xs
xsm
sm
md
lg

เมื่อนักสันติภาพแบบ “ทรัมป์บ้า” อาจเลี่ยงไม่พ้น “สงคราม”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท



แม้จะเป็นข่าวที่ไม่ถึงกับสลักสำคัญอะไรมาก...แต่ต้องถือเป็นการ “ส่งสัญญาณ” ที่น่าสนใจมิใช่น้อย นั่นคือรายงานข่าวจากสำนักข่าว AP”และThe New York Times” เมื่อช่วงวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา(17เม.ย.) ว่าด้วยกรณีทหารอเมริกันกำลังจะปิดฐานทัพ 3 ใน8 แห่งที่แอบซุกเอาไว้ในประเทศซีเรีย อันจะทำให้กำลังทหารจากที่เคยมีอยู่ประมาณ 2,000 นาย ลดลงเหลือ1,400 นาย และจะลดให้เหลือแค่ประมาณ500 นายในท้ายที่สุด เพื่อเอาไว้ช่วยดูแลพวกชาวเคิร์ด หรือ SDF”(Syria Democratic Forces) ที่เคยแลกเลือด-แลกเนื้อเพื่อประเทศอเมริกามาโดยตลอด...

คือเป็นอะไรที่ออกจะสอดคล้องกับข้อเขียนบทความชิ้นล่าสุด(Can Trump reshape the Middle East?) ของประธานศูนย์ศึกษาด้านตะวันออกกลางอย่าง “นายMurad Sadygzade” ที่ตั้งข้อสังเกตไว้น่าคิด น่าสะกิดใจพอสมควรทีเดียว โดยเฉพาะสำหรับการเดินทางไปเยือนตะวันออกกลางหลังจากรับตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีอเมริกาสมัยที่ 2 ของ “ทรัมป์บ้า” ในช่วงเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้ โดยไล่เรียงไปตั้งแต่ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ และประเทศยูเออี ซึ่งออกไปทางรวยเช็ด รวยตะเม็ด ไปด้วยกันทั้งนั้น อันทำให้นักคิด นักวิชาการผู้นี้เขามองว่าผู้นำอเมริกาที่เป็นอดีตนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายนี้น่าจะเน้นความสำคัญต่อเรื่องเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ตลอดไปจนเรื่องพลังงานอย่างเป็นพิเศษ...

และถ้าหากเป็นอย่างที่ “นายMurad”ได้ตั้งข้อสังเกตเอาไว้จริงๆ นั่นน่าจะพอแปลความตีความ ได้ว่า...การคิดที่จะ “เปิดประตูนรก” หรือคิดจะเปิดฉากโจมตีโครงการนิวเคลียร์อิหร่านของอเมริกาน่าจะไม่ได้ถูกบรรจุเอาไว้ในพจนานุกรมของ “ทรัมป์บ้า”กันสักเท่าไหร่นัก เพราะไม่ว่าจะได้แรงยุ แรงเชียร์จากพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์อย่างอิสราเอลมาก-น้อยขนาดไหน แต่การคิดจะเล่นงานประเทศที่มีความได้เปรียบทางยุทธศาสตร์ด้วยการควบคุมเส้นทางลำเลียงน้ำมันสายสำคัญของโลก
อย่างช่องแคบ Hormuz”เอาไว้อย่างเหนียวแน่น แถมยังขู่เอาไว้ล่วงหน้าว่าถ้าหากประเทศใดที่คิดร่วมมือกับสหรัฐฯ และอิสราเอลในการถล่มอิหร่าน อาจต้องเจอ “ลูกหลง” ในระดับเละเป็นขี้เละเป็นโจ๊ก ไปทั่วทั้งภูมิภาคตะวันออกกลาง เอาเลยก็ไม่แน่!!!

ด้วยเหตุนี้...ข่าวคราวเรื่องการ “แตะเบรก” ไม่เห็นด้วยกับการสนับสนุนให้อิสราเอลเล่นงานโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน ตามรายงานข่าวของ The New York Times”เมื่อช่วงวันพุธที่แล้ว (16 เม.ย.) ก็ออกจะมี “น้ำหนัก”รองรับอยู่ไม่น้อย คือหันไปใช้วิธีเจรจา ไม่ว่าจะเรียกว่า “โดยตรง” ตามแบบฉบับอเมริกา หรือ “โดยอ้อม” ตามแบบฉบับอิหร่านก็ตามที ณ เมืองมัสกัต ประเทศโอมาน เมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ก่อนจะไปเจรจาอีกรอบที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี ในวันเสาร์ที่19 เม.ย.ต่อไป ส่วนจะบรรลุข้อตกลงในรายละเอียดในการลดการเสริมสมรรถนะยูเรเนียมไปถึงขั้นไหนต่อขั้นไหน หรือเหลือสักกี่เปอร์เซ็นต์ อันนั้น...คงต้องคอยจับตาและใคร่ครวญพิจารณาไปตามสภาพ...

แต่จะอย่างไรก็ตาม...สำหรับ “บ่างช่างยุ” อย่างประเทศอิสราเอล ที่พยายามยุ พยายามเชียร์ให้คุณพ่ออเมริกาเล่นงานศัตรูคู่กัด-คู่อาฆาตอย่างอิหร่านมาโดยตลอด คงต้องยอมรับว่าออกจะกระเหี้ยนกระหือรือเอามากๆ ในการคิดจะฉวยจังหวะ “นาทีทอง” ในการถล่มอิหร่านให้รู้แล้ว รู้แรดกันไปข้าง หรือจังหวะที่บรรดา “ตัวแทน” ของประเทศอิหร่านทั้งหลาย ไม่ว่าพวก Hamas” ในเขตฉนวนกาซาที่ถูกเข่นถูกฆ่า จนแทบไม่เหลือเศษ เหลือซาก พวก Hezbollah” ในเลบานอนที่นอกจากบรรดาผู้นำจะถูกเด็ดหัวกันไปเป็นรายๆ การส่งกำลังบำรุงโดยเส้นทางจากซีเรียยังถูกตัดขาดอีกต่างหากหลังการล่มสลายของรัฐบาล Al-Assad” รวมทั้งเศรษฐกิจอิหร่านเองก็ยังไม่ถึงกับมีเสถียรภาพแน่นหนาพอที่จะรับมือกับฉากสถานการณ์สงครามครั้งใหญ่ได้อย่างเต็มสูบเต็มกำลัง ยังต้องระมัดระวังต่อ “การลุกฮือ” ภายในประเทศ ที่เคยถูกปลุก ถูกปั่น หวังจะก่อให้เกิดการปฏิวัติสี หรือการล่มระบอบปกครองอิสลาม ครั้งแล้วครั้งเล่า...

ถ้าว่ากันตามรายงานข่าวของ Yonah Jeremy Bob” ใน Jerusalem Post” เมื่อวันที่17 เม.ย.ที่ผ่านมา ว่ากันว่าความเพียรพยายามที่จะถล่มโครงการนิวเคลียร์อิหร่านของอิสราเอลนั้น มีมาโดยตลอดตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้วไม่รู้จะกี่ครั้ง กี่หน
และล่าสุด...ถ้าว่ากันตามรายงานข่าวของ The New York Times” เมื่อวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา(17 เม.ย.) ก็ได้กำหนดช่วงเวลาเอาไว้ชัดเจนว่าจะถล่มกันในเดือนพฤษภาคมที่กำลังจะมาถึงนั่นแล โดยหวังเอาไว้ว่าพันธมิตรรายสำคัญอย่างคุณพ่ออเมริกายุค “ทรัมป์บ้า” น่าจะร่วมด้วย-ช่วยกันแบบเต็มมือเต็มตีน...

แต่ก็นั่นแหล่ะ...อาจต้องถือเป็น “โชคดี”หรือ “โชคช่วย”ที่ “ทรัมป์บ้า”ดันหันไป “บ้า”อย่างอื่น ไม่ถึงกับ “บ้าสงคราม” แบบผู้นำคนก่อน อย่าง “โจ ซึมเซา”หรือหันไปบ้าเรื่อง “สงครามภาษี” กับคุณพี่จีน จนกลายเป็น “สงครามตัวเลข” ว่าใครจะบ้าในการเพิ่มตัวเลขอัตราภาษีต่อฝ่ายตรงข้ามให้มากไปกว่ากันและกันจนปาเข้าไปไม่รู้กี่ร้อยต่อกี่ร้อยเปอร์เซ็นต์ไปแล้วในช่วงนี้ การใช้จังหวะ “นาทีทอง” ในการโจมตีอิหร่านจึงก่อให้เกิดข้อถกเถียงในหมู่ชาวอิสราเอลแบบชนิดอุตลุด ชุลมุนวุ่นวายมิใช่น้อย โดยเฉพาะบรรดา “นักการเมืองคู่แข่ง”ของ “นายBenjamin Netanyahu” ผู้นำอิสราเอล ไม่ว่าจะเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี Yair Lapid” หรือ “นายNaftali Bennett” รวมทั้งอดีตรัฐมนตรีกลาโหม หัวหน้าพรรคฟ้า-ขาว อย่าง “นายBenny Gantz” ก็เอากะเค้าด้วย...

และเท่าที่แต่ละรายออกมา “ทวีต” ออกมาแสดงความคิดเห็นไว้ในสื่อออนไลน์ ก็ออกจะกระเหี้ยนกระหือรือไปด้วยกันทั้งสิ้น เช่น “นายYair Lapid” ที่สรุปไว้ว่า... “การทำลายอุตสาหกรรมน้ำมันของอิหร่านจะทำให้เศรษฐกิจของอิหร่านล่มสลาย
ระบอบปกครองพังพินาศ...แต่ความกลัวของ
Netanyahu ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างหยุดชะงัก” หรือ “นายBenny Gantz” ที่ระบุว่า... “อิสราเอล-ต้อง...และสามารถที่จะหยุดยั้งขีดความสามารถด้านนิวเคลียร์อิหร่าน และนี่คือช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างในตะวันออกกลาง” ขณะที่ “นายNeftali Bennett” ถึงกับลงรายละเอียดไว้เป็นข้อๆ เลยว่า... “ข้อตกลงอันเดียวที่ควรทำกับอิหร่าน คือ 1. ต้องรื้อทิ้งโครงการนิวเคลียร์ทุกอย่างแบบถาวร หรือ Full Dismantlement” แบบเดียวกับ “นายMike Waltz” ที่ปรึกษาทำเนียบขาวเอาเลยถึงขั้นนั้น 2. ต้องยุติการส่งออกก่อการร้ายของอิหร่านโดยสิ้นเชิง และ3. ต้องยุติการพัฒนาขีปนาวุธพิสัยไกลทั้งมวล”นี่เรียกว่า...อะไรจะห้าวจะกร้าว เท่านี้ย่อมไม่มีอีกแล้ว...

แต่ก็นั่นแหละ...โดยกิริยาท่าทีของผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ระหว่างนี้ ก็น่าจะยังบ้าอยู่กับการขึ้นภาษีประเทศต่างๆ นั่นแหละเป็นหลักยังไม่น่าจะถึงขั้นปล่อยเชือก-ปล่อยมือให้พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์อย่างอิสราเอลไล่ฟัด-ไล่งับใครต่อใครได้โดยเสรี โดยเฉพาะถ้า “เศรษฐกิจอเมริกา” ยังไม่เห็นช่อง เห็นทาง ที่จะกลับมา Great Again”แต่อาจต้องDead Again” เอาง่ายๆ อันเนื่องมาจาก “มหาอำนาจคู่แข่ง” อย่างคุณพี่จีนนั้น ท่านไม่ได้ออกอาการ “หงอ” ให้เห็นเอาเลยแม้แต่น้อย มีแต่ “บังแล้วโต้” จนอัตราภาษีของแต่ละฝ่ายแทบจะกลายเป็นการ Decoupling” หรือการแยกขาดระหว่างกันและกันไปแล้วก็ว่าได้...

และก็อย่างที่เคยว่าเอาไว้หลายครั้งหลายหน มาแล้วนั่นแหละว่า...เอาเข้าจริงๆ แล้วบรรดา “แนวรบ” ต่างๆ ไม่ว่ายุโรปตะวันออก-ตะวันออกกลาง-และทะเลจีนใต้มันต่างมีความเกี่ยวโยง เกี่ยวพัน ชนิดมิอาจแยกขาด ตัดขาด ออกจากกันได้เลย การที่คุณพี่จีนท่านพร้อมจะออกอาวุธโต้คุณพ่ออเมริกาแบบ “ดอก-ต่อ-ดอก”จึงอาจกลายเป็นตัวลดแรงกดดันให้กับอิหร่านช่วงนี้ไปโดยปริยาย หรือทำให้ “ทรัมป์บ้า” ยังคงต้อง “เงื้อง่าราคาแพง” ในการเล่นงานอิหร่าน ตราบใดที่ตัวเองยังแทบไม่รู้หมู่-รู้จ่าว่าเศรษฐกิจอเมริกาจะขึ้นสวรรค์หรือลงนรกกันไปถึงขั้นไหน? ยิ่งไปกว่านั้น รัสเซียที่เพิ่งลงนามในข้อตกลงทางยุทธศาสตร์กับอิหร่านเมื่อไม่นานมานี้ ยังได้โดดเข้ามาเป็น “ตัวกลาง” ในการลดอุณหภูมิความร้อนแรงระหว่างอเมริกา-อิหร่านอย่างเอาการ-เอางาน ดังนั้น...ถ้า“ทรัมป์บ้า” ยังไม่ถึงกับ “บ้าสงคราม” ยังอยากจะเห็นเม็ดเงินลงทุนหวนกลับมาสู่อเมริกาอยากจะเห็นพื้นที่ดินแดนฉนวนกาซากลายเป็น “ริเวียราแห่งตะวันออกกลาง”ฯลฯ โอกาสที่จะเกิดการ “จุดไฟนรกสุดขอบฟ้า”ขึ้นมาใน “แนวรบตะวันออกกลาง” จึงน่าจะเพลาๆ ลงไปได้มั่ง...

หรือด้วยเหตุเพราะโลกใบนี้...มันไม่ใช่ “โลกขั้วเดียว” โลกที่มีอเมริกาเป็นประมุขสูงสุดอีกต่อไปแล้ว แต่ได้กลายเป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ”ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ความเพียรพยายามที่จะทำให้ America Great Again”อีกครั้ง มันจึงอาจกลายเป็น “ความล้มเหลว”ไปทั่วทั้งกระบวนการเอาเลยก็เป็นได้ แม้แต่การคิดยุติสงครามยูเครน-รัสเซียใน “แนวรบยุโรปตะวันออก” ที่ยังมิอาจจบได้ภายในเวลา 24 ชั่วโมง ตามที่ตัวเองเคย “สมรักษ์ คำสิงห์”ไว้ก่อนหน้านี้ แถมยังอาจยืดเยื้อไปอีกไม่รู้จะกี่ปีต่อกี่ปี ถ้าหากบรรดาพวก “พรมเช็ดเท้า”ของอเมริกาอย่างอียู-อีย้วย ดันไม่คิดจะเอาด้วยกับอเมริกาซะอย่าง...

ไม่ต่างไปจาก “แนวรบในทะเลจีนใต้”...ความคิดที่จะทำให้มหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีนต้องหันมา Kiss-Ass”หันมาจูบตูดตัวเอง เหมือนอย่างบรรดาประเทศ “หญ้าแพรก” ทั้งหลาย ไปๆ-มาๆ อาจทำให้บรรดาอเมริกันชนในแต่ละรายมีอันต้อง Pains” ต้องเจ็บปวดรวดร้าวไปอีกนานเท่าไหร่ก็ยังมิอาจคำนวณได้ มันถึงจะ Gains”ถึงจะบรรลุเป้าหมายที่ตัวเองต้องการ ดังนั้น...ภายใต้ “แรงกดดัน” อันมากมายมหาศาลที่อาจนำมาซึ่ง “ความล้มเหลว” แบบโดยสิ้นเชิง มันจึงทำให้สิ่งที่นักวิเคราะห์เศรษฐกิจที่เคยทำนายทายทัก อะไรต่อมิอะไรแบบแม่นราวตาเห็นมาโดยตลอด อย่าง “นายGerald Celente”เจ้าของนิตยสารTrends Journal” ได้เคยพยากรณ์เอาไว้ตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีที่แล้วประมาณว่า...“ความล้มเหลวทางเศรษฐกิจจะทำให้รัฐบาลอเมริกันเกิดความหุนหันพลันแล่นมากขึ้นๆ ไปตามลำดับ และเมื่อภาวะฟองสบู่ทั้งหลายแตกออกมาอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ก็จะยิ่งทำให้การบริหารจัดการของรัฐบาลเป็นไปในลักษณะของความพยายามที่จะแก้ไขความผิดพลาดล้มเหลวอย่างมหันต์ด้วยความผิดพลาดล้มเหลวอย่างอภิมหามหันต์จนเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเข้าสู่ภาวะความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง รัฐบาลก็เลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องนำพาชาติทั้งชาติเข้าสู่ภาวะ...สงคราม..ในท้ายที่สุด” นี่...จริง-ไม่จริง น่าเชื่อ-ไม่น่าเชื่อ คงต้องลองเก็บไปคิด ไปจินตนาการกันเอาเอง....


กำลังโหลดความคิดเห็น