xs
xsm
sm
md
lg

ระเบียบโลกใหม่หลังการเปลี่ยนแปลงแบบ“พลิกฟ้า-คว่ำดิน”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


สี จิ้นผิง
ปิดท้ายสัปดาห์นี้...แทนที่จะไปเสียเวลาลุ้นว่าใครแพ้-ใครชนะระหว่างคุณพ่ออเมริกาภายใต้การนำของ “ทรัมป์บ้า” กับคุณพี่จีนภายใต้การนำของ “สี ทนได้” (สี จิ้นผิง) เพราะแม้แต่ฝ่ายจีนเองนั่นแหละเขาเคยย้ำนัก ย้ำหนา ย้ำแล้ว ย้ำเล่า ว่าขึ้นชื่อว่า “สงครามการค้า” แล้ว ย่อมไม่มีผู้ชนะ มีแต่ “แพ้-กับ-แพ้” ขึ้นอยู่กับจะแพ้มาก-แพ้น้อย เหมือนอย่างชัยชนะของอดีตแชมป์มวยเฮฟวี่เวท “อีแวนเดอร์ โฮลีฟิลด์” ที่หยิบมาเป็นตัวอย่างเมื่อช่วงเปิดฉากสัปดาห์ที่ผ่านมา คือถึงจะชนะไปตามกฎ-กติกา แต่ต้องแลกกับการ “หูแหว่ง” เพราะแรงงับของ “ไอ้มฤตยูดำ-ไมค์ ไทสัน” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้เลย...
 
ด้วยเหตุนี้...สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าใครแพ้-ใครชนะ ก็น่าจะเป็นเรื่องของโลกทั้งโลกนั่นแหละ ว่าเมื่อต้องเจอกับฉากเหตุการณ์เช่นนี้ สุดท้ายแล้ว...จะมีอันต้อง “ฉิบหาย-วายวอด”กันไปถึงขั้นไหน??? ระบบ-ระเบียบ-กฎ-กติกาเท่าที่เคยมีอยู่จะถึงกาลพังพินาศลงไปในลักษณะเช่นใด??? รวมทั้งสิ่งที่ใหม่ๆ ที่จะเข้ามาแทนที่มันจะมีรูปร่าง หน้าตา ออกมาในแนวไหน? รูปไหน??? นี่...อันนี้นี่แหละที่น่าจะลองมาสำรวจ ตรวจสอบกันเอาไว้ซะแต่เนิ่นๆ เพราะเท่าที่ฟังๆ บรรดาพวก “กูรู-กูรู้” ทั้งหลาย ดูๆ แล้ว...มันน่าจะหนักหนา-สาหัสระดับรากแตก-รากแตน รากเขียว-รากเหลือง เอาเลยถึงขั้นนั้น!!!
 
อย่างเมื่อช่วงวันอาทิตย์ที่ผ่านมานี่เอง (13 เม.ย.) ระดับผู้ก่อตั้งกองทุนการเงินที่ใหญ่สุดๆ อย่าง “Bridgewater Associate” “นายRay Dalio” ท่านได้เปิดใจไว้กับรายการ“NBC’s Meet the Press” แบบชนิดฟังแล้วขนหัวลุก ขนคอตั้ง เอาง่ายๆ คือถึงขั้นที่ผลพวงแห่ง “สงครามการค้า” ของ “ทรัมป์บ้า” คราวนี้ ไม่ใช่แค่ทำให้เศรษฐกิจอเมริกาเท่านั้น ที่อาจต้องเจอ “ภาวะถดถอย” แต่อาจส่งผลให้“เศรษฐกิจโลก” ทั่วทั้งโลกนั่นแหละ มีแนวโน้มที่จะแหลกลาญ ยับเยิน ไม่น้อยไปกว่ายุค“อภิมหาวิกฤตเศรษฐกิจ” ช่วงปี ค.ศ. 1930 เอาเลยก็ว่าได้ และไม่ใช่แค่ “นายRay Dalio” รายเดียวเท่านั้น ที่ออกมาแสดงความหวาดหวั่นขวัญสยอง ในลักษณะทำนองนี้ อย่างที่เคยว่าเอาไว้แล้วว่า นักเศรษฐศาสตร์อิสระ อย่าง “นายAlasdair Macleod” ที่สำนักข่าว “Sputnik” ของรัสเซียเขาลองไปสอบถามความเห็น ก็มองเห็นไปในแนวเดียวกัน คือมองว่าฉากสถานการณ์ของโลกช่วงนี้ มีความคล้ายคลึงกับช่วงยุค “The Great Depression” เอามากๆ หรือนักวิเคราะห์เศรษฐกิจที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับถูกรับเชิญไปเป็นวิทยากรของโทรทัศน์ “CNN”, “CNBC”, “NPR” ฯลฯ มาโดยตลอด ยิ่งกว่า“อาจารย์ธนพร”ผู้เชี่ยวชาญการเมืองบ้านเราไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่าคือ “ศาสตราจารย์Jeremy Siegel” แห่ง “Wharton School”มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ท่านก็สรุปไปในแนวที่ไม่ได้ผิดแผกแตกต่างไปจากกันสักเท่าไหร่ หรือสรุปว่านโยบายภาษีศุลกากรของ “ทรัมป์บ้า” คราวนี้ คือนโยบายที่... “ผิดพลาดอย่างมหันต์” ของอเมริกาในรอบ 95 ปี หรือในรอบนับตั้งแต่ปี ค.ศ.1930 อันเป็นช่วงระยะเวลาแห่งการอุบัติขึ้นมาของ “อภิมหาวิกฤตเศรษฐกิจโลก” หรือ “The Great Depression” นั่นแล...
 
นี่...อันนี้นี่แหละ ที่มันน่าคิด น่าสะกิดใจ ยิ่งกว่าเรื่องใครแพ้-ใครชนะระหว่าง “ทรัมป์บ้า” กับ “สี ทนได้” เพราะแม้แต่ประเทศไทยแลนด์ แดนสยามของหมู่เฮาทั้งหลาย เมื่อต้องเจอกับผลพวงของ “อภิมหาวิกฤตเศรษฐกิจ” ครั้งอดีต หรือแค่ประมาณ 2 ปีหลังจากปี ค.ศ. 1930 ประเทศไทยทั้งประเทศ ถึงกับต้องเกิดรายการการเปลี่ยนแปลงระดับ“พลิกฟ้า-คว่ำดิน”เอาเลยถึงขั้นนั้น ต้องเจอกับฉากเหตุการณ์ “การเปลี่ยนแปลงการปกครองปีพุทธศักราช 2475” หรือจาก “ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์” มาเป็น “ระบอบประชาธิปไตย” ตามแบบฉบับ “Reciprocity” หรือแบบ “มึงมั่ง-กูมั่ง” จนตราบเท่าทุกวันนี้...
 
ดังนั้น...ถ้าหากทุกสิ่งทุกอย่างมันไปไกล ไปกันในระดับไปไม่กลับ-หลังไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี อย่างเช่นช่วง “The Great Depression” ขึ้นมาจริงๆ แล้ว แม้แต่ประเทศหญ้าแพรกที่ได้ชื่อว่าสุดแสนจะลื่นไหล “รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี” มาโดยตลอด อย่างไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา ก็ใช่ว่าจะรอดปากเหยี่ยว-ปากกาเอาง่ายๆ และ“สิ่งบอกเหตุ”ที่ทำให้แนวโน้มความเป็นไปในลักษณะเช่นนี้ นับวันจะยิ่ง “ชัดเจน” ยิ่งเข้าไปทุกที ก็มีอยู่หลายสิ่ง หลายอย่าง หลายประการด้วยกัน ไม่ว่าเรื่อง “สงครามการเงิน” ที่กำลังตามมาติดๆ หลังจาก “สงครามการค้า” อันอาจส่งผลให้เกิดสภาพแบบที่หัวหน้าฝ่ายวิจัยด้านการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศธนาคาร “Deutsche Bank” อย่าง “นายGeorge Saravelos” ถึงกับต้องใช้คำว่าจะเป็น “ดินแดนแห่งการไร้กฎ-ไร้กติกา” (unchartered territory)เอาเลยถึงขั้นนั้น!!!
 
เช่นเดียวกับผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจชาวสวิส “นายCladio Grass” และนักวิเคราะห์การเงินที่มีชื่อเสียงโด่งดังอย่าง “นายTom Luongo” ที่ได้ออกมาแสดงความคิด ความเห็น ต่อสำนักข่าว “Sputnik” เมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา ว่าโลกทั้งโลกกำลังหนีไม่พ้นต้องเผชิญกับ “การจัดระเบียบครั้งใหญ่” (The Great Reset) โดยเฉพาะในเรื่องการเงิน-การทอง อันเนื่องมาจาก “สงครามภาษี” ของ “ทรัมป์บ้า” เขานั่นแหละ ที่เป็นตัวก่อกวนหรือเป็นตัว “เร่งปฏิกิริยา” ให้บรรดากฎระเบียบทั้งหลายเท่าที่เคยมีอยู่ต้องเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าการที่ต้องหาทางปรับเปลี่ยนสมมติฐานให้ผิดแผกแตกต่างไปจากเดิม ตลอดไปจนบรรดาวงจรของสินทรัพย์ต่างๆ ที่จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป อันเนื่องมาจากโลกที่เคยพึ่งพิง “เงินสกุลดอลลาร์” มาโดยตลอด แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ไม่ได้มีอะไรรองรับ ไม่ได้มีอะไรค้ำประกันเอาไว้เลย อันเป็นสิ่งที่ “ผิดธรรมชาติ” มาตั้งแต่แรก รวมทั้งบรรดา “ระบบ” ต่างๆ ที่ถูกสร้างเอาไว้รายรอบสกุลเงินตราชนิดนี้ มันกำลังเข้าสู่ “ฉากสุดท้าย” อย่างเห็นได้ชัดเจนโดยมิพึงต้องสงสัยอีกต่อไป...
 
โดยสิ่งที่เป็นเครื่องพิสูจน์ ยืนยัน ถึงภาวะเช่นนี้อย่างไม่ต้องเสียเวลาคิดมาก หรือคิดเล็ก-คิดน้อยอีกต่อไป...นั่นก็คือ“ราคาทองคำ” นั่นเอง!!! ที่กำลังพุ่งทะลุเพดาน ทะลุหลังคา และทำท่าว่าใกล้จะทะลุไปถึงอวกาศ อีกไม่นาน-ไม่ช้านับจากนี้ เพราะล่าสุด...เห็นว่าใกล้จะพุ่งไปถึงระดับ  3,500-3,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ไปแล้วถึงขั้นนั้น ด้วยเหตุเพราะ “ความไม่แน่นอนอย่างลึกซึ้ง” (Deep Uncertainty) ที่อุบัติขึ้นมาให้เห็นต่อระบบเศรษฐกิจทั้งหลาย ไม่ว่าการปรากฏตัวของภาวะเงินเฟ้อ การสูญเสียแหล่งลงทุนที่มั่นคง ตลอดจนการเติบโตของความไร้เสถียรภาพฯลฯ ที่กำลังสร้างฉากสถานการณ์ในแบบที่ถูกเรียกว่า “ความโกลาหลในขั้นตอนแห่งการเปลี่ยนผ่าน” หรือแบบที่“นายTom Luongo” พยายามอธิบายไว้ด้วยภาษาง่ายๆ นั่นแหละว่า “มันคล้ายๆ กับปฏิกิริยาทางเคมีนั่นเอง ที่มันจะต้องเกิดสภาพแห่งความสับสนวุ่นวาย ก่อนที่โครงสร้างใหม่ๆ จะก่อรูป ก่อร่าง และเรากำลังอยู่ช่วงระยะนั้นพอดิบพอดี...”
 
ภายใต้ช่วงระยะแห่งความสับสนอลหม่าน ช่วงแห่งความไร้เสถียรภาพ และภาวะที่มิอาจคาดเดาได้ ที่กำลังไหลบ่าเข้ามาเป็นระลอกๆ มันจึงทำให้สินทรัพย์ที่แทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงในด้านมูลค่าและไม่ได้ขึ้นอยู่กับกาลเวลามาโดยตลอด 5,000 ปี อย่าง “ทองคำ” มันเลยเป็นอะไรที่ “โด่ไม่รู้ล้ม” อยู่จนตราบเท่าทุกวันนี้ ชนิดที่ไม่ใช่แค่บรรดา “ปัจเจกชน” เท่านั้น ที่หันไปซื้อทองเท่าหนวดกุ้งเพื่อให้พอรู้สึกสะดุ้งจนเรือนไหว แต่บรรดา“ธนาคารกลาง” ของแต่ละประเทศนั่นแหละ ที่ต่างหันมาซื้อทอง สะสมทอง จนไม่ต่างอะไรไปจาก “เงินสำรองสกุลใหม่ของโลก”แทนที่เงินดอลลาร์ไปแล้วแทบจะทั่วทั้งโลก...
 
อันนี้นี่แหละ...ที่อาจถือเป็น “สัญญาณบอกเหตุ” ว่าการเปลี่ยนแปลงในระดับ “Great Reset” กำลังจะอุบัติขึ้นมาในอีกไม่ใกล้-ไม่ไกล ส่วนอะไรที่จะเป็นรูปร่าง หน้าตา เป็นโฉมหน้าของระบบ-ระเบียบแบบใหม่ ที่จะเข้ามาแทนที่ในอีกไม่นาน-ไม่ช้า อันนี้...คงต้องขออนุญาตไปนำเอาคำพูด คำจา ของท่านผู้นำจีน ประธานาธิบดี “สี ทนได้” ที่ได้เคย “พยากรณ์” ถึง “ความเปลี่ยนแปลง” ระดับ “พลิกฟ้า-คว่ำดิน” ไว้เมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว หรือเมื่อช่วงวันครบรอบ 95 ปีแห่งการก่อตั้ง “พรรคคอมมิวนิสต์จีน” (1 กรกฎาคม ค.ศ. 2016) ถึงการล้มละลายของประเทศ EU และการล่มสลายของเศรษฐกิจอเมริกา ด้วยการวาดภาพจินตนาการไว้คร่าวๆ ถึง “ระเบียบโลกใหม่” ที่จะอุบัติขึ้นมาแทนที่แบบเดิมๆ ไว้ดังนี้...
 
“ระเบียบโลก...ไม่ควรต้องถูกตัดสิน วินิจฉัย โดยประเทศหนึ่ง-ประเทศใด หรือแค่กลุ่มประเทศแค่ไม่กี่ราย แต่ควรมีที่มาจากรูปคณะกรรมการซึ่งเกิดขึ้นบนข้อตกลงนานาชาติ ประชาชนของทุกประเทศควรมีส่วนร่วมในการตัดสินใจว่าระเบียบระหว่างประเทศและการบริหารจัดการโลก ควรจะยังประโยชน์ให้กับโลกและประชาชนในทุกประเทศได้อย่างไร? แน่ล่ะว่า...จีนมีความกระตือรือร้นอย่างแรงกล้า ที่จะร่วมมือกับประชาชนในประเทศต่างๆ เพื่อสร้างระเบียบโลกขึ้นมาใหม่ โดยนำภูมิปัญญาของจีนเข้าไปช่วยปรับปรุงแต่ละสิ่งแต่ละอย่างให้ดีขึ้น จีนพร้อมจะร่วมทำงานกับประชาชนในทุกประเทศ เพื่อผลักดันระเบียบโลกและระบบบริหารจัดการโลกให้เป็นไปในทางที่เป็นธรรมยิ่งขึ้น มีเหตุผลยิ่งขึ้น พร้อมที่จะสนับสนุนประชาชนทุกประเทศ ให้ร่วมกันแปรเปลี่ยนแรงกดดันจากการถูกกระทำให้กลายเป็นพลังอำนาจ แปรเปลี่ยนความเสี่ยงให้กลายเป็นโอกาส แทนที่การเผชิญหน้ากันและกันด้วยความร่วมมือ และขจัดลบล้างการผูกขาดด้วยข้อตกลงที่จะนำมาซึ่งผลประโยชน์แบบ Win-Win Deal จีนจะก้าวไปบนหนทางแห่งการพัฒนาโดยสันติเสมอๆ และจะเปิดกว้างต่อสิ่งใดก็ตามที่จะนำมาซึ่งความเท่าเทียมกันและการตกลงแบบชนะด้วยกันทั้งสองฝ่าย...” นี่...ฟังได้-ฟังไม่ได้ น่าเชื่อ-ไม่น่าเชื่อ เป็นไปได้-เป็นไปไม่ได้ ก็คงต้องลองไปเอาตีนก่ายหน้าผาก ลองเก็บไปคิดเอาเองก็แล้วกัน...


กำลังโหลดความคิดเห็น