xs
xsm
sm
md
lg

กาสิโนอย่าท้าทายพลังประชาชน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ



การอ้างว่าเลื่อน พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจรหรือพ.ร.บ.กาสิโนออกไปของแพทองธาร ชินวัตร ไม่ใช่เพราะจัดลำดับความสำคัญเรื่องอื่นก่อนอย่างที่กล่าวอ้างหรอก แต่เพราะไม่อาจต้านทานกระแสสังคมไทย

คนที่สนใจปัญหาบ้านเมืองย่อมจับสถานการณ์ได้ว่ากระแสต่อต้านกาสิโนนั้นแรงมาก อาจแรงมากกว่าตอนที่มวลมหาประชาชนออกมาต่อต้านพ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอยสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ด้วยซ้ำ ดังนั้นถ้าขืนดันทุรังจะเดินหน้าให้ได้แพทองธารก็อาจจะมีชะตากรรมเดียวกับอาและที่ทักษิณเคยโดน

ถ้ามั่นใจว่ายังเดินหน้าแบบที่แพทองธารบอกว่าเลื่อนเพื่อขอเวลาสื่อสารและทำความเข้าใจกับประชาชนให้ชัดเจน ก็ลองไปสื่อสารแล้วเดินหน้าดูว่าจะมีม็อบออกมาเต็มถนนไหม

ตอนนี้หลายองค์กรออกมาเคลื่อนไหวอย่างไม่เคยมีมาก่อน เช่น ราชบัณฑิต องค์กรด้านศาสนาทั้งพุทธ คริสต์ อิสลาม และทุกองคาพยพของสังคม ทุกกลุ่มสาขาอาชีพ ทุกจังหวัด ถ้ารัฐบาลมั่นใจว่ามีคนหนุนมากกว่าคนต้านมีประโยชน์มากกว่าโทษก็ลองอธิบายกับสังคมและทำประชามติดูว่าผลจะออกมาอย่างไร

แต่ถ้าเปิดสมัยประชุมหน้าดันกฎหมายกาสิโนกลับมาอีกรับรองว่า รัฐบาลแพทองธารจะอยู่ไม่ได้อย่างแน่นอน

ทักษิณน่าจะมีบทเรียนแล้วว่าการฝืนกระแสสังคมนั้นจะมีจุดจบอย่างไร แม้มีข่าวทักษิณออกมาขู่พรรคร่วมรัฐบาลว่าถ้าไม่เห็นด้วยก็จะขับออกจากพรรค แล้วต่อมาคนของพรรคเพื่อไทยจะออกมาบอกว่าทักษิณไม่ได้พูด แต่ข่าวนี้ออกจากค่ายมติชนทางเว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจเป็นที่แรก ก็ไม่เห็นคนนำเสนอข่าวจะออกมาปฏิเสธอะไร ที่สำคัญค่ายมติชนนั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีกับทักษิณ ข่าวด้านบวกของแพทองธารจะได้พาดหัวตัวไม้ของมติชนเกือบทุกวัน และมีอีเวนต์ที่ได้งบจากรัฐบาลมาโดยตลอด

ที่ผ่านมา รัฐบาลอ้างเสมอว่า กาสิโนเป็นเพียง 10% ของเอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ก็คงจะจริงแหละ แต่ถามว่ารายได้ส่วนใหญ่ของเอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์มาจากไหน ถ้าไม่มีกาสิโนอยู่ด้วย รัฐบาลก็ไม่ต้องออกกฎหมายใหม่ เพราะสิ่งที่อ้างอีก 90% ของเอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์นั้นสามารถสร้างได้เลยไม่ได้มีกฎหมายอะไรห้ามไว้ยกเว้น10% ที่ว่าคือกาสิโน ดังนั้นกฎหมายที่จะเข้าสภาฯ จึงน่าจะเรียกว่าพ.ร.บ.กาสิโนมากกว่า

แม้จะบอกว่ากาสิโนมีเพียง 10% ของพื้นที่ แต่ไปดูในต่างประเทศว่ารายได้หลักมาจากไหน

จากตัวอย่างรีสอร์ตครบวงจรในต่างประเทศรายได้หลักมักแบ่งออกเป็นสองส่วนใหญ่ๆ คือรายได้จากกาสิโน (Gaming Revenue) และรายได้นอกกาสิโน (Non-Gaming Revenue) สัดส่วนจะแตกต่างกันไปตามโมเดลและกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย

ในมาเก๊ารายได้จากกาสิโนคิดเป็น 80-90% ของรายได้รวมทั้งหมดของรีสอร์ตเพราะเน้นนักพนันจากจีนแผ่นดินใหญ่เป็นหลัก ส่วนสิงคโปร์ที่Marina Bay Sands รายได้จากกาสิโนเคยสูงถึง 70-80% ในช่วงแรก (ปี 2010-2015) แต่ปัจจุบันลดลงเหลือประมาณ 60% เนื่องจากรายได้นอกกาสิโนเติบโตขึ้น

ดังนั้นสิ่งที่คนลงทุนต้องการก็คือ รายได้จากการพนันหรือกาสิโนนั่นเอง จะเห็นตัวอย่างจากมาเก๊าและสิงคโปร์ว่ารายได้จากส่วนอื่นนั้นมีสัดส่วนที่น้อยกว่ากาสิโน

ดังนั้น ความจริงที่อยู่เบื้องหลังคำกล่าว “กาสิโน 10%” ในความหมายเชิงพื้นที่นั้นจึงเป็นคำลวงเพื่อให้ตายใจและลดทอนภาพลักษณ์ของการพนันว่า รัฐบาลไม่ได้มุ่งหารายได้จากกาสิโน แต่จริงๆแล้วผลลัพธ์ตรงกันข้าม เช่น Marina Bay Sands มีพื้นที่กาสิโนเพียง 15,000 ตารางเมตรจากทั้งหมด 120,000 ตารางเมตรแต่รายได้ที่เกิดจากส่วนนี้กลับสูงกว่าสัดส่วนพื้นที่มาก

สิ่งจะดึงดูดนักลงทุนมาลงทุนเช่นกลุ่ม Las Vegas Sands, Genting Group หรือ MGM Resorts มักมองกาสิโนเป็นจุดเริ่มต้นและตัวสร้างรายได้หลักเพราะกาสิโนมีอัตรากำไรสูงและสามารถดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว

ตัวอย่างจากสิงคโปร์ Marina Bay Sands ลงทุน 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยกาสิโนเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้โครงการคุ้มทุนภายในไม่กี่ปีแม้ว่าจะมีองค์ประกอบอื่นเช่น SkyPark และศูนย์การประชุมเหตุผลเพราะกาสิโนมี “House Edge” (ความได้เปรียบของเจ้ามือ) ที่รับประกันรายได้คงที่จากนักพนัน โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีกำลังซื้อสูงเช่นจากจีนหรือตะวันออกกลาง

เมื่อความจริงของกาสิโนคือ ความได้เปรียบของเจ้ามือ ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลคาดหวังก็คือ ความเสียเปรียบของลูกค้าและรัฐบาลก็จะได้ประโยชน์จากส่วนนั้นเช่นนั้นหรือแล้วผมเชื่อว่าในชั้นกรรมาธิการจะต้องแก้กติกาที่ว่าคนไทยต้องมีเงินฝาก 50 ล้านอย่างน้อย 6 เดือนจึงจะเข้าไปเล่นได้ แต่จะแก้เหลือเพียงจากค่าเข้าเพียง 5,000 บาทเท่านั้นเองรอดูก็แล้วกัน

ที่ตลกมากคือมีข่าวในเว็บไซต์ของข่าวสดเครือมติชนว่า เพื่อไทยยกบทวิเคราะห์ไทยจ่อขึ้นนำสิงคโปร์ ญี่ปุ่น หากมีเอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ คือบอกว่า ไทยจะเป็นเมืองการพนันอันดับ 3 เป็นรองแค่มาเก๊า และลาสเวกัส แต่ถามว่า รายได้ส่วนใหญ่ไปไหนก็ไปบริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุน เพราะไทยจะให้สัมปทาน 30 ปีในราคา 5,000 ล้านบาท และเก็บรายปีอีก 1,000 ล้านบาท รัฐจะมีรายได้เฉลี่ยปีละ 1,167 ล้านบาทเท่านั้น แม้จะมีรายได้เพิ่มส่วนหนึ่งจากภาษีกาสิโนก็ตาม

มีข้อมูลว่าญี่ปุ่นเพิ่งเริ่มพัฒนา Integrated Resort ที่โอซาก้าคาดว่าจะเปิดในปี 2573 สมมติว่าถ้ากาสิโนไทยฝ่ากระแสสังคมได้ก็คงจะต้องใช้เวลาอีกหลายปี

การสร้างเอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ระดับโลกนั้นต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล (เช่น Marina Bay Sands ต้องใช้เงินราว 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) จะมีทุนไทยที่ไหนกล้าลงเล่นและมีความชำนาญมากพอ สุดท้ายไทยก็ต้องพึ่งพานักลงทุนต่างชาติดังนั้น ถามว่าการพึ่งพาทุนต่างชาติมากเกินไปจะคุ้มค่ากับผลตอบแทนที่ไทยจะได้รับไหมและเงินที่จะได้รับจะคุ้มกับที่รัฐต้องจ่ายเพิ่มขึ้นเพื่อจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นกับการเพิ่มขึ้นของอาชญากรรมการเสพติดและผลกระทบต่อครอบครัวและชุมชนไหมเพราะมีงานวิจัยมากมายที่ชี้ว่าจะส่งผลกระทบต่อสังคมในเมืองที่มีบ่อนกาสิโน

แล้วถามว่ารัฐบาลแบบไทย นักการเมืองแบบไทย การบังคับใช้กฎหมายแบบไทยจะสู้สิงคโปร์และญี่ปุ่นได้จริงๆ หรือ เพราะทั้งสองประเทศมีระบบการเมืองที่มั่นคง มีนักการเมืองที่กล้ารับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำและระบบเศรษฐกิจที่เข้มแข็งกว่าไทยหลายเท่า คนของเขามีความเคารพต่อกฎกติกามารยาทมากกว่าคนในสังคมไทยมากหลายเท่าตัว

แต่ถึงตรงนี้โดยส่วนตัวผมไม่เชื่อนะว่า ทักษิณจะกล้าสั่งให้รัฐบาลเดินหน้าผลักดัน พ.ร.บ.กาสิโนต่อไป เพราะนายกรัฐมนตรีคือ แพทองธารนั้นเป็นลูกสาวของเขา ไม่ใช่นอมินีคนอื่นที่เขาอาจจะปล่อยให้ขึ้นเขาลงห้วย แม้แต่ยิ่งลักษณ์น้องสาว ก็คงจะไม่รักหวงแหนและห่วงใยเท่าแพทองธาร ดังนั้นผมเชื่อว่าจะต้องถอยไปในที่สุด

แต่ถ้าทักษิณมั่นใจว่า ตอนนี้อำนาจอยู่ในมือ และการกลับมาเมืองไทยเที่ยวนี้มีดีลกับชนชั้นนำของสังคมไทยจนยากว่าใครจะต้านทานได้ก็ลองดันกาสิโนเข้ามาและจะรู้ว่า พลังประชาชนที่คิดว่าไม่มีใครต่อต้านทักษิณอีกแล้วนั้นจะเป็นความจริงไหม
 
ติดตามผู้เขียนได้ที่
https://www.facebook.com/surawich.verawan
 


กำลังโหลดความคิดเห็น