ระหว่าง “ความบ้า” ของผู้นำชาวอเมริกันคนปัจจุบัน...กับอาการชักเข้า-ชักออก พลิกไป-พลิกมา เดี๋ยววันนี้พูดอย่าง รุ่งขึ้นพูดอีกอย่าง อันไม่น่าจะจัดอยู่ในอาการบ้าๆ บอๆ สักเท่าไหร่นัก แต่หนักไปทาง “ความกะล่อน”ซะมากกว่า เลยแทบไม่อาจชั่งน้ำหนักลงไปได้โดยเด็ดขาด ว่าเอาเข้าจริงๆ แล้ว...ควรที่จะเรียกประธานาธิบดีอเมริกันรายนี้ว่า “ทรัมป์บ้า”หรือ “ทรัมป์กะล่อน”ถึงจะเหมาะกว่า แต่ไหนๆ ก็เรียก “ทรัมป์บ้า”มาจนติดปาก จึงคงต้องขออนุญาตใช้คำเรียกเดิมๆ ตั้งแต่ครั้งเป็นประธานาธิบดีสมัยแรก จนตราบเท่าทุกวันนี้กันต่อไป...
คือตั้งแต่การคุยโม้โอ้อวด ระหว่างเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกัน ว่าจะสามารถ “ยุติสงครามยูเครน-รัสเซีย”ได้ภายใน 24 ชั่วโมง หากได้รับเลือกตั้งเป็นผู้นำอเมริกันอีกสมัย อันนี้...ต้องเรียกว่าพอๆ กับ “คุณหลานอุ๊งอิ๊งค์”นายกรัฐมนตรีไทยหรือ “คุณโทนี่” บิดาบังเกิดเกล้าของท่านนายกฯ อีกต่อหนึ่ง ที่เคย “สมรักษ์ คำสิงห์” ในเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ เรื่องแจกเงิน-แจกทอง ไปจนถึงเรื่องไม่คิดจะร่วมสังฆกรรมกับ “พวก 3 ป.” ฯลฯ อะไรทำนองนั้น หรือเผลอๆ อาจจะหนักกว่าเอาเลยก็ไม่แน่ เพราะมาถึงทุกวันนี้...ไม่รู้จะกี่ชั่วโมงหรือกี่เดือนเข้าไปแล้ว ไม่เพียงแต่ความขัดแย้งยูเครน-รัสเซีย ยังหาข้อสรุป ข้อยุติใดๆ แทบไม่ได้ แนวโน้มที่ความขัดแย้งดังกล่าวจะ “พลิก”ไปทางอื่น ชนิดที่อาจทำให้ “สงครามยูเครน-รัสเซีย”ลุกลามบานปลาย กลายเป็น “สงครามโลก”หรือ “สงครามนิวเคลียร์” อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ ก็ใช่ว่าจะไม่มีเอาเสียเลย!!!
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...ด้วยการใกล้จะบรรลุข้อตกลงการลงนามในสัญญาระหว่างรัฐบาลอเมริกันกับรัฐบาลยูเครนในเรื่องแร่ธาตุและทรัพยากรธรรมชาติ หรือที่เรียกๆ กันว่า “US-Ukraine minerals deal” อันเป็นสิ่งที่ไม่ว่าตัวประธานาธิบดีอเมริกัน รัฐมนตรีคลัง รัฐมนตรีต่างประเทศ ฯลฯ ต่างออกมาแสดงความปลาบปลื้มยินดีไปด้วยกันทั้งสิ้น เช่นเดียวกับฝ่ายยูเครน ที่ไม่ได้อิดออด ลังเล เหมือนแต่ก่อน แม้ว่าแทบไม่ต่างอะไรไปจากการขายชาติขายแผ่นดิน ให้กับอเมริกาเอาเลยก็ว่าได้ และโดยเหตุที่ทั้งสองฝ่ายต่างรู้สึก “สมประโยชน์” ซึ่งกันและกัน ก็น่าจะเป็นไปดังที่ผู้เชี่ยวชาญแห่ง “Daffodil International University”อย่าง “ศาสตราจารย์Greg Simons”ท่านได้ออกมาแปลความ ตีความ ถึงข้อตกลงเหล่านี้ ต่อสำนักข่าว “Sputnik”ของรัสเซียไว้เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมานั่นแหละ...
คือมันไม่ได้หมายถึงแค่การ “ทวงเงิน”ที่อเมริกาเคยทุ่มทุน ทุ่มเท ให้กับการสนับสนุน “ตัวตลก-ตัวแทน” อย่างยูเครนในการบั่นทอน ทำลายศักยภาพของประเทศ “มหาอำนาจคู่แข่ง” อย่างรัสเซียนับเป็นแสนๆ ล้านดอลลาร์เท่านั้น แต่มันน่าจะออกไปทางความพยายามที่จะอาศัยข้อตกลงดังกล่าว “ปกปิดเจตนาที่แท้จริง” ของอเมริกา ในการเข้าไปปกป้องสิ่งที่ถูกถือว่าเป็น “ผลประโยชน์ของอเมริกา” อันได้แก่บรรดาแร่ธาตุและทรัพยากรในพื้นที่ต่างๆ ในดินแดนประเทศยูเครนนั่นเอง!!! หรือเท่ากับสามารถเข้าไปติดอาวุธ ส่งอาวุธ เงินๆ-ทองๆ ให้กับการฝึกอบรบการสนับสนุนยุทโธปกรณ์ต่างๆ ฯลฯ ให้รัฐบาลยูเครนต่อไปได้อย่างถูกต้อง ชอบธรรม แม้ว่าจะสามารถเกลี้ยกล่อมและโน้มน้าวให้เกิด “การหยุดยิง” ระหว่างคู่ขัดแย้งสองฝ่าย ไปแล้วก็ตาม...
ด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ฝ่ายรัสเซียซึ่งเพียรพยายามหาทางบรรลุข้อตกลงความมั่นคงระดับพื้นฐาน หรือระดับรากเหง้าของ “ปัญหา” อันได้แก่การขยายอำนาจอิทธิพลของ “ตะวันตก” เข้าไปยังหน้าปากประตูบ้านของรัสเซีย แบบที่เรียกๆ กันว่า “Enlargement” อะไรทำนองนั้น จึงไม่น่าที่จะตอบสนองการแก้ปัญหาแบบ “บ้า...ก็...บ้าวะ”แถมออกไปทาง “กะล่อน”ของผู้นำอเมริกันรายนี้ได้เลย ดังนั้น...โอกาสที่จะเกิดการสิ้นสุด ยุติ ของบรรดาความขัดแย้งใน “แนวรบยุโรปตะวันออก”
จึงไม่เพียงแต่ยากที่จะเป็นไปได้ แต่ยังกลับก่อให้เกิดความสลับซับซ้อน ความยุ่งเหยิงไม่ต่างไปจากความคิดที่จะส่ง “กองกำลังสันติภาพ”เข้าไปในยูเครนของอังกฤษ-ฝรั่งเศสนั่นเอง เพียงแต่ “ทรัมป์บ้า” อาจเนียนกว่า กะล่อนกว่า บรรดาผู้นำชาติยุโรปที่ออกไปทางทั้งดื้อ ทั้งโง่ เท่านั้นเอง...
ส่วนใน “แนวรบตะวันออกกลาง” นั้น...แม้ว่าการเจรจาไม่ว่าโดยตรง-โดยอ้อม ระหว่างอเมริกา-อิหร่าน จะยืดเยื้อ
คาราคาซัง มาถึงรอบที่ 4 เข้าไปแล้ว แต่โอกาสที่จะบรรลุข้อตกลงตามความปรารถนา-ต้องการของอเมริกาและพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์อย่างอิสราเอลนั้นยังไงๆ...ก็ยากส์ส์ส์ที่จะเป็นไปได้ ไม่ว่าการยุติโครงการนิวเคลียร์ทุกอย่างไม่ว่าโดยสันติ-ไม่สันติก็ตาม ไปจนถึงการเลิกสนับสนุนบรรดาผู้ก่อการร้าย อันหมายถึงพวก “Axis of Resistant” ทั้งหลายที่เป็นแกนหลักในการต่อต้านอิสราเอลและอเมริกาในภูมิภาคตะวันออกกลาง ฯลฯ ด้วยเหตุนี้...โอกาสที่จะเกิดความสงบ เกิดสันติภาพ ในแนวรบด้านนี้ จึงแทบมองไม่เห็นเค้าลางแห่งความเป็นไปได้เอาเลยแม้แต่น้อย มีแต่จะต้องแตกหัก ต้องจุดไฟนรกสุดขอบฟ้า ขึ้นมาในช่วงไหน? และเมื่อไหร่? เท่านั้น...
ยิ่งโดยเฉพาะเมื่อความพยายามสนับสนุนอิสราเอลของคุณพ่ออเมริกาแบบสุดลิ่มทิ่มกระดาน...ชักออกอาการ “เสียสุนัข” ให้เห็นกันชัดๆ ไม่ว่าการส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดจำนวนถึง25 เปอร์เซ็นต์ เข้าไปรอเตรียมถล่มอิหร่านหรือส่ง “เรือบรรทุกเครื่องบิน” ถึง 2 ลำ 3 ลำ เข้าไปพิทักษ์ปกป้องอิสราเอลในทะเลแดง ฯลฯ แต่เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมา ข่าวคราวเรื่องเครื่องบินโจมตี “F-18” มูลค่าลำละ 67 ล้านดอลลาร์ หรือ2,250 ล้านบาทของกองทัพสหรัฐฯ ถูก “เทกระจาด”เพราะเรือบรรทุกเครื่องบิน
“USS Harry Truman”พยายามหักเลี้ยวหลบจรวดของพวก “Axis of Resistant”อย่างพวกนักรบเยเมน หรือพวก “Houthi” จนตกน้ำ ตกท่า ตกทะเลแดง ก่อให้เกิดความเสียหมาต่อกองทัพอเมริกันเป็นอย่างยิ่ง นั่นยังไม่รวมถึงเครื่องบินโดรนตรวจการณ์ อย่าง “MQ-9 Reaper”ลำละ30 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า1,000 ล้านบาท ที่ถูกพวก “Houthi”สอยแล้ว-สอยอีก ร่วงไปไม่ต่ำกว่า7 ลำ จนทำให้รัฐมนตรีกลาโหมอเมริกัน “นายPete Hegseth” ต้องออกมาขู่คำราม ต่อผู้ที่ตัวเองกำลังคิดจะเจ๊าะแจ๊ะเจรจาหาทางยุติความขัดแย้งอย่างอิหร่าน ถึงขั้นว่า... “เรารู้ว่าพวกคุณทำอะไร เราเห็นพวกคุณส่งอาวุธร้ายแรงให้พวกHouthis และเราขอเตือนคุณว่า คุณต้องจ่ายค่าตอบแทนเหล่านี้ ไม่ว่า ณ สถานที่หรือเวลาใด ที่เราจะเป็นผู้กำหนดและตัดสินใจต่อไปนับจากนี้...”นี่...แล้วมันจะไปเจรจาหาพระแสงด้ามยาวใดๆ ต่อไปทำไมมี ในเมื่อยังไงๆ ก็เลี่ยงไม่พ้นต้อง “ปะ-ฉะ-ดะ” กันในวันหนึ่ง-วันใด จนได้!!!
ส่วนใน “แนวรบทะเลจีนใต้” นั้น...คงต้องยอมรับว่า “ความบ้า”ของ “ทรัมป์บ้า”ไม่อาจทำอะไรต่อมหาอำนาจคู่แข่งอย่างคุณพี่จีนได้มากมายสักเท่าไหร่นัก เลยต้องเปลี่ยนมาเน้น “ความกะล่อน”กันแทนที่ เพราะขณะที่ตัวเองกำลังปลาบปลื้มยินดี
ที่สามารถใช้มาตรการทางภาษีบีบบังคับให้บรรดาประเทศต่างๆ กว่า70 ประเทศ รวมทั้งไทยแลนด์ แดนสยามของหมู่เฮาด้วย เข้ามา “Kiss Ass” หรือเข้ามาจูบตูดอเมริกา แต่ถ้าว่ากันตามถ้อยแถลงของกระทรวงพาณิชย์จีน เมื่อช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา(2 พ.ค.) รัฐบาลของ “ทรัมป์บ้า”กลับต้องเป็นฝ่ายขอ “จูบตูด” คุณพี่จีน หรือเป็นฝ่ายติดต่อขอเจรจาเรื่องสงครามภาษีกับมหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีนที่ “ฮึดสู้”ในแบบไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว โดยที่ฝ่ายจีนได้ตอบสนองต่อการจูบตูดในลักษณะดังกล่าวเอาไว้ว่า...“ถ้าสหรัฐฯ อยากจะเจรจา พวกเขาควรต้องแสดงออกถึงความจริงใจที่จะกระทำเช่นนั้น ต้องเตรียมแก้ไขสิ่งที่ผิดให้ถูกต้อง หรือต้องยกเลิกมาตรการขึ้นภาษีแต่ฝ่ายเดียวลงไปเสียก่อน...”นี่...ต้องเรียกว่าช่างมาดมั่น สง่างาม จนไม่พึงที่จะอึกอัก ลังเลในการหันไป “แหกทวารดม” เอาเลยแม้แต่น้อย...
เพราะคงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้เลยว่า... “แรงกดดัน”ในสังคมอเมริกัน อันเนื่องมาจาก “ความบ้า” ของ “ทรัมป์บ้า” ในตลอดช่วง “100 วันอันตราย” ที่ผ่านมา มันออกจะหนักหนา-สาหัสยิ่งเข้าไปทุกที โดยเฉพาะตัวเลขสถิติที่ปรากฏให้เห็นเป็นที่ชัดแจ้ง โดยไม่อาจอาศัย “ความกะล่อน” ใดๆ มาปกปิดเอาไว้ได้ นั่นคือตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจของอเมริกา ที่แม้ว่าไตรมาสสุดท้ายของปี ค.ศ.2024 จะโตอยู่ที่ระดับ 2.4 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ด้วยเหตุเพราะ “ความบ้า”นั่นเอง ที่ทำให้ไตรมาสแรกของปีนี้ ตัวเลขดังกล่าวหล่นวูบมาอยู่ที่ “ติดลบ 0.3 เปอร์เซ็นต์” และนั่นยังไม่ได้หมายรวมไปถึงผลสำรวจคะแนนนิยมของตัวประธานาธิบดีที่ตกต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกันไปจนการเดินขบวนต่อต้านผู้นำตัวเองของบรรดาอเมริกันชนแบบคราวแล้ว คราวเล่า อันอาจส่งผลให้การเลือกตั้งกลางเทอมที่กำลังมาถึงกลายเป็นการเพิ่มจำนวนบรรดาสมาชิกฝ่ายตรงข้ามในรัฐสภา และนำไปสู่ “การถอดถอน” ผู้นำอเมริกันรายนี้ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้!!!
ด้วย “ความบ้า” ที่บวกเข้ากับ “ความกะล่อน”เช่นนี้...มันจึงก่อให้เกิด “คำถาม”ตัวโตๆ ต่อบทบาทของประเทศมหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกาในอนาคตอันใกล้ขึ้นมาไม่ได้ว่า สุดท้ายแล้ว...มันจะเลี่ยงไม่พ้นที่ต้องอาศัย “สงคราม”เป็นทางออก-ทางไป เหมือนแต่ก่อน หรือจะต้องพร้อมยอมรับ “ความล่มสลาย” ของสังคมอเมริกันอย่างมิอาจแฉลบออกข้างใดๆ
ต่อไปได้อีก...??? ??? ???