น่าจะคิดถูกแล้ว!!!...ต่อความมุ่งมั่นและแน่วแน่ในการเรียกขานผู้นำอเมริการายนี้ว่า “ทรัมป์บ้า” มาโดยตลอด เพราะโดยลักษณะอาการของคนปกติธรรมดาแล้ว ไม่น่าจะหัวร้อน ทั้งห้าว ทั้งกร่าง ระดับที่ประธานาธิบดีรายนี้ได้แสดงออกตลอดช่วงสอง-สามสัปดาห์ที่ผ่านมา...
คือทั้งที่โลกได้กลายเป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ได้เป็นโลกแบบ “กูคือประมุขโลก” แต่เพียงผู้เดียว แต่การออกมาข่ม ออกมาขู่ ออกมาคุกคามของ “ทรัมป์บ้า” ต่อขั้วอำนาจต่างๆ ไม่ต่ำกว่า 2 ขั้วอำนาจด้วยกัน ไม่ว่ามหาอำนาจคู่แข่งหรือ “มหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลก”ที่กำลังจะแซงหน้าอเมริกาแถวๆ โค้งวัดเบญฯ อีกไม่ใกล้-ไม่ไกลนับจากนี้ อย่างคุณพี่จีน เป็นต้น ไปจนมหาอำนาจแห่งตะวันออกกลาง อย่างอิหร่าน อย่างชนิดตรงไป-ตรงมา ออกจะเป็นเรื่องที่ “คนปกติ-ธรรมดา” ย่อมมิอาจที่จะเปล่งพลังแห่งความ “บ้า...ก็...บ้าวะ” ไปได้ถึงขั้นนั้น...
สำหรับรายแรก...อย่างคุณพี่จีนนั้น ก็ด้วยเหตุเพราะการขึ้นภาษีศุลกากรแบบที่เรียกๆ กันว่า “Reciprocal Tariffs” ของอเมริกาต่อจีนเขาก่อนไปถึงเกือบ 40 เปอร์เซ็นต์ การที่จีนเขาจะตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าอเมริกา 34 เปอร์เซ็นต์ ก็ต้องถือเป็นการกระทำแบบชนิด “มึงมั่ง-กูมั่ง” ตรงตามนิยามความหมายของคำว่า “Reciprocal” หรือ “Reciprocity” เองนั่นแหละ ไม่ได้มีอะไรที่จะต้องหัวร้อน ต้องออกมาขู่คำรามถึงขั้นต้องทวีตดังๆ เอาไว้ว่า ถ้าหากจีนไม่เลิกขึ้นภาษีอเมริกา 34 เปอร์เซ็นต์ภายในวันที่ 9 เมษายนนี้ ประธานาธิบดีอเมริกาก็จะประเคนหมัด-เท้า-เข่า-ศอก ตามด้วยการยกตีนลูบหน้าคุณพี่จีน ด้วยอัตราภาษีที่เพิ่มขึ้นไปอีก 50 เปอร์เซ็นต์ หรือรวมๆ แล้วราวๆ 104 เปอร์เซ็นต์ เอาเลยถึงขั้นนั้น!!!
นี่...อันนี้ “บ้า-ไม่บ้า” ก็ลองคิดๆ เอาเองก็แล้วกัน แต่ในฐานะมหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับ 2 แถมใกล้ๆ จะแซงหน้าคุณพ่ออเมริกาด้วยซ้ำ มีหรือ? ที่คุณพี่จีนเขาจะยอม!!! ใครที่มีโอกาสได้ไปอ่านข้อเขียน บทความ บทบรรณาธิการของสื่อทางการจีนอย่าง “Global Times” เมื่อช่วงวันอังคารที่ผ่านมา (8 เม.ย.) ว่าด้วยเรื่อง “Tariff blackmail cannot intimidate China” หรือการคิดจะแบล็กเมล์ด้วยภาษีย่อมมิอาจข่มขู่จีนได้เลย รับรองว่า...คงอดมิได้ที่จะต้องซู๊ดๆ ซ๊าดๆ ซี๊ดๆ ซ๊าดๆ เพราะโดยถ้อยคำและสำนวนแต่ละวรรคแต่ละประโยค ต้องเรียกว่า...แสบไปถึงรูดาก รูทวาร เอาเลยก็ว่าได้ หรือถ้าสรุปแบบสั้นๆ ง่ายๆ ก็คงพอๆ กับ “วรรคทอง” ของอดีตนายกฯบ้านเรา “ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช” หลังจากที่ถูกพวกทหารบุกถล่มบ้านซอยสวนพลูนั่นแหละ คือ... “กู-ไม่กลัวมึง!!!” อะไรทำนองนั้น...
ส่วนอิหร่านนั้น...หลังจากที่เคยขู่ว่าถ้าหากไม่มาเจรจาโดยตรงกับสหรัฐฯ ก็จะโดน “บอมม์ม์ม์” แม้การเจรจาระหว่างตัวแทนระดับสูงของอเมริกา-อิหร่าน ที่ประเทศโอมานกำลังมีขึ้นในวันเสาร์ที่ 12 เม.ย.นี้ โดยรัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน “นายAbbas Araqchi” ท่านถือว่าไม่ได้เป็นการ “เจรจาโดยตรง” แต่เป็น “Indirect high-level talk” ก็ตามที แต่ก็นั่นแหละ...ถ้าหากการเจรจาครั้งนี้ “ไม่ประสบความสำเร็จ” ตามที่อเมริกาปรารถนาและต้องการ ผู้นำอย่าง “ทรัมป์บ้า” ก็ยังมิวายออกมาสร้างความขนหัวลุก ขนคอตั้ง หลังได้พบปะกับผู้นำอิสราเอลว่า... “ผมแน่ใจว่าถ้าการเจรจาไม่ประสบผลสำเร็จ อิหร่านต้องเจอกับวันที่เลวร้ายสุดๆ ต้องตกอยู่ในอันตรายที่ยิ่งใหญ่เอามากๆ”...
ส่วนสิ่งที่อเมริกาปรารถนาและต้องการ...จะเป็นไปดังที่ที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาว “นายMike Waltz” ได้ระบุไว้ก่อนหน้านั้นว่าหมายถึง “การรื้อทิ้ง” โครงการนิวเคลียร์ทั้งสิ้น-ทั้งปวง ไม่ว่าโดยสันติ-ไม่สันติก็ตาม หรือไม่? ประการใด? คงต้องคอยจับตาดูกันต่อไปว่าพี่เบิ้มแห่งตะวันออกกลางที่เก็บจรวดร้ายๆ เอาไว้ใน “เมืองจรวด” ไม่รู้กี่ร้อยกี่พันด้าม จะยอมให้จรวดในแต่ละแท่ง แต่ละด้ามกลายเป็นเพียงแค่ “สากกะเบือ” เมื่อต้องเจอกับคำขู่ของ “ทรัมป์บ้า” กันเลยหรือเปล่า หรือพร้อมที่จะสาด “สากกะเบือบิน” ไปยังทวยทหารอเมริกันกว่า 50,000 นายที่นั่งๆ นอนๆ อยู่ฐานทัพอเมริกันกว่า 10 แห่งในตะวันออกกลาง...
แต่เอาเป็นว่า...ด้วยความ “บ้า...ก็...บ้าวะ” ของ “ทรัมป์บ้า” ในลักษณะเช่นนี้นี่เอง ที่ทำให้โลกทั้งโลกออกอาการปั่นป่วนกันไปเป็นแถบๆ ไม่ว่าในทางเศรษฐกิจ-การเมือง-การทหารแม้แต่ในอเมริกาเอง...เมื่อช่วงวันเสาร์ที่แล้ว (5 เม.ย.) การแห่ออกมาลงถนน ประท้วงผู้นำของตัวเองในแต่ละพื้นที่ แต่ละเมืองมากถึง 1,400 แห่ง ต้องเรียกว่าออกจะ “เอาเรื่อง” ไม่น้อยทีเดียว คือแค่แห่งละ 100 คน 1,000 คน รวมๆ แล้วก็ปาเข้าไปเป็นล้านๆ สะท้อนให้เห็นถึงอาการ “เหลืออด-เหลือทน” อย่างค่อนข้างชัดเจน ไม่ต่างไปจากบ้านเรานั่นแหละ ที่บรรดาชาวพุทธ-ชาวคริสต์-ชาวอิสลาม อดีต สว. แพทย์ นักวิชาการ องค์กรนักศึกษา-ประชาชน ฯลฯ ต้องแห่ออกมาคัดค้าน “กาสิโน-คอมเพล็กซ์” กันไปเป็นแผงๆ...
แต่ก็อย่างว่า...ไม่ว่า “ทรัมป์บ้า” ของอเมริกา หรือท่านนายกฯ คุณหลาน “อุ๊งอิ๊งค์” และบิดาบังเกิดเกล้าของบ้านเราอาจยังคงเชื่อมั่นอยู่กับ“ทฤษฎีวิวัฒนาการ” ของชาร์ลส์ ดาร์วิน อันว่าด้วยสิ่งที่มีชีวิตรอดคือผู้ที่สามารถวิวัฒนาการให้สอดคล้องเหมาะสมกับกระบวนการคัดสรรทางธรรมชาติ การเพิ่มความแข็งแกร่ง ทนทาน ให้กับผิวหนัง ผิวหน้าจนหนาพอๆกับหนังแรด หนังช้าง เลยทำให้บรรดา “นักการเมือง” ในระบอบประชาธิปไตยเหล่านี้ มักไม่ได้ให้ความสนใจต่อความปรารถนาและต้องการของปวงชน หรือมวลชนมากมายสักเท่าไหร่...
อย่างไรก็ตาม...ก็ใช่ว่าความห้าว ความกร่าง หรือ “ความบ้า” ของ “ทรัมป์บ้า” จะสามารถดำเนินไปได้โดยปราศจากแรงเสียดสี เสียดทานใดๆ ก็หาไม่ เพราะหลังจาก “ทรัมป์บ้า” ได้ประกาศมาตรการภาษีอันสุดแสนหฤโหด ไม่เว้นแม้แต่ประเทศที่สหประชาชาติจัดอยู่ในประเภท“ประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุดในโลก” ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียอันเป็นรัฐที่ตั้งของโรงงานอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา อย่าง “นายGavin Newsom” แห่งพรรคเดโมแครต ก็ได้ออกมา “สวนควันปืน”แบบทันที-ทันใด ด้วยการประกาศว่า “California is not Washington” หรือไม่คิดจะเดินหน้าตามแนวนโยบาย มาตรการของประธานาธิบดีอเมริกัน แต่จะหันมาค้าขายกับประเทศต่างๆ ตามแนวคิดและนโยบายของตัวเอง...
หรือแม้แต่หอการค้าอเมริกา (The US Chamber of Commerce) ถ้าว่ากันตามรายงานข่าวของ “Fortune Magazine”ก็กำลังหาลู่ หาทาง ที่จะทำให้มาตรการภาษีหฤโหดที่ว่า กลายเป็นสิ่งผิดกฎหมายไม่ว่าทางหนึ่ง-ทางใด นับจากนี้ รวมทั้งภายในคณะรัฐบาลของ “ทรัมป์บ้า” เอง ความพยายามอาศัย “สติ-สัมปชัญญะ” มาช่วยผ่อนหนัก-ผ่อนเบา ให้กับบรรดาประเทศที่เคยเป็นพันธมิตรเคียงบ่า-เคียงไหล่กับอเมริกามาโดยตลอด อย่างบรรดาชาติยุโรป เป็นต้น ด้วยการเสนอให้สร้างเขตเศรษฐกิจเสรีระหว่างสหรัฐฯ และยุโรป (Free-Trade zone between Europe and North America) เพื่อให้อัตราภาษีระหว่างสองฝ่ายเหลือเท่ากับ “ศูนย์” (Zero-Tariff situation) ของผู้ใกล้ชิดประธานาธิบดีอย่าง “นายElon Musk”จะช่วยให้ “ทรัมป์บ้า” หายบ้าลงไปได้มั่ง หรือไม่? อย่างไร? ก็คงต้องคอยติดตามกันต่อ...
แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...ด้วยความ “บ้า..ก็...บ้าวะ” ในลักษณะเช่นนี้ ย่อมทำให้โลกทั้งโลกปั่นป่วน ชุลมุนวุ่นวาย ชนิดใกล้ถึงขั้น “ฉิบหาย” ยิ่งเข้าไปทุกที อย่างที่สำนักข่าว “Sputnik” เขาได้สอบถามความคิดเห็นของนักเศรษฐศาสตร์อิสระอย่าง“นายAlasdair Macleod” ที่สรุปเอาไว้ถึงขั้นว่า สถานการณ์เศรษฐกิจของโลกทั้งโลกชักจะเริ่มคล้ายๆ กับฉากสถานการณ์ช่วงปี ค.ศ. 1920 หรือช่วงที่โลกทั้งโลกเกิดภาวะ “ถดถอยครั้งใหญ่” (New Great Depression) เต็มที ไม่ต่างไปจากนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังชาวอเมริกัน อย่าง “นายJeremy Siegel” แห่ง “Wharton School” มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ที่เคยเป็นวิทยากรให้กับโทรทัศน์ “CNN”, “CNBC” หรือ“NPR” ฯลฯ มาโดยตลอด ก็ออกจะมีความเห็นคล้ายๆ กัน คือเห็นว่านโยบายภาษีของ “ทรัมป์บ้า” ถือเป็นนโยบายผิดพลาดที่สุดของรัฐบาลอเมริกันในรอบ 95 ปี หรือเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะ “The Great Depression” กันไปทั่วทั้งโลกมาแล้วนั่นแหละนั่นยังไม่รวมไปถึงความคิด ความเห็น ของวาณิชธนกิจระดับโลกอย่าง “JP Morgan” ที่ออกมา “ฟันธง” ไว้แบบเต็มผืน เต็มด้าม ว่าโอกาสที่เศรษฐกิจโลกทั้งโลกจะเข้าสู่“ภาวะถดถอย” เพิ่มขึ้นไปแล้วถึง 60 เปอร์เซ็นต์...
ด้วยเหตุนี้...การหาทางหยุดยั้ง “ความบ้า” เหล่านี้ให้ลดน้อยถอยลง ไม่ว่ามากหรือน้อยก็ตามที จึงขึ้นอยู่กับบรรดาชาวโลกรวมทั้งชาวอเมริกันทั้งหลาย ว่าจะกำหนดบทบาทและท่าทีของตัวเองให้เป็นไปในแนวไหน??? จะตื่นตระหนก ตื่นตูมต้องวิ่งแจ้นไปขอเจ๊าะแจ๊ะเจรจากับ “ทรัมป์บ้า” ระดับ 50-60 ประเทศ ยอมลดภาษีการค้าให้สินค้าอเมริกันเหลือแค่ 0 เปอร์เซ็นต์ ยอมซื้อสินค้าอเมริกาเพิ่มขึ้นแบบเวียดนาม และอาจถึงขั้นต้องยอมหันไป “ปิดล้อมจีน” ตามความต้องการของผู้นำรายนี้ที่แสดงให้เห็นเอาไว้แล้วตั้งแต่แรกเอาเลยก็ไม่แน่ หรือจะหันมาสร้างทางออก-ทางเลือก ด้วยการอาศัย “สติ” และ “สัมปชัญญะ” ตามแบบฉบับคนปกติธรรมดาโดยทั่วไป ที่เห็นว่าโลกใบนี้...ใช่ว่าจะมีแต่ประเทศอเมริกาประเทศเดียวซะเมื่อไหร่ แต่ยังประกอบไปด้วยชาติต่างๆ ที่ต่างก็มี “อธิปไตย” เป็นของตัวเอง และสามารถสร้างความร่วมมือ-ร่วมใจ ภายใต้ความเท่าเทียมทางผลประโยชน์ ถ้าหากต่างฝ่ายต่างให้ความ “เคารพ”ซึ่งกันและกัน...