน หันไปใช้การเจรจาเป็นทางออกโอกาสที่บรรดากลุ่มพันธมิตรประเทศอ่าว(Gulf State) อาจต้องโดน “ลูกหลง” จากการ “แก้แค้น-เอาคืน”ไม่ว่าโดยอิหร่านหรือพวกนักรบHouthi”ก็แล้วแต่ ต่อ “คลังน้ำมัน” ของกลุ่มประเทศดังกล่าว ย่อมยิ่งเป็นไปไม่ได้ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น...

นี่...อันนี้ก็ถือว่าน่าจะทรงพระ “ยิ้มมุมปาก”ได้พอสมควรแล้ว ส่วนอเมริกาจะหันไป “แหกปาก”กู่ก้องร้องตะโกนถึงผลสำเร็จในการ Deals, Deals, Deals”ของผู้นำประเทศตัวเองอย่าง “ทรัมป์บ้า”ที่คะแนนนิยมกำลังออกอาการ “หัวตก”อย่างชนิดไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ จนอาจพลิกกลับมาคว้าชัยชนะในการ “เลือกตั้งกลางเทอม” อีกไม่นานนับจากนี้หรือไม่? ประการใด? ก็แล้วแต่จะว่ากันไป แต่ก็นั่นแหละ...ด้วยการตื่นเงิน-ตื่นทอง เห็นเงิน-เห็นทอง เป็นเรื่องสำคัญเอามากๆ ของอดีตนักธุรกิจผู้ผงาดกลับมาเป็นประธานาธิบดีอเมริกันรายนี้ ย่อมส่งผลให้ “พันธมิตร” รายสำคัญของอเมริกาในตะวันออกกลาง อย่างอิสราเอล ออกอาการ “หนาวว์ว์ว์ยะเยือก” ขึ้นมาดื้อๆ ชนิดต้องรีบๆ ออกมาเตือน ให้ช่วยๆ กันหรี่แอร์หรือให้ต้องเร่ง“ปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์” ของอิสราเอลในการกำหนดความสัมพันธ์กับประเทศอเมริกาเอาเลยถึงขั้นนั้น!!!

ใครที่อยากรับรู้รายละเอียดของลักษณะอาการดังกล่าว คงต้องขอแนะนำให้ลองไป “คลิก” อ่านข้อเขียนบทความของนักคิด-นักวิเคราะห์ที่ได้รับการยอมรับเอามากๆ จากแวดวงสังคมวิชาการอิสราเอล คือ “นายHerb Keinon”บรรณาธิการอาวุโสของหนังสือพิมพ์The Jerusalem Post” ที่ได้ออกมาเตือนใครต่อใครในประเทศตัวเองเอาไว้ดังๆ ว่า Israel is at risk of being outbid in Trump’s Middle East marketplace” หรือประมาณว่าการที่ผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” หันมาให้ความสำคัญต่อ “ผู้ประมูลสูงสุด”ในตะวันออกกลางที่ได้กลายเป็น “ตลาด”ไปแล้วนั้น ถือเป็น “ความเสี่ยง” ที่ร้ายแรงเอามากๆต่อประเทศอิสราเอลอย่างมิพึงต้องสงสัย...

นี่...จริง-ไม่จริง น่าเชื่อ-ไม่น่าเชื่อ คงต้องลองไป “ชั่งน้ำหนัก” ดูเอาเองก็แล้วกัน แต่โดยสรุปคร่าวๆ สิ่งที่นักวิเคราะห์ชาวอิสราเอลรายนี้ได้ตั้งข้อสังเกตไว้อย่างน่าคิด น่าสะกิดใจ ไม่น้อยทีเดียว ก็คือการมองว่าสัมพันธภาพระหว่างอเมริกาและอิสราเอล มันไม่น่าจะใช่แค่เรื่อง“ผลประโยชน์” ล้วนๆ แต่เพียงเท่านั้น แต่ยังมี “คุณค่า” บางอย่างที่ทำให้เกิดความร่วมมือระหว่างประเทศทั้งสอง หรือดังที่อดีตประธานาธิบดีอเมริกันแห่งพรรคเดโมแครตอย่าง “โอมาบ้า”(โอบามา) ถึงกับเคยใช้คำเรียกอิสราเอลว่า “พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์” เอาเลยถึงขั้นนั้น ส่วนถ้าจะให้คำนิยามถึงความหมายของคำว่า “คุณค่า” เอาไว้ในระดับไหน ก็คงหนีไม่พ้นต้องย้อนไปนึกถึงช่วงที่รัฐมนตรีต่างประเทศในยุคโอมาบ้า “นางHillary Clinton”ได้ออกมาส่งเสริมและสนับสนุนบรรดา “ขบวนการอาหรับ-สปริง” เพื่อหวังให้เกิด “การปฏิรูปในตะวันออกกลาง”หรือเพื่อให้เป็น “ประชาธิปไตยตามมาตรฐานตะวันตก” จนเกิดความชุลมุนวุ่นวายไปทั่วทั้งภูมิภาค ไม่ใช่แต่เฉพาะสงครามกลางเมืองในซีเรีย บรรดาประเทศที่ปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ หรือโดยอดีตหัวหน้าชนเผ่าทั้งหลาย ไม่ว่าซาอุฯ ยูเออี คูเวต โอมาน ฯลฯ
ก็แทบหายใจไม่ทั่วท้องกันไปเป็นรายๆ...

แต่ในเมื่อสิ่งที่เรียกว่า America First”ของ “ทรัมป์บ้า” ดันหนักไปทาง “ผลประโยชน์” ล้วนๆ หรือแทบไม่ได้ให้ค่า ให้ราคากับสิ่งที่เรียกว่า “คุณค่า”เดิมๆ เอาไว้เลยแม้แต่น้อย อันถือเป็นการมองบทบาท อิทธิพลของอเมริกา ผ่าน “แก้วปริซึมทางเศรษฐกิจ”เป็นหลัก อันนี้นี่แหละ...ที่ “นายHerb Keinon”ท่านมองว่า อาจก่อให้เกิด “การปะทะ”หรือ “ขัดแย้ง” กับอิสราเอลในประเด็นสำคัญๆ ไม่ว่ากรณีอิหร่าน กรณีนักรบ Houthi”แห่งเยเมน ไปจนถึงการแผ่ขยายกิ่งก้านสาขาการก่อการร้ายในซีเรีย ที่อาจเป็นผลร้ายต่ออิสราเอลในภายหลัง ฯลฯ หรือพูดง่ายๆ ว่า...โอกาสที่จะนำไปสู่การ “เทอิสราเอล” ในเรื่องสำคัญต่างๆ ย่อมมีโอกาสเป็นไปได้ยิ่งเข้าไปเท่านั้น...

ด้วยเหตุนี้นี่เอง...นักคิด-นักวิเคราะห์อิสราเอลรายนี้ จึงเห็นว่าจะไปมองอเมริกาแบบโลกสวย หรือมองแบบเดิมๆ ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว จะต้องหันมา “ปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์”ต่อพันธมิตรรายสำคัญของอิสราเอล ในยุค “ทรัมป์บ้า” ด้วยการให้น้ำหนักต่อ “การทูตที่อยู่เบื้องลึกลงไป”(behind-the-scenes diplomacy) ให้มากๆ เข้าไว้ คือไม่ใช่แค่หมกมุ่นอยู่กับ “ทำเนียบขาว” (White House) แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังต้องเพิ่มน้ำหนักไปยัง “รัฐสภา”(Capitol Hill) ไปยังกระทรวงกลาโหมอเมริกัน(Pentagon) รวมทั้งบรรดาพวกผู้นำทางศาสนา(Evangelical Leaders) ฯลฯ ทั้งหลาย อันได้แก่บรรดาพวกที่มักถูกเรียกขานกันในนาม Deep State” มาโดยตลอดนั่นเอง!!!

อันนี้นี่แหละ...ที่อาจทำให้ผู้ที่บ้าเงิน-บ้าทอง อย่าง “ทรัมป์บ้า” ต้องเกิดอาการจุกเสียด หรือ “กรดไหลย้อน”เอาง่ายๆ ด้วยเหตุเพราะใครก็ตามที่ได้เคยก่อให้เกิด “ความเสี่ยง”ต่อ Deep State” และต่ออิสราเอล ไม่ว่าจะใหญ่คับโลก คับฟ้า ขนาดไหน? ไม่ว่าจะผงาดขึ้นเป็นประธานาธิบดีอเมริกัน ณ ช่วงใด? ยุคใด? ล้วนแล้วแต่อยู่ยากอยู่ลำบาก ไปด้วยกันทั้งสิ้น ถึงขั้นต้องเด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง ไปก่อนกำหนดการ ดังเช่นประธานาธิบดี JFK”เป็นต้น ดังนั้น...ความสำเร็จของ “ทรัมป์บ้า”ในการ “ทัวร์หาตังค์” เที่ยวนี้ จะมีจุดลงเอยในแบบไหน? ประการใด? นับแต่นี้ต่อไป...คงต้องคอยจับตาอย่างมิอาจกะพริบตาได้โดยเด็ดขาด!!!


กำลังโหลดความคิดเห็น