เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องเริ่มต้นด้วยการแวะไปดู “แนวรบตะวันออกกลาง” กันอีกนั่นแหละทั่น เพราะโดยลักษณะอาการ ทำท่าว่าจะดุเดือดเลือดพล่านขึ้นมาอีกซะแล้ว ไม่ใช่แค่การหวนกลับไปถล่มพวก “Hamas” ในเขตฉนวนกาซา หรือกลับไปเล่นงานพวก “Hezbollah” ในแถบภาคใต้เลบานอนของ “ไอ้เหี้ยม” อิสราเอล จนหวิดๆ จะกลายเป็นการเปิดฉากสงครามรอบใหม่รอมร่อ แต่ด้วยความกระเหี้ยนกระหือรือเลยเถิดไปถึงขั้นคิดโจมตีโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน ของทั้งอเมริกาและพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์อย่างอิสราเอลเอาเลยนี่สิ!!! โอกาสที่จะเกิดการ “เปิดประตูนรก” ในแนวรบด้านนี้ มันชักจะเห็นรูป เห็นร่าง เห็นเค้า เห็นลางขึ้นมามั่งแล้วรางๆ...
เพราะอย่างที่พอทราบๆ กันไปแล้วนั่นแหละว่า...ตั้งแต่ช่วงวันที่ 7 มี.ค.ที่ผ่านมา ผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ได้ส่งจดหมายผ่านตัวแทน “UAE” ที่เดินทางไปเยือนอิหร่านเมื่อวันที่ 13 มี.ค. ไปยังผู้นำสูงสุดอิหร่าน “Ayatollah Ali Khamenei” ด้วยการยื่น “ข้อเสนอที่เอ็งมิอาจปฏิเสธ” ตามแบบ ตามสไตล์ มาเฟียอิตาลี อะไรทำนองนั้น คือบอกให้อิหร่านเร่งมาเจ๊าะแจ๊ะเจรจา เรื่องโครงการนิวเคลียร์กับอเมริกาเสียโดยดี ไม่งั้นอาจต้องเจอกับการโจมตีด้วยกำลังทหาร และโดยแนวโน้มการเจรจากับอเมริกา ก็น่าจะเป็นไปดังที่ที่ปรึกษาทำเนียบขาว “นายMike Waltz” ได้ให้สัมภาษณ์ไปแล้วกับผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ “CBS” เมื่อไม่กี่วันมานี้นั่นแหละว่า อิหร่านจะต้องยอม “รื้อทิ้ง” บรรดาโครงการนิวเคลียร์ทุกชนิด (full dismantlement) ไม่ว่าที่จะออกไปในแนวสามารถนำมาใช้ในการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ หรือแม้แต่โครงการนิวเคลียร์เพื่อสันติก็ตาม...
นี่...ออกอาการแบบเดียวกับ “ดอน คาร์เลโอเน” หรือแบบมาเฟียอิตาลีกันเห็นๆ และเพื่อให้เกิด “น้ำหนัก” ในคำพูด คำจา หรือ “คำขู่” ก็แล้วแต่ กระทรวงกลาโหมอเมริกาก็ได้สั่งให้เครื่องบินทิ้งระเบิด “B-2 Stealth” จำนวน 5 ลำจากที่มีอยู่ 20 ลำ หรือ 25 เปอร์เซ็นต์ของกองกำลังชนิดนี้ บินไปประจำการยังฐานทัพ “Diego Garcia” แถมยังเพิ่มจำนวนเรือรบ เรือบรรทุกเครื่องบิน เข้าไปยังน่านน้ำตะวันออกกลางถึง 3 ลำซ้อนๆ การส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดไปยังฐานทัพแห่งนี้ ต้องถือว่ามี “นัยสำคัญ” อยู่พอประมาณ เพราะช่วงที่กองทัพอเมริกันกรูกันไปถล่มประเทศอัฟกานิสถาน เมื่อช่วงปี ค.ศ. 2001 หรือถล่มประเทศอิรักเมื่อปีค.ศ. 2003 ก็อาศัยเครื่องบินทิ้งระเบิดจากฐานทัพ “Diego Garcia” นี่แหละ และคราวนี้...อาจไม่ใช่แค่บรรทุกระเบิดจำนวน 125 ตัน (ลำละ 25 ตัน) ไปในแต่ละลำเท่านั้น แต่อาจขนระเบิดแบบที่เรียกว่า “Bunker Buster” หรือระเบิดที่เอาไว้เจาะทะลวงอุโมงค์อิหร่าน ติดตัวไปด้วยหรือไม่? อย่างไร? ก็ยังไม่เป็นที่ทราบชัด...
ขณะที่ฝ่ายอิหร่าน...โดยตัวผู้นำสูงสุด อิหม่าม “Ali Khamenei”ท่านก็ได้ออกมาป่าวประกาศไว้ก่อนหน้านั้นแล้วว่า ไม่คิดจะเจรจากับอเมริกาโดยเด็ดขาด!!! โดยเฉพาะถ้าหากยังแสดงอาการข่มขู่อย่างไม่คิดจะให้เกียรติ ให้ความสำคัญกับผู้ที่ตัวเองต้องการเจรจาเอาเลยแม้แต่น้อย ดังนั้น...ในช่วงวันพฤหัสฯ (27 มี.ค.) ที่ผ่านมา รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน “นายAbbas Araghchi” ก็เลยหันไปใช้วิธีส่งจดหมายผ่านตัวแทนประเทศโอมาน เมื่อช่วงวันที่ 26 มี.ค. หรือปฏิเสธที่จะ “เจรจาโดยตรง” กับอเมริกา แม้ว่ายังคงเปิดกว้างในการเจรจาผ่านตัวแทน (Indirect Negotiation) เหมือนอย่างที่เคยปฏิบัติในช่วงอดีตประธานาธิบดีอิหร่าน 2 รายก่อนหน้านั้น อันเนื่องมาจากด้วยเหตุเพราะ “ทรัมป์บ้า” เองนั่นแหละ ก็คือผู้ที่ตัดสินใจ “สะบัดทวาร” ออกจากข้อตกลง “JCPOA” ที่รัฐบาลอเมริกันยุค “โอมาบ้า” (โอบามา) เคยร่วมลงนามข้อตกลงกับอิหร่านและบรรดาชาติยุโรป ในช่วงเป็นประธานาธิบดีอเมริกันคราวแรกเอาดื้อๆ...
พร้อมๆ กับการปฏิเสธเจรจาโดยตรงกับอเมริกา...นายทหารระดับสูงกองทัพอิหร่าน อย่าง “พลเอกMohammad Bagheri” ประธานเสนาธิการกองทัพบก และ “พลเอกAmir Ali Hajizadeh” ผู้บัญชาการกองกำลังอวกาศ ก็ได้เดินทางไปเยือน “เมืองจรวด” (Missile City) หรือคลังขีปนาวุธใต้ดินของอิหร่าน เมื่อช่วงวันที่ 25 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยได้ถือโอกาสเปิดเผยให้เห็นจรวดนานาชนิดของอิหร่าน ไม่ว่าตั้งแต่ “Kheibar Shekan” พิสัยทำการ 900 ไมล์จรวด “Haj Qassem” พิสัยทำการ 850 ไมล์ จรวด “Ghadr-H” พิสัยทำการ 1,240 ไมล์ หรือจรวด “Sejjil” พิสัยทำการ 1,550 ไมล์ ฯลฯ โดยได้ “สมรักษ์ คำสิงห์” เอาไว้ด้วยว่า บรรดาจรวดเหล่านี้ล้วนมีอานุภาพสูงยิ่งกว่าที่เคยใช้ในปฏิบัติการ “เราจะทำตามสัญญา-ขอเวลาอีกไม่นาน” (True Promiss 1-2) ประมาณ 10 เท่าเอาเลยถึงขั้นนั้น...
ด้วยลักษณะอาการทำนองนี้นี่เอง...ทำให้โอกาสเกิดรายการ “ปะ-ฉะ-ดะ” ระหว่างอิหร่านกับอเมริกาและพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์อย่างอิสราเอล ที่กำลัง “ห่าม” ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ย่อมมีโอกาสเป็นไปได้สูงยิ่งเข้าไปทุกที หรือทำให้ “แนวรบตะวันออกกลาง” ที่เคยทำท่าว่าน่าจะผ่อนๆ คลายๆ ลงมามั่งแล้ว หลังการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงขั้นแรกระหว่างอิสราเอลกับพวก “Hamas” ก็กลับร้อนฉ่า ร้อนแรง ระดับสามารถ “จุดไฟนรกสุดขอบฟ้า” ขึ้นมาได้ไม่ยาก ขณะที่ “แนวรบยุโรปตะวันออก” ที่ทำท่าว่าน่าจะใกล้จบเต็มที หลังจาก “ทรัมป์บ้า” ตัดสินใจ “ถีบยุโรป”ออกจากการเจรจาหาทางหยุดยิงระหว่างรัสเซีย-ยูเครน แต่เอาไป-เอามา...มันชักจะเริ่ม “ไม่ง่าย” กันสักเท่าไหร่แล้ว!!! โดยเฉพาะเมื่อบรรดาพวก “พรมเช็ดเท้า” อเมริกา หรือบรรดาชาติยุโรปทั้งหลาย ได้หันไปสุมหัว รวมตัว ณ ที่ประชุมกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อช่วงวันพฤหัสฯ (27 มี.ค.) ที่ผ่านมา...
และเมื่อ 2 อดีตจักรวรรดินิยมที่เคยร่วมกันครองโลกแทบทั้งโลก อย่างอังกฤษและฝรั่งเศส ได้แสดงอาการกระเหี้ยนกระหือรือเอามากๆ ในการร่วมมือคิดส่ง “กองกำลังรักษาสันติภาพ” จำนวน 30,000 คน ไปประจำการในดินแดนประเทศยูเครน อันเป็นสิ่งที่ฝ่ายรัสเซียได้ให้คำนิยามเอาไว้ก่อนล่วงหน้าว่า ไม่ได้ต่างอะไรไปจาก “การเผชิญหน้าทางทหารโดยตรง” (Direct Military Confrontation) ระหว่าง “NATO” กับ “รัสเซีย” นั่นเอง!!!
ยิ่งไปกว่านั้น...ขณะที่บรรยากาศความขัดแย้งยูเครน-รัสเซียทำท่าว่าน่าจะจบลงไปได้แล้ว เมื่อคุณพ่ออเมริกาในฐานะผู้นำองค์กรพันธมิตรทางทหารอย่าง “NATO” ได้ยื่นมือเข้ามาเป็นตัวกลางในการไกล่เกลี่ยให้แต่ละฝ่ายเลิกถล่มเป้าหมายสำคัญๆ ของฝ่ายตรงข้ามกันไปเป็นขั้นๆ แต่ท่ามกลางบรรยากาศทำนองนี้สหภาพยุโรปกลับหันไปส่งคำเตือนไปยังชาติยุโรป 27 ประเทศ ให้พลเมืองของแต่ละประเทศจำนวนไม่น้อยกว่า 450 ล้านคน เตรียมตัวรับมือ “สงครามโดยตรงกับรัสเซีย” เตรียมกักตุนอาหาร น้ำดื่ม และอุปกรณ์ที่จำเป็นเอาไว้ก่อนล่วงหน้า แถมเลขาธิการ “NATO” “นายMark Rutte” ยังออกมาร่วมสร้างบรรยากาศให้ขนหัวลุก ขนคอตั้ง ยิ่งขึ้นไปอีก ด้วยการออกมา “ขู่” ผู้นำรัสเซียเอาไว้ก่อนล่วงหน้า ว่าถ้าหากเกิดการปะทะระหว่างทหารรัสเซียกับบรรดาชาติสมาชิก “NATO” ไม่ว่าโปแลนด์ หรือประเทศใดๆ ก็ตาม รับรองว่าต้องได้เจอกับ “มาตรา 5” ของ “NATO” หรือ...“เขาจะต้องเจอกับพลังอันเพียบพร้อมและดุดันของบรรดาพันธมิตร NATO ในการตอบโต้และล้างผลาญพวกเขา” นี่...ต้องเรียกว่า ดันกลับหันไปขู่ คำราม ไม่ได้คิดออกอาการแบบประเภท “พรมเช็ดเท้า” เหมือนแต่ก่อนเอาเลยแม้แต่น้อย หรือกลับเป็นการทำลายบรรยากาศเจรจาสันติภาพที่คุณพ่ออเมริกาเป็นตัวตั้ง ตัวตี ซะอีกต่างหาก...
และอาจด้วยบรรยากาศทำนองนี้นี่เอง...เลยทำให้นายกสมาคมผู้ค้าทองบ้านเรา คุณ “จิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี” ท่านเลยต้องออกมาชี้แนะ ชี้นำ ใครต่อใครเอาไว้เมื่อช่วงวันพุธที่แล้ว (26 มี.ค.) นั่นแหละว่า โอกาสที่ “ราคาทองคำ” ในตลาดโลกจะไต่ระดับจาก 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขึ้นไปอีกถึง 3,200-3,400 ดอลลาร์ก็ใช่ว่าจะไม่มีเอาซะเลย ด้วยเหตุเพราะ...ไม่ใช่เพียงแค่ “สงครามการค้า” ที่ “ทรัมป์บ้า” กำลังคิดป่าวประกาศในช่วงวันที่ 2 เมษายนเท่านั้น แต่ยังมี...“ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ไม่ว่าในตะวันออกกลาง รัสเซีย-ยูเครน ไปจนความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ ที่ยังคงเดินหน้าแบบ...ไร้ข้อยุติ” อันทำให้ราคาทองคำมีแต่จะเพิ่มกับเพิ่มแทบไม่ได้หัวตกเอาเลยแม้แต่น้อย...
จริง-ไม่จริง เชื่อ-ไม่เชื่อ...คงต้องลอง “เสี่ยงดวง” เอาเองก็แล้วกัน ส่วนจะ “เจ๊ง-ไม่เจ๊ง” ก็คงไม่ถึงกับหนักหนา-สาหัสอะไรมาก เพราะถือเป็นเรื่อง “ส่วนตัวบุคคล” แต่ถ้าหากมันเกิดรายการ “ปะ-ฉะ-ดะ” ในแนวรบแต่ละด้านขึ้นมาจริงๆ จนราคาทองคำอาจพุ่งระเบิดเถิดเทิงไปถึงระดับ 5,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์เอาเลยก็ไม่แน่ อันนี้...ถึงแม้จะไม่เจ๊ง แต่โอกาสที่ “ส่วนรวม” อาจต้องตกอยู่ในสภาพ “รวยแต่มะเขือ” หรืออาจต้อง “ฉิบหาย-วายวอด” กันไปเป็นแถบๆ ย่อมมีความเป็นไปได้อยู่แล้วแน่ๆ!!!