เพื่อหลีกเลี่ยง “ความล่มสลาย” ของอเมริกา...อันเนื่องมาจาก “ความล้มเหลวทางเศรษฐกิจ” โอกาสที่ผู้นำอเมริกาอย่าง“ทรัมป์บ้า” จะหันมา “บ้าสงคราม” หรือใช้สงครามเป็นทางออก-ทางไป ดังที่รัฐบาลอเมริกันแต่ละยุค แต่ละสมัย เคยใช้หนทางดังกล่าวเป็น “ทางรอด” ของประเทศมาโดยตลอด จนถึงกับต้องกำหนดนิยาม ความหมาย ขึ้นมาโดยเฉพาะ ว่าถือเป็นกรรมวิธีแบบที่เรียกว่า “Military Keynesianism” หรือ“ลัทธิเคนเนเชียนในทางทหาร” อะไรทำนองนั้น หรือไม่? อย่างไร? นับจากนี้ต่อไป อันนี้นี่แหละ...ที่คงต้องขออนุญาตชวนกันมาทบทวน ใคร่ครวญถึงแนวโน้มความเป็นไปดังกล่าว ในช่วงปิดท้ายสัปดาห์นี้ พอให้เกิดข้อคิด สะกิดใจ เอาไว้มั่ง!!!
ยิ่งโดยเฉพาะเมื่อการตั้งงบประมาณค่าใช้จ่ายด้านการทหารของอเมริกา ในช่วงปีหน้า หรือปี ค.ศ. 2026 มันยิ่งพุ่งพรวดๆ พราดๆ จากที่เคยเพิ่มขึ้นประมาณ 5.7 เปอร์เซ็นต์ในปีค.ศ. 2024 หรือเพิ่มไปถึง 997,000 ล้านดอลลาร์ ชนิดองค์กรวิจัยด้านสันติภาพอย่าง “SIPRI” ถึงกับตกตะลึง ตาค้าง เพราะมันได้ทำให้ค่าใช้จ่ายทางทหารของโลกใบนี้ สูงสุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ แต่เมื่อถึงช่วงปีหน้า ฟ้าใหม่ ทั้งๆ ที่พยายามเกลี้ยกล่อม โน้มน้าว ใครต่อใครให้เชื่อว่าตัวเองคือ “นักสันติภาพ” ถึงกับไปวาน “AI” ให้ตกแต่งตัวเองให้กลายเป็น “โป๊ป” แบบชนิดทะลึ่งตึงตังเอามากๆ แต่นักสันติภาพตามสไตล์ “ทรัมป์บ้า” รายนี้นี่แหละ ที่ได้ตระเตรียมจัดงบประมาณค่าใช้จ่ายทางทหารให้กับอเมริกาปีหน้า สูงยิ่งไปกว่านั้นเข้าไปอีก คือเพิ่มไปถึง 1.01 ล้านล้านดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้น 13 เปอร์เซ็นต์ ของค่าใช้จ่ายเท่าที่เคยมีมา...
และโดยค่าใช้จ่ายทางทหารที่สูงล้ำนำหน้า มากเสียยิ่งงบประมาณประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาทั้งประเทศ ไม่รู้จะกี่ต่อกี่สิบปีข้างหน้า ไม่เพียงแต่จะถูกนำมาใช้ในการพัฒนาขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงระดับ “Hypersonic” ที่เรียกๆ กันว่า “PrSM” ไม่ให้น้อยหน้าไปกว่า “มหาอำนาจคู่แข่ง” อย่างจีนและรัสเซีย เอามาพัฒนาเครื่องบินโจมตีล่องหนรุ่นใหม่ล่าสุด หรือเจเนอเรชั่น 6 อย่าง “F-47” ไว้สู้กับ “J-50”ของจีน ใช้ในการปรับปรุงคลังแสงอาวุธนิวเคลียร์ให้เหนือไปกว่าบรรดา “ชาตินิวเคลียร์” ทั้งหลาย ส่วนที่ถือเป็น “หมัดเด็ด”ที่จะเอาไว้ใช้ปกป้อง คุ้มครองประเทศอเมริกา เพื่อไม่ให้ชาติใดๆ มีโอกาสใช้อาวุธเจาะทะลวงเข้ามาในดินแดนแห่งนี้ได้เลย นั่นก็คือการพัฒนาโครงการที่ถูกเรียกขานเอาไว้แบบอะร้าอร่ามเป็นอย่างยิ่ง หรือโครงการ “Golden Dome” ที่ลอกเลียนแนวคิดมาจาก “Iron Dome” ของพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์อย่างอิสราเอลนั่นเอง...
แต่ “Golden Dome” หรือ “โดมทอง” ของอเมริกานั้น...คงต้อง “บ้า” ไปกว่า “Iron Dome” หรือ “โดมเหล็ก” ของอิสราเอลที่มีขีดความสามารถเพียงแค่เอาไว้ใช้แค่ปกป้องขีปนาวุธระดับพิสัยใกล้ พิสัยกลางของบรรดาเพื่อนบ้านที่ถูกยัดเยียดให้กลายเป็น “ศัตรู” ของอิสราเอลมาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งประเทศอยู่แล้วแน่ๆ ใครที่มีโอกาสได้อ่านข้อเขียน คำอธิบายของบริษัทที่รับมอบหมายให้เป็นผู้พัฒนาโครงการดังกล่าว อย่าง “Lockheed Martin” ว่าด้วยเรื่อง “Golden Dome for America” ที่ “สมรักษ์ คำสิงห์” ไว้ในเว็บไซต์ของบริษัท ชนิด“แมงโม้” บินว่อนไปทั่วทั้งโลก คงอดไม่ได้ที่ต้องคิดเอาจริงๆนั่นแหละว่า โอกาสที่ “โดมทอง” ของอเมริกาจะกลายเป็นโล่ป้องกันขีปนาวุธที่ไม่มีชาติใด ประเทศใด สามารถเจาะทะลวงได้เลย (impenetrable shield) อาจเป็นไปได้สูงเอามากๆ...
หรืออย่างที่ศาสตราจารย์แห่งสถาบัน “The Middlebury Institute of International Studies” เช่น “นายJeffry Lewis”พยายามจุดประกายความหวังเอาไว้ถึงขั้นว่า ด้วยขีดความสามารถของระบบป้องกันชนิดนี้ทำให้ “เราจะกลายเป็นผู้ยุติการขยายตัวของกองกำลังนิวเคลียร์รัสเซียและจีน และเป็นผู้หยุดยั้งอาวุธไซไฟทุกชนิดของประเทศทั้งสองให้จงได้” เพราะด้วยความหวัง ความทะเยอทะยาน จากการระดมบรรดาผู้เชี่ยวชาญอาวุธของบริษัทผลิตอาวุธชั้นนำทั่วประเทศ มาร่วมพัฒนาโครงการดังกล่าว “Golden Dome” ของอเมริกาจึงย่อมต่างไปจาก “Iron Dome” ของอิสราเอล ตรงที่ว่า...มันไม่เพียงแค่คอยปัดป้อง สกัดกั้น บรรดาจรวดพิสัยใกล้ พิสัยกลาง ที่เคลื่อนไหวค่อนข้างช้า และพยายามเจาะทะลวงเข้ามาในดินแดนตัวเองในระยะห่างประมาณ 10 ไมล์ได้เท่านั้น แต่ต้องสามารถหยุดยั้งจรวดที่มีความเร็วสูง แถมส่ายไป-ส่ายมา อย่างบรรดา “Hypersonic” ทั้งหลาย ภายในพื้นที่ประเทศอเมริกาที่กว้างขวางกว่าอิสราเอลถึง 400 เท่า ไม่ว่าจะเป็นจรวดพิสัยไกลระดับข้ามฟ้า ข้ามทวีป หรือจรวด “ICBM” ของบรรดาชาตินิวเคลียร์ในแต่ละชาติ...
ด้วยเหตุนี้... “Golden Dome” ของอเมริกา จึงจำต้องติดตั้งขีปนาวุธสกัดกั้นเอาไว้บนอวกาศ เพื่อที่จะสามารถเล่นงานขีปนาวุธของฝ่ายตรงข้าม ขณะที่เพิ่งเริ่มปล่อยออกมาจากคลังเก็บ (silo) หรือภายในช่วงระยะเวลาแค่ประมาณ 3-5 นาที และนั่นเท่ากับว่าระบบโล่ป้องกันขีปนาวุธชนิดใหม่ของอเมริกาที่เรียกว่า “Golden Dome” ต้องติดตั้งขีปนาวุธสกัดกั้นไว้ในอวกาศไม่ต่ำกว่า 16,000 ลูกเป็นอย่างน้อย ถึงจะสามารถเล่นงานจรวดพิสัยต่างๆ ไม่ว่าความเร็วระดับไหน ไม่ว่านิวเคลียร์-ไม่นิวเคลียร์ จากบรรดามหาอำนาจคู่แข่ง หรือบรรดาชาตินิวเคลียร์แต่ละราย ได้ก่อนที่จะทะลุทะลวงเข้ามายังดินแดนของตัวเอง...
หรือพูดง่ายๆ ว่า...โครงการ “Golden Dome” ของ “ทรัมป์บ้า” ก็คือภาพสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดที่สุดแสนจะ “อันตราย”เอามากๆ ของผู้ที่คิดจะอาศัย “ศักยภาพแห่งสงคราม” เป็นตัววัด ตัดสิน เป็นเครื่องชี้ขาด แม้ว่าจะเป็น “สงครามนิวเคลียร์”เอาเลยก็ยังได้!!! เพื่อดำรงรักษาความเป็นจ้าวโลก ประมุขโลกของอเมริกา ให้สืบเนื่องต่อไปอีกตราบนานเท่านานนั่นเอง การเพิ่มค่าใช้จ่ายทางทหารขึ้นไปถึงระดับ 1.01 ล้านล้านดอลลาร์ของ “ทรัมป์บ้า” จึงถือเป็นคำตอบ คำอธิบาย ถึงแนวโน้ม“ความบ้า” ของผู้นำอเมริกันรายนี้ ว่าน่าจะเป็นไปในรูปไหน? แบบไหน?
แต่ก็นั่นแหละ...ถ้าหากใครที่มีโอกาสได้อ่านข้อเขียน บทความของผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธชาวรัสเซีย ผู้ก่อตั้งสถาบัน “The Military Russia project feature” อย่าง “นายDmitry Kornev” ว่าด้วยเรื่อง “Why America Golden Dome may be powerless against Russia’s Doomsday missile” หรือทำไมระบบป้องกันโดมทองอเมริกาอาจต้องเจ๊งเอาง่ายๆ เมื่อต้องเจอกับ “จรวดล้างโลก” ของรัสเซีย ก็อาจไม่ถึงกับ “บ้า” ไปเพราะความบ้าของผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” มากมายสักเท่าไหร่ด้วยเหตุเพราะ...ผู้เชี่ยวชาญรายนี้ท่านได้อ้างอิงถึง “อาวุธชนิดใหม่” ของรัสเซีย ที่มีชื่อว่า “9M730-Burevestnik” ที่น่าตื่นตะลึงพรึงเพริด เสียยิ่งกว่าจรวดความเร็วเหนือเสียงอย่าง “Oreshnik” ที่ได้เพิ่งเปิดตัว เปิดผ้าม่านกั้ง ในช่วง “สงครามยูเครน” ชนิดไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า...
โดยได้กล่าวถึงการพัฒนาอาวุธชนิดนี้เป็นผลสำเร็จตั้งแต่เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ระหว่างการทดสอบที่ “Novaya Zemlya” และ“Kapustin Yar Missile Complex” อันเป็นขีปนาวุธที่ถูกออกแบบให้สามารถโคจรไปได้เรื่อยๆ ไม่มีความจำกัดของพิสัยทำการ สามารถเดินทางในระยะทางตั้งแต่ 22,000 กิโลเมตรขึ้นไป โดยไม่ต้องเติมเชื้อเพลิงใดๆ ไม่ว่าจะกี่สัปดาห์ หรือกี่เดือน ลาดตระเวนไปในอาณาบริเวณที่มีความขัดแย้งสำคัญๆ ไม่ว่าในเขตอาร์กติก ไซบีเรีย หรือมหาสมุทรแปซิฟิก โดยที่ระบบเครือข่ายป้องกันอาวุธในแบบไม่อาจพบเห็นได้ง่ายๆ แต่ถ้าเมื่อไหร่ได้รับคำสั่งให้ปฏิบัติการโจมตีเป้าหมายทางดาวเทียม ก็สามารถกระทำการในทุกๆ จุด ทุกๆ พื้นที่ของโลก และทุกๆทิศทาง สามารถเปลี่ยนเป้าหมาย กำหนดเป้าหมาย โดยไม่มีระบบป้องกันภัยทางอากาศใดๆ สามารถหยุดยั้งและสกัดกั้นได้เลย จนได้ชื่อ ฉายาว่า “Doomsday Weapon”หรือ “ขีปนาวุธล้างโลก” ไปด้วยประการละฉะนี้...
คือไม่ต้องค่อยๆ กระดืบๆ ออกจากไซโล จนอาจถูกจรวดสกัดกั้นที่ติดตั้งไว้บนอวกาศของระบบ “Golden Dome” เล่นงานภายใน 3-5 นาที แต่เป็นขีปนาวุธที่สามารถโคจรไปได้เรื่อยๆ ตั้งแต่ความขัดแย้งทางยุทธศาสตร์ใดๆ ยังไม่ได้ถึงจุดแตกหัก หรือยังไม่ต้องอาศัยการวัดตัดสินด้วยกรรมวิธีทางทหารล้วนๆ อันอาจช่วยให้เกิด “สันติภาพ” ภายใต้“สมดุลทางอำนาจ” ที่ไม่ควรมีใครเป็นฝ่ายแพ้ ฝ่ายชนะ ขณะที่โลกทั้งโลกถูกล้างผลาญ ทำลายจนไม่เหลือเศษ เหลือซาก ด้วยเหตุเพราะ“ความบ้า” ของผู้ที่เชื่อว่าตัวเองสามารถเอาชนะ “สงครามนิวเคลียร์” นั่นเอง!!!
นี่...อันนี้นี่แหละ ที่ต้องถือเป็นแนวคิดที่ตั้งอยู่บน “สติ” และ“สัมปชัญญะ” แม้จะต้องเผชิญหน้ากับผู้ที่มักอาศัย “สงคราม”เป็นทางออก-ทางไป หรือ “ทางรอด” ของตัวเองมาโดยตลอดเพราะแม้แต่ผู้ที่อหังการ มมังการ อย่างประเทศอิสราเอล ที่เคยเชื่อว่า “โดมเหล็ก” หรือ “Iron Dome” ของตัวเอง สามารถปกป้อง สกัดกั้น อาวุธร้ายๆ ของเพื่อนบ้านที่ตัวเองยัดเยียดให้เป็นศัตรูได้อย่างปลอดโปร่งโล่งใจ ได้ทุกขณะ แต่เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมานี่เอง เมื่อต้องเจอกับจรวดของพวก “นักรบ Houthi” แห่งประเทศเยเมน ที่ได้ชื่อว่ายากจนที่สุดในโลก แต่ใจใหญ่-ใจถึงเอามากๆ ในการยืนหยัดต่อสู้เพื่อความยุติธรรมให้กับบรรดาชาวปาเลสไตน์ สาดเข้าใส่สนามบิน “Ben-Gorion” ชนิดควันขโมง ต้องเกิดการบาดเจ็บ ล้มตาย ของชาวอิสราเอลขึ้นมาจนได้ ไม่ต่างไปจาก “ฐานทัพเคลื่อนที่” ที่เต็มไปด้วยอาวุธร้ายๆ อย่างเรือบรรทุกเครื่องบิน “USS Truman”และ “USS Carl Vinson” แต่เมื่อดันไม่ได้ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างความถูกต้อง เป็นธรรม กลับนำมาใช้เพื่อปกป้องพวก “ฆาตกรล้างเผ่าพันธุ์” กันแทนที่ สุดท้าย..เลยมีอันต้องหนียะย่าย พ่ายจะแจ เมื่อต้องเจอกับ “สงครามที่เป็นธรรม” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้...นั่นแล...