อย่างที่ได้ “เกริ่น” เอาไว้เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมานั่นแหละว่า...ถ้าหากความพยายามที่จะทำให้ “America” กลับมา“Great Again” ของ “ทรัมป์บ้า” ไม่ว่าจะออกไปทางแปลกแหวกแนว พิสดาร วิตถาร (บ้า)กันถึงขนาดไหนก็ตาม มันดันเกิด “ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง” ขึ้นมาจริงๆ โอกาสที่สงครามการค้า-การเงิน-การเทคโนโลยี ฯลฯ หรืออะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ มันอาจถูกแปรสภาพให้กลายไปเป็น “สงครามเลือด” ดังที่อดีตผู้นำแรงงานอเมริกา “นายEugene Victor Debs” ได้เคยเอ่ยเป็นวาทะไว้เมื่อกว่า 100 ปีที่แล้ว หรือเป็นไปดังที่หมอดูเศรษฐกิจผู้ดูอนาคตล่วงหน้าได้แม่นยำราวตาเห็น อย่าง“นายGerald Celente” ได้เคยทำนายทายทักเอาไว้ตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีที่แล้ว นั่นคือย่อมทำให้ประเทศมหาอำนาจสูงสุดอย่างอเมริกา หนีไม่พ้นที่จะต้องอาศัย “สงคราม” เป็นทางออก-ทางไป อย่างที่รัฐบาลอเมริกันในแต่ละยุค-แต่ละสมัย เคยใช้มาโดยตลอด...
และอาจด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้เมื่อสองวันก่อน แม้แต่รายงานจากองค์กรประเมินความเสี่ยงในระดับโลก หรือ “The Global Risk Report 2025” ที่ถูกสรุปขึ้นมาโดยความคิด ความเห็น ของบรรดา “ผู้เชี่ยวชาญ” จำนวนกว่า 900 คนทั่วโลก เขาเลยอดไม่ได้ที่จะจัดอันดับให้ “ความเสี่ยงจากสงครามระหว่างรัฐ” เป็นปัจจัยอันดับ 1 หรือขึ้นมาแทนที่ “ความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศอันรุนแรง” ที่หล่นไปอยู่อันดับ 2 กันเห็นๆ ดังนั้น...ปิดท้ายสัปดาห์นี้ เลยคงต้องขออนุญาตลองมาชั่งน้ำหนัก วัดช่วงชก เปรียบรูปมวย ระหว่างประเทศที่ได้ชื่อว่ามีแสนยานุภาพทางทหารสูงสุดในโลกอย่างคุณพ่ออเมริกา ที่ถือเป็น “ขั้วอำนาจเก่า” ในโลกที่ได้กลายสภาพเป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กับบรรดา “ขั้วอำนาจใหม่ๆ”ไม่ว่าจะเป็นประเภทที่ถูกเรียกว่า “มหาอำนาจคู่แข่ง” ของอเมริกา หรือบรรดาประเทศที่คุณพ่ออเมริกาไม่ค่อยชอบขี้หน้าสักเท่าไหร่ อย่างที่ผู้อำนวยการด้านนโยบายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทำเนียบขาว “นายMichael Kratsios” ท่านใช้คำเรียกว่า “Sclerosis State” หรือพวก “รัฐแข็งขืน” อะไรประมาณนั้น ว่าเอาไป-เอามาแล้ว...ใครได้เปรียบ-เสียเปรียบ มากหรือน้อยไปกว่ากันหรือไม่? เพียงใด?
เพราะถึงแม้ “ทรัมป์บ้า” อาจไม่ได้ถึงกับ “บ้าสงคราม”เหมือนอย่าง “โจ ซึมเซา” มากมายสักเท่าไหร่ แต่นั่นก็คงไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ผู้นำอเมริการายนี้สามารถจำแลงแปลงกาย เป็น “นักสันติภาพ” กันง่ายๆ เนื่องจากโดยกิริยาอาการหลายต่อหลายอย่าง ยังคงสะท้อนให้เห็นถึงความกระเหี้ยนกระหือรือในทางทหารอย่างเห็นได้โดยชัดเจน ไม่ว่าการทุ่มเงินกว่า 5,000 ล้านดอลลาร์ให้บริษัท “Lockheed Martin” พัฒนาขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง “PrSM” เอาไว้สู้กับขีปนาวุธของขั้วอำนาจอื่นๆ ให้บริษัท “Boeing” พัฒนาเครื่องบินโจมตีล่องหนเจเนอเรชั่นที่ 6 หรือ “F-47” เตรียมปรับปรุงคลังแสงอาวุธนิวเคลียร์ให้ก้าวหน้า ก้าวไกล ให้เป็นผู้นำของบรรดาชาตินิวเคลียร์ทั้งหลาย ฯลฯ ดังที่เคยนำมาเล่าสู่กันฟังไปแล้ว...
แต่เมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เอง...ระหว่างการตอบคำถามกับผู้สื่อข่าวในห้องทำงานรูปไข่ ผู้นำอเมริการายนี้ยังได้ “สมรักษ์ คำสิงห์” ถึงความก้าวหน้า ก้าวไกลในเรื่องเทคโนโลยีทางทหารของอเมริกา ด้วยคำพูดเป็นนัยๆ แบบไม่ได้ลงรายละเอียดเอาไว้ชัดเจนถึงขั้นว่า... “เรามีอาวุธที่ไม่มีใครเคยนึกคิดมาก่อนว่ามันคืออะไร? และมันคืออาวุธที่มีอานุภาพสูงสุดเท่าที่โลกเคยมีมาเหนือกว่าใครๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่มันยังไม่ได้ถูกเปิดเผยออกมาเท่านั้น!!!” นี่...โม้-ไม่โม้ จริง-ไม่จริง น่าเชื่อ-ไม่น่าเชื่อคงต้องเก็บเอามาคิดไว้มั่งเหมือนกัน เพราะตัวประธานาธิบดีผู้นี้ถึงกับเชื่อว่า เหตุที่มหาอำนาจคู่แข่งอย่างคุณพี่จีนยังคงอิหลักอิเหลื่อ ไม่กล้าที่จะยกระดับสงครามการค้า หรือ “สงครามตัวเลข” ในการขึ้นภาษีสินค้าอเมริกาแบบชนิด “บ้า...ก็...บ้าวะ” ไปถึง 245 เปอร์เซ็นต์เอาเลยนั้น ส่วนหนึ่ง...อาจเพราะยังคงหวาดเกรงต่อ “อาวุธลับ” ชนิดนี้ของอเมริกานั่นเอง???
ขณะที่อีกไม่นานหลังจากนั้น...ผู้ที่ได้ชื่อว่า “ซาร์แห่งการประดิษฐ์คิดค้นของทำเนียบขาว” หรือผู้อำนวยการด้านนโยบายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของรัฐบาลชุดนี้ อย่าง“นายMichael Kratsios” ก็ได้ออกมารับลูก ด้วยการไปพ่น “แมงโม้” ไว้ที่รัฐเท็กซัส ถึงความพยายามที่จะบรรลุเป้าหมายในการเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีภายใต้ “ยุคทองของอเมริกา”ด้วยคำพูดที่ออกจะเป็น “ปริศนา” จนอาจต้องตีความ แปลความ ไปคนละทาง-สองทาง นั่นคือคำพูดที่ว่า... “เทคโนโลยีของเราขณะนี้ อนุญาตให้เราสามารถควบคุม บิดเบน หรือเปลี่ยนแปลงความเหมาะสม (manipulate) ต่อเวลาและอวกาศ สามารถทิ้งไว้ซึ่งพื้นที่แห่งการทำลายล้างในระยะยาวไกล ทำให้เกิดการเติบโตและการปรับปรุงการผลิต และสามารถเอาชนะบรรดารัฐแข็งขืน หรือ Sclerosis State อันเป็นเป้าหมายที่รัฐบาลของเราต้องการที่จะบรรลุให้จงได้!!!”
นี่...ฟังแล้ว น่าตื่นตะลึงพรึงเพริด หรือน่าจะออกไปทางขนลุก ขนพอง คงต้องว่าไปตาม “รสนิยม” ของใคร-ของมันเอาเองก็แล้วกัน แต่ที่น่าขนหัวลุก ขนคอตั้ง ยิ่งไปกว่านั้น ก็อาจจะมาจากคำพูด คำจา ของผู้ว่าการรัฐมินนิโซตา แห่งพรรคเดโมแครต “นายTim Walz” ที่เคยมีโอกาสพูดคุย แลกเปลี่ยน ความคิด-ความเห็นกับผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” มาแล้วหลายครั้ง หลายหน แล้วนำเอาสิ่งเหล่านี้มาใช้เป็น “ข้อสรุป”ถึงแนวคิดและการกระทำของประธานาธิบดีตัวเอง ด้วยคำพูดที่ว่า... “เวลาทรัมป์คิดอะไรขึ้นมา...เขาก็จะพูดออกมาดังๆ และตั้งใจที่จะทำให้มันเป็นจริง” และสิ่งที่ทำให้ “นายTim Walz”เกิดอาการขนหัวลุก ขนคอตั้ง ก็คือคำพูดที่ “ทรัมป์บ้า” ได้เอ่ยออกมาในระหว่างการสนทนาว่า... “เขาคิดว่า...เขาสามารถเอาชนะสงครามนิวเคลียร์ได้!!!”
คือถ้าหากเป็นจริงตามนั้น...ไม่ใช่แค่การใส่ไคล้ ใส่ไฟ ของนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามจากพรรคเดโมแครต อันนี้...ต้องเรียกว่า ออกจะเป็นแนวคิดที่ “อันตราย” เอามากๆ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีบทบาทมีสถานะเป็นผู้นำของบรรดา “ชาตินิวเคลียร์” ในแต่ละราย เพราะมันแทบไม่ต่างอะไรไปจากความพยายามที่จะยืนหยัดอยู่เหนือซากศพของบรรดามวลมนุษยชาติทั้งหลาย หรือการคิดจะเป็นผู้ชนะท่ามกลางความล่มสลายทางอารยธรรมของโลกทั้งโลกนั่นเอง!!!
แต่ก็นั่นแหละ...ไม่ว่า “ความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง” จากสงครามการค้าจะทำให้ “ทรัมป์บ้า” ต้องหันมา “บ้าสงคราม”หรือเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องหา “ทางออก-ทางไป” เช่นเดียวกับรัฐบาลอเมริกันในแต่ละยุค แต่ละสมัย หรือไม่? เพียงใด? ก็ตาม แต่การเอาชนะ บรรดา “ขั้วอำนาจใหม่ๆ” ที่ปรากฏตัวให้เห็นอย่างเป็นที่ประจักษ์ชัดเจน ภายใต้บรรยากาศแห่งความเป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ” ไปแล้วนั้น ก็คงไม่น่าจะถึงกับเบิร์ดๆ-สบายๆ กันสักเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะเมื่อมหาอำนาจคู่แข่งอย่างรัสเซีย ได้เผยให้เห็นถึงขีปนาวุธ “IRBM” (Intermediate-range ballistic missile) อย่าง “Oreshnik” ขีปนาวุธพิสัยกลาง (3,000-5,500 กิโลเมตร) ที่มีความเร็วเหนือเสียงระดับ Mach 10 แถมยังส่ายไป-ส่ายมาได้ด้วย และนั่นยังไม่รวมไปถึงขีปนาวุธ “ICBM” (Intercontinental Ballistic Missile) หรือขีปนาวุธข้ามทวีป ที่มีพิสัยทำการระดับไกลกว่า 5,500 กิโลเมตรขึ้นไป อย่าง“Avangard HGV” และมีความเร็วสูงถึงระดับ Mach 30 ขณะคุณพี่จีนที่เพิ่งเปิดตัวเครื่องบินโจมตีล่องหนเจเนอเรชั่น 6 อย่าง“J-50 เสิ่นหยาง” และ “J-36 เฉิงตู” ไปเมื่อเร็วๆ นี้ ก็น่าจะเก็บรวบรวมขีปนาวุธร้ายๆ เอาไว้เยอะแยะมากมาย...
ไม่ว่าขีปนาวุธ “Hypersonic” รุ่น “DF-ZF” พิสัยทำการ 3,000 กิโลเมตร หรือ “DF-17 MRBM” ความเร็วระดับ Mach 10 รวมถึงขีปนาวุธที่ประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมาเพื่อทำลาย “เรือบรรทุกเครื่องบิน” กันโดยเฉพาะจนได้ชื่อฉายาว่า “Carrier Killer” อย่าง “DF-21D” พิสัยทำการระดับ 1,800 กิโลเมตร ส่วนพี่เบิ้มแห่งตะวันออกกลางที่ถือเป็นรัฐแข็งขืนอีกรัฐหนึ่งอย่างอิหร่าน ได้ตระเตรียมขีปนาวุธ “Hypersonic” อย่าง“Fattah-2” ความเร็วระดับ Mach 15 ที่มีพิสัยทำการ 1,400 กิโลเมตร แถมสามารถเปลี่ยนวงโคจรขณะเคลื่อนที่เอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว รวมทั้งจรวด “Bavar-373” พิสัยทำการ 300 กิโลเมตร พอที่จะเอาไว้หล่นใส่หัวกบาลทหารอเมริกากว่า 5,000 นายในบรรดาฐานทัพกว่า 10 แห่งในตะวันออกกลางได้สบายๆ ยิ่งไปกว่านั้น...ยังมีขีปนาวุธ “Hwasong-19” ของเกาหลีเหนือพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ของรัสเซียและจีน อันเป็นขีปนาวุธระดับ “ICBM” พิสัยทำการยาวไกลถึง 15,000กิโลเมตรสามารถข้ามฟ้า-ข้ามอวกาศไปเยี่ยมเยียน “ทรัมป์บ้า”ถึงดินแดนอเมริกาได้ไม่ยากส์ส์ส์ ฯลฯ ฯลฯ...
อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง...ที่ทำให้ความคิดที่จะทำให้“ขั้วอำนาจเก่า” อย่างอเมริกา กลับมา “Great Again” แบบชนิดต้องเหนือกว่า ต้องก้าวล้ำนำหน้าบรรดาขั้วอำนาจต่างๆ ในทุกๆ เรื่อง ทุกๆ กรณี ไม่ว่าในทางเศรษฐกิจ การค้า การเทคโนโลยี หรือการทหาร อย่างมิอาจยินยอมให้ใครเผยอหน้าขึ้นมาเทียบเคียงตัวเองได้โดยเด็ดขาด!!! แทนที่แต่ละขั้วอำนาจจะหาช่อง หาทาง ที่จะ “อยู่ร่วมกันโดยสันติ” ให้จงได้ มันจึงเป็น“ความยิ่งใหญ่” ที่ออกจะ “อันตราย” เอามากๆ และอันนี้นี่เอง...ที่อาจทำให้การเริ่มต้นด้วย “สงครามการค้า” ในแต่ละครั้ง หรือทุกๆ ครั้ง หนีไม่พ้นต้องจบลงด้วย “สงครามเลือด” จนได้!!!