โอกาสที่ “สงครามการค้า” ซึ่งกำลังป่วนโลกในทุกวันนี้...มันจะถูกยกระดับและพัฒนาให้กลายเป็น “สงครามเลือด”จนได้ ดังที่อดีตผู้นำแรงงานและนักสังคมนิยมอเมริกา(Eugene Victor Debs) ท่านเคยเอ่ยไว้เป็นวาทะเมื่อกว่า100 ปีที่แล้วนับวันดูมันชักจะเข้าเค้า เข้าเรื่อง เข้าราว ยิ่งเข้าไปทุกที โดยเฉพาะถ้ามองจากความเคลื่อนไหวของบรรดา “แนวรบ” ด้านต่างๆ ไม่ว่าในยุโรปตะวันออก ตะวันออกกลาง ไปจนถึงทะเลจีนใต้ที่ไม่เพียงแต่ยังไม่ลดระดับ ทุเลาเบาบางลงไปได้เลย แต่ยังกลับทวีความเร่าร้อน สลับซับซ้อนกลายเป็น “ปมปัญหา” ที่แก้ยาก แก้เย็นจนอาจเหลือแต่ต้องหันมาใช้กรรมวิธีแบบมหาราชชาวกรีก “Alexander the Great” คือต้องชักดาบออกมาผ่า “ปมกอร์เดียน”ให้รู้แล้ว รู้แรด เอาเลยทำนองนั้น...
แม้แต่ “แนวรบยุโรปตะวันออก” ที่ทำท่าว่าน่าจะสิ้นสุด ยุติ หลังจาก “ทรัมป์บ้า” ขึ้นมาเป็นผู้นำอเมริกา ถึงจะไม่จบลงภายใน 24 ชั่วโมง ดังที่ประธานาธิบดีรายนี้ได้ “สมรักษ์ คำสิงห์” เอาไว้ก่อนหน้านี้ แต่การ “บีบไข่” ผู้นำยูเครนแบบไม่คิดจะปรานี-ปราศรัยของ “ทรัมป์บ้า” น่าจะส่งผลให้ความเร่าร้อน รุนแรง ของแนวรบด้านนี้น่าจะทุเลา เบาบางลงไปได้มั่ง แต่ก็นั่นแหละ...เผอิญว่าบรรดาพวก “พรมเช็ดเท้าอเมริกา” มาโดยตลอด หรือบรรดาพวกผู้นำชาติยุโรปทั้งหลาย โดยเฉพาะประเทศ “เสาหลัก” อย่างอังกฤษ ฝรั่งเศส รวมทั้งเยอรมนี กลับหันไปห่อไข่ หุ้มไข่ให้กับยูเครนปานประดุจไข่ในหินเอาเลยถึงขั้นนั้น ไม่ว่านายกรัฐมนตรีคนใหม่ของอังกฤษ “นายKeir Starmer” ที่เพิ่งเซ็นสัญญาข้อตกลงเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์กับยูเครนเป็นระยะเวลาถึง 100 ปี อันทำให้มีโอกาสแผ่อิทธิพลเข้าไปยังบรรดาทรัพยากรสำคัญๆ ในดินแดนแห่งนี้ได้ทุกเมื่อ โดยได้ออกอาการกระเหี้ยนกระหือรือร่วมกับผู้นำฝรั่งเศสอย่างประธานาธิบดี “Emmanuel Macron”ในอันที่จะส่งกำลังทหารเข้าไปในยูเครน ในฐานะ “กองกำลังรักษาสันติภาพ”แม้อาจก่อให้เกิดบรรยากาศแห่ง “การเผชิญหน้าทางทหาร”ระหว่าง “รัสเซีย-NATO” ก็ตาม...
แถมยังมีว่าที่ผู้นำคนใหม่แห่งเยอรมนี “นายFriedrich Merz” ที่ออกมาป่าวประกาศว่าพร้อมจะส่งจรวดร้ายๆ อย่างขีปนาวุธ “Taurus” ของเยอรมนี ให้กับกองทัพยูเครนเอาไว้โจมตีลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซีย ถ้าหากประเทศที่มีขีดความสามารถในการ “นำร่อง”กำหนดพิกัดเป้าหมายของอาวุธชนิดนี้ อย่างอังกฤษให้ความร่วมมือ แม้ว่าการกระทำเช่นนี้จะเคยถูกผู้นำคนก่อนของเยอรมนีปฏิเสธเสียงแข็งมาแล้วก่อนหน้านี้ และถ้าว่ากันตาม “รายงานข่าว”ของหนังสือพิมพ์ “The Telegraph” เมื่อช่วงวันพุธที่ผ่านมา(23 เม.ย.) ดูเหมือนว่าพวกผู้ดีอังกฤษทำท่าว่าจะ “เห็นควรด้วย” ซะอีกต่างหาก ดังคำพูดที่อ้างถึง “แหล่งข่าว” ในกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษรายหนึ่ง ระบุไว้ถึงขั้นว่า “เราพร้อมร่วมทำงานอย่างต่อเนื่องกับเยอรมนี ในการส่งมอบยุทโธปกรณ์สำคัญๆ ให้กับยูเครน” หรือพร้อมจะร่วมหัว-จมท้ายร่วมนำพายุโรปทั้งยุโรปให้ฉิบหายไปพร้อมๆ กับยูเครน เอาเลยถึงขั้นนั้น!!!
อันนี้นี่แหละ...ที่ทำให้แม้ว่ากระบวนการ “เจรจาสันติภาพ”ระหว่างรัสเซีย-ยูเครน กำลังเข้าด้าย-เข้าเข็มโดยการอำนวยการของคุณพ่ออเมริกา แต่อดีตรัฐมนตรีกลาโหมที่กลายมาเป็นเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติรัสเซียทุกวันนี้อย่าง “นายSergey Shoigu”เลยอดไม่ได้ที่ต้องให้สัมภาษณ์สำนักข่าว “TASS” เมื่อช่วงวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา(24 เม.ย.) ว่าการส่งกองกำลังต่างชาติที่สวมหน้ากาก “กองกำลังรักษาสันติภาพ” เข้าไปยูเครนนั้น อาจนำไปสู่การปะทะโดยตรงระหว่าง“รัสเซีย-NATO”จนเป็นตัวลั่นไกให้เกิด “สงครามโลกครั้งที่ 3”หรือกระทั่ง “สงครามนิวเคลียร์” ขึ้นมาเมื่อไหร่ ตอนไหน ก็ย่อมได้!!! รวมทั้งใครต่อใครในรัสเซียที่แม้รู้สึกปลาบปลื้มยินดีต่อการกลับมาเป็นประธานาธิบดีของ “ทรัมป์บ้า”แต่หนีไม่พ้นต้องหันมาด่าเช็ด ด่าตะเม็ด ต่อบรรดาพวก “พรมเช็ดเท้าอเมริกา” หรือพวกผู้นำชาติยุโรปแบบเสียๆ-หายๆ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้...
ไม่ว่าโฆษกเครมลินอย่าง “นายDmitry Peskov”ที่สุดแสนจะเหลืออดจนต้องหันมา “ฟันธง” แบบเต็มผืน เต็มด้ามด้วยข้อสรุปที่ว่า “พวกอียูต้องการสงคราม...ไม่ใช่การเจรจา!!!” หรือผู้อำนวยการสโมสรนักคิด “The Valdai Club”อย่าง “นายTimofey Bordachev” ที่แสดงความทุเรศ เวทนา ต่อบรรดาพวกผู้นำยุโรปไว้ในข้อเขียน บทความเรื่อง “Russia watches Western Europe closely”ถึงขั้นว่าเป็น “คนป่วยแห่งการเมืองโลก”ที่มีลักษณะอาการออกไปทาง “No vision-No Power”และ “No Future” หรือไม่มีวิสัยทัศน์ ไม่เหลืออำนาจ และไม่มีอนาคตเอาเลยถึงขั้นนั้น!!!
ด้วยเหตุนี้...แม้ว่าการเจรจาสันติภาพระหว่างยูเครน-รัสเซีย จะคืบหน้า ก้าวหน้า ไปถึงขั้นไหนก็ตามที แต่ถ้าหากพวก “พรมเช็ดเท้าอเมริกา” ยังคิดจะแปรสภาพตัวเองให้กลายเป็น “เชือกรัดคอรัสเซีย” อีกต่อไป โอกาสที่แนวรบด้านนี้จะลดระดับความเร่าร้อน รุนแรง ลงไปได้มั่ง ก็ยากจะเป็นไปได้มีแต่กลับจะเพิ่มความซับซ้อน สับสนวุ่นวายไปอีกตราบนานเท่านาน ไม่ต่างอะไรไปจาก “แนวรบตะวันออกกลาง” ที่ไม่เพียงแต่การคิด “จุดไฟนรกสุดขอบฟ้า” ด้วยการโจมตีโครงการนิวเคลียร์อิหร่านของอิสราเอลที่พยายามจะชักจะลาก คุณพ่ออเมริกาให้เข้ามาร่วมสร้างความฉิบหายให้กับโลกทั้งโลกให้จงได้ แต่ความพยายามที่จะลดบทบาทของสองพันธมิตรทางยุทธศาสตร์อย่างจีนและรัสเซียในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะหลังจากการล่มสลายของรัฐบาล “Al-Assad” ในซีเรียก็ยังคงทำให้แนวรบด้านนี้เต็มไปด้วยความชุลมุน ชุลเก จากการช่วงชิงความได้เปรียบ-เสียเปรียบของ “ขั้วอำนาจ”ต่างๆ ที่พยายามเข้าไปมีบทบาท อิทธิพลต่อพื้นที่ที่ได้กลายเป็น “สุญญากาศทางอำนาจ” อย่างซีเรีย จนแทบคาดเดาไม่ได้ว่า...สุดท้ายจะออกมาในรูปไหน? แบบไหน?
ฐานทัพรัสเซีย2 แห่งในซีเรีย คือ “Khmeimim Air Base” และ “Tartus Naval Base” จะต้องถูกโยกย้ายไปอยู่ที่ “Misrata” และ “Al-Hums”ในประเทศลิเบียหรือไม่? ประการใด? โดยเฉพาะถ้าหากถูกก่อกวน โจมตี ด้วยฝีมือของบรรดาผู้ไม่ประสงค์จะออกนามอย่างพวก “ผู้ก่อการร้าย”ที่ทำท่าว่าน่าจะเติบโต แข็งแรง ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้อำนาจของกลุ่มก่อการร้ายในอดีต อย่างพวก “HTS”(Hayat Tahrir al-Sham) ที่ได้กลายมาเป็นรัฐบาลซีเรียอย่างเป็นทางการ โดยพร้อมที่จะเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับ “อำนาจภายนอก” ไม่ว่าจะเป็นอเมริกา อิสราเอล ตุรกี ฯลฯและอาจส่งผลให้สถานะบทบาทของสองพันธมิตรทางยุทธศาสตร์อย่างจีน-รัสเซีย ต้องถูกกดดัน ผลักไสไม่ต่างไปจากความพยายามลดบทบาท อิทธิพลของประเทศทั้งสองในแอฟริกา หรือละตินอเมริกาก็ตาม...
ส่วนใน “แนวรบทะเลจีนใต้” นั้น...แทบไม่ต้องเสียเวลาพูดถึง เพราะด้วย “สงครามการค้า”ของ “ทรัมป์บ้า” แทบจะทำให้อเมริกากับจีน เกิดการ “Decoupling” ระหว่างกันและกันไปโดยปริยาย ต้องเกิดการแยกขั้ว แยกฝ่าย หรือต้องเลือกข้าง เลือกฝ่าย จนแทบไม่เหลือ “พื้นที่เป็นกลาง” ใดๆ ต่อไปอีกแล้ว สินค้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่อเมริกาเคยสั่งเข้าจากบรรดาประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ว่าเวียดนาม กัมพูชา มาเลเซีย และไทย ที่มีบริษัทจีนอย่าง “Trina Solar”เข้ามาเป็นผู้ผลิต ถูกเรียกเก็บภาษีรวมๆ แล้วถึง3,521 เปอร์เซ็นต์เอาเลยถึงขั้นนั้น แม้ว่าผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” จะเริ่มเสียงอ่อน เสียงหวาน อยากจะหันมาเจรจาตัวเลขภาษีกับจีน แต่อย่างที่นักวิชาการแห่ง “Department of International Politic” มหาวิทยาลัยเหรินหมิน “ศาสตราจารย์Bao Jianyun” เขาได้แสดงความคิดเห็นไว้ในสื่อทางการของจีน “Global Times” เอาไว้นั่นแหละว่า... “แม้ว่าสหรัฐฯ ดูเหมือนจะอ่อนเสียงลง แต่เราก็ยังต้องระวังไว้ว่า...นี่อาจเป็นแค่การปรับเปลี่ยนทางเทคนิค ขณะที่เป้าหมายท้ายที่สุดของอเมริกาก็ยังคงเหมือนเดิม นั่นคือ...การสกัดกั้นและเล่นงานจีนโดยไม่คิดจะเปลี่ยนแปลง”
อันนี้นี่เอง...ที่อาจทำให้ความพยายามที่จะกดดันสหรัฐฯ ให้เลิก “นโยบายคลุมเครือ”(Ambiguity Policy) ต่อจีนด้วยการเพิ่มข้อเสนอ “ความเป็นจีนเดียว”หรือกรณี “ไต้หวัน”ไว้ในการเจรจาเรื่องภาษีทางการค้า จึงกลายเป็น “ข้อเสนอที่เอ็งมิอาจปฏิเสธ” เอาดื้อๆ ด้วยเหตุเพราะถ้าหากจีนไม่จำเป็นต้อง “ค้าขาย” กับอเมริกาต่อไป หรือต้อง “Decoupling” กันจริงๆ แล้ว ก็น่าจะยิ่งทำให้คุณพี่จีนไม่ต้อง “เงื้อง่าราคาแพง”ในเรื่องการรวมไต้หวันให้เป็นส่วนหนึ่ง ส่วนเดียวกับจีนอีกต่อไป หรือยิ่งเท่ากับเป็นการเร่งเร้าให้ “แนวรบทะเลจีนใต้”อาจกลายเป็น “ทะเลเลือด” ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น!!!
สรุปรวมความแล้ว...ไม่ว่าจะดูจาก “แนวรบ”ใดๆ ก็แล้วแต่ โอกาสจะเกิด “การอยู่ร่วมโดยสันติ” ระหว่าง “ขั้วอำนาจ” ต่างๆ มันออกจะลำบากยากเย็นเสียเหลือเกิน จนอาจต้องวัดตัดสินกันด้วยพลังอำนาจในขั้นตอนสุดท้าย นั่นคือ “พลังอำนาจทางทหาร” และนั่นย่อมทำให้การเริ่มต้นด้วย “สงครามการค้า”ของผู้ที่ยังคิดว่าตัวเองคือจ้าวโลก ประมุขโลก อย่างคุณพ่ออเมริกา อาจต้องจบลงด้วย “สงครามเลือด”อย่างที่ “นายEugene Victor Debs” เคยเอ่ยไว้เป็นวาทะ ไม่วันใด-วันหนึ่ง
ขึ้นมาจนได้!!!