xs
xsm
sm
md
lg

ด้วยเหตุเพราะอิสราเอล...อเมริกากำลังกลายเป็น“รัฐเผด็จการ”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


โดนัลด์ ทรัมป์
คงต้องยอมรับเอาจริงๆ นั่นแหละว่า...ถึงแม้ได้ชื่อว่าประเทศที่ติดอันดับ “ยากจนที่สุดในโลก” แต่บรรดาพวกนักรบ “Houthis” แห่งประเทศเยเมนนั้น ต้องเรียกว่า...ใจใหญ่-ใจถึงและ “ใจจริง-จริงใจ” เอาจริงๆ ไม่ได้ออกอาการ “จิงโจ้” ใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย คือขณะที่โลกทั้งโลกต่างหนีไม่พ้นต้องหันไป “อมสากกะเบือ” ไว้คนละด้าม สองด้าม ต้องเบิ่งตาดูโศกนาฏกรรมอันเนื่องมาจากการฉวยโอกาส “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ชาวปาเลสไตน์ของกองทัพอิสราเอล หลังจากข้อตกลงหยุดยิงขั้นที่ 2 กับพวก “Hamas” ไม่เป็นไปตามที่ตกลงกันเอาไว้ จนชาวปาเลสไตน์ต้องเด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง รวดเดียวไปเกือบ 1,000 คนภายในเวลาแค่ 48 ชั่วโมง...

แต่ก็มีแต่พวกนักรบ “Houthis” นี่แหละ...ที่ไม่ได้คิด “เอามือซุกหีบ” ไว้เฉยๆ ภายในชั่วเวลา 48 ชั่วโมงอีกเช่นกันที่ผู้ซึ่งประกาศตัวว่าพร้อมจะยืนหยัดเคียงข้างกับบรรดาชาวปาเลสไตน์ทั้งหลาย อย่างพวกนักรบเยเมนเหล่านี้ได้ตัดสินใจส่งจรวด “Hypersonic” ที่รู้จักกันในนาม “Palestine-2” ประเคนเข้าใส่ประเทศอิสราเอลถึง 3 ลูกซ้อนๆ แม้ว่าตัวเองจะถูกอภิมหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกา-อังกฤษ รวมทั้งอิสราเอลรุมเหยียบ รุมกระทืบ ชนิดคราวแล้ว-คราวเล่า หรือจะถูกประธานาธิบดีอเมริกา อย่าง “ทรัมป์บ้า” ขู่ฟ่อดๆ ว่าเตรียมจะเอา “ห่านรก” หล่นใส่หัวพวกแก หรือพวกมึง แบบก้องกังวานไปทั่วทั้งโลกก็แล้วแต่...

นี่...อันนี้นี่แหละที่คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่า อย่างน้อยก็ยังมีผู้รู้ร้อน-รู้หนาว รู้สึก-รู้สาต่อชะตากรรมอันสุดแสนจะเจ็บปวดรวดร้าว ทุกข์ระทมของบรรดา “ผู้ที่อยู่ร่วมในวัฏฏะสงสารเดียวกัน” หรือ “เพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง” อันพอจะช่วยให้เกิดความรู้สึกว่า...โลกใบนี้ไม่ได้ถึงกับแห้งแล้ง ไร้หัวใจ เหมือนอย่างที่พระสันตะปาปา “ฟรานซิส” ท่านต้องบ่นระบายออกมาดังๆ ในกรณีดังกล่าวขึ้นมามิได้ แม้ว่าการประเคนจรวด “Hypersonic” ประมาณ 3 ลูกซ้อนๆ ใส่อิสราเอลคราวนี้ คงมิอาจช่วยยั้งมือ ยั้งตีน พวก “ไอ้เหี้ยม-ไอ้โหด” อย่างกองทัพอิสราเอลได้มากมายสักเท่าไหร่ การไล่ต้อน ไล่กระทืบ บรรดาผู้อพยพชาวปาเลสไตน์ที่ต้องเผ่นหนีหัวซุก หัวซุน ตั้งแต่ด้านเหนือไปยันถึงด้านใต้สุดแถวๆ เขต “Tel al-Sultan” หรือแถวๆ เมือง “Rafah” และ “Khan Younis” โน่นเลย ไม่ต่างไปจากชะตากรรมของ “6 หญิงชาวปาเลสไตน์” ที่ได้ชี้ชวน เชิญชวน ให้ลองไปหาอ่านเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่คราวนี้ “ไอ้เหี้ยม” ถึงกับขู่ไว้ล่วงหน้า ด้วยการโปรยใบปลิวโฆษณาไปยังบรรดาชาวปาเลสไตน์ที่ยังรักบ้าน-รักเมืองทั้งหลาย เมื่อช่วงวันพุธที่ผ่านมา (19 มี.ค.) ถึงขั้นว่า “world map won’t change if all the people of Gaza were to vanish” หรือ...แผนที่โลกจะไม่มีอะไรเปลี่ยนถึงแม้บรรดาชาวปาเลสไตน์ทั้งหลายจะถูกลบหายไปจากแผนที่โลก...เอาเลยถึงขั้นนั้น!!!

แต่ก็นั่นแหละ...ภาพที่บรรดาชาวอิสราเอล ณ สนามบิน “Ben Gurion” ต้องทั้งหมอบ ทั้งคลานเดียะๆ ไปตามพื้นสนามบิน ขณะที่ขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงของพวก “Houthis” สามารถบินฝ่าระยะทางกว่า 2,000 กิโลเมตรไปถึงประเทศอิสราเอลจนได้ ก็อาจพอช่วยให้เกิดความรู้สึกว่าโลกใบนี้ไม่ได้มีแต่พวกมือด้วน ตีนด้วนกันไปซะทั้งหมดความคิดที่จะผนวกดินแดนผู้อื่นเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของประเทศตัวเอง หรือให้กลายเป็น “The Greater Israel” ตามจินตนาการของพวกลูกหลานชาวยิว ประเภท “สุดโต่ง” หรือ “สุดขั้ว” ทั้งหลาย หรือความคิดอันสุดแสนจะวิตถารที่จะเอาพื้นที่เขตฉนวนกาซา มาทำเป็นรีสอร์ตเป็น “ริเวียร่าแห่งตะวันออกกลาง” ของผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ผู้พร้อมสนับสนุน “พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์” อย่างอิสราเอลแบบสุดลิ่มทิ่มริดสีดวงทวาร ไม่ว่าตั้งแต่เป็นประธานาธิบดีครั้งแรก จนมาถึงครั้งนี้...ต่างหนีไม่พ้นต้องได้รับการต่อต้าน คัดค้าน และปฏิเสธ จากใครๆ ก็ตามที่ยังคงหลงเหลือ “ความเป็นมนุษย์” อยู่บ้าง ไม่ว่ามากหรือน้อยก็ตามที...

และนั่นเอง...ที่อาจเป็นเหตุให้ดินแดนที่ได้ชื่อว่าเต็มไปด้วยเสรีภาพ หรือดินแดนที่ถือเป็น “แม่แบบประชาธิปไตย” อย่างอเมริกาทุกวันนี้ น่าจะกลายสภาพเป็น “รัฐเผด็จการ” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!!! ชนิดที่ผู้อำนวยการสภาเพื่อปกป้องผลประโยชน์แห่งชาติอเมริกา อย่าง “ดร.Philip M. Giraldi” อดไม่ได้ที่จะต้องออกมานำเสนอข้อเขียน บทความชิ้นล่าสุด ว่าด้วยเรื่อง “The Death of Free Speech in America” ไปเมื่อเร็วๆ นี้ ด้วยการสะท้อนให้เห็นว่า ไม่ว่าจะภายใต้รัฐบาล “โจ ซึมเซา” แห่งพรรคเดโมแครต หรือการหวนกลับมามีอำนาจอีกครั้งของ “ทรัมป์บ้า” แห่งพรรครีพับลิกัน บรรดาอเมริกันชนรายใดก็ตามที่ดันไม่เห็นด้วยกับความห้าว ความเหี้ยม ของประเทศอิสราเอลในการสังหาร พร่าผลาญ บรรดาชาวปาเลสไตน์แบบเป็นผัก-เป็นปลา ต่างหนีไม่พ้นต้องถูกรัฐบาลกดดัน เล่นงาน ตามล้าง ตามล่า หนักเสียยิ่งกว่าพวกที่ต้องเจอกับ “มาตรา 112” ของบ้านเราไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า...

โดยเฉพาะในยุคของ “ทรัมป์บ้า” ที่พยายามแข่งขันเอาอก-เอาใจอิสราเอลชนิดออกนอกหน้า ไม่ว่าการถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน ย้ายสถานทูตอเมริกันไปยังกรุงเยรูซาเล็ม สนับสนุนการยึดที่ราบสูงโกลันของซีเรีย ฯลฯ ในช่วงเป็นประธานาธิบดีสมัยแรก มาคราวนี้...ไม่เพียงแต่ไม่คิดจะสนใจการ “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ชาวปาเลสไตน์ของกองทัพอิสราเอล ยังหันไปตัดเงินช่วยเหลือชาวปาเลสไตน์ประมาณ 2 ล้านดอลลาร์ แล้วโยกไปให้ประเทศซูดานและโซมาเลียซะเฉยเลย แถมยังอนุมัติอาวุธร้ายๆ ให้กับกองทัพอิสราเอลแบบถึงไหนก็ถึงกัน แต่ที่หนักหนา-สาหัสยิ่งไปกว่านั้นก็คือการหันมาเล่นงานบรรดาชาวอเมริกันด้วยกันเอง ด้วยข้อหา “Anti-Semitic” ที่ถูกขยายความให้หมายถึงใครก็ตามที่ไม่เห็นด้วยกับความเหี้ยม ความโหด ของอิสราเอล อย่างเป็นระบบและเป็นกระบวนการ...

ไม่ว่าการส่งหน่วยปฏิบัติการพิเศษของกระทรวงยุติธรรม ไปสืบสวน สอบสวน หาทางเล่นงานบรรดาผู้ที่สนับสนุนชาวปาเลสไตน์ในอเมริกา ตั้งแต่รัฐนิวยอร์ก ชิคาโก บอสตัน ลอสแอนเจลิส ฯลฯ บีบบังคับ ข่มขู่ สภามหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ที่บรรดานักศึกษาเคยก่อการประท้วงโดยสันติต่อความโหดร้ายของอิสราเอลมาก่อนหน้านั้น ด้วยการแขวนงบช่วยมหาวิทยาลัยมูลค่า 400 ล้านดอลลาร์ จนกว่ามหาวิทยาลัยจะตัดชื่อ หรือไล่ออก นักศึกษาที่มีแนวคิดเห็นอก-เห็นใจบรรดาชาวปาเลสไตน์ รวมทั้งต้องห้ามไม่ให้บรรดานักศึกษาในชั้นเรียนเรื่องตะวันออกกลาง เอเชีย หรือแอฟริกา ออกอาการ “Anti-Semitic” ใดๆ ทั้งสิ้น แถมยังส่งตำรวจไปจับนักศึกษาเกียรตินิยมของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ คือ “นายMahmoud Khalil” เอาดื้อๆ ทั้งที่เป็นนักศึกษาที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาศึกษาอย่างเป็นการถาวรในอเมริกา หรือได้รับ “กรีนการ์ด” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และยังมีภรรยาชาวอเมริกันที่กำลังท้องได้ 8 เดือน เพียงเพราะนักศึกษาผู้นี้เคยร่วมประท้วงอิสราเอล กรณีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์นั่นเอง อีกทั้งยังส่งไปคุมขังที่เรือนจำหลุยเซียนาเพื่อให้ห่างไปจากบรรดาผู้สนับสนุนซึ่งอยู่ในนิวยอร์ก ก่อนเตรียม “เนรเทศ” ในขั้นตอนสุดท้าย...

เช่นเดียวกับนักศึกษาปริญญาเอกสัญชาติอังกฤษ-แกมเบีย “นายMomodou Taal” แห่งมหาวิทยาลัยคอร์แนลที่เคยร่วมประท้วงอิสราเอลเมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว ก็ถูกหน่วย “ICE” หรือ “Immigration and Customs Enforcement” รวบตัวเอาดื้อๆ และเตรียมเนรเทศส่งกลับบ้าน แบบเดียวกับส่งพวกอุยกูร์กลับจีนของบ้านเรานั่นแหละ โดยไม่จำเป็นต้องสนใจต่อ “สิทธิมนุษยชน” ใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะเมื่อกระทรวงความมั่นคงเพื่อมาตุภูมิของอเมริกา ได้ออกมาป่าวประกาศแบบเสียงดัง-ฟังชัดว่า “ถือเป็นอำนาจตามกฎหมายที่จะเนรเทศใครก็ตาม ที่ฝ่ายความมั่นคงเห็นว่ามีพฤติกรรมที่อาจสร้างความเสียหายให้กับอเมริกา” ด้วยเหตุนี้สิ่งที่เรียกว่า “Free Speech” หรือเสรีภาพในการแสดงความคิด ความเห็น มันก็เลยต้องเป็นไปอย่างที่ “ดร.Philip M. Giraldi” ท่านสรุปเอาไว้นั่นแหละว่า ว่ามันได้...ตายไปแล้ว!!! จากดินแดนแห่งเสรีภาพ หรือจากประชาธิปไตยอเมริกา...

พูดง่ายๆ ว่า...ด้วยเหตุเพราะความพยายามที่จะเอาอก-เอาใจ พยายามสนับสนุนอิสราเอลแบบสุดลิ่มทิ่มกระดานของรัฐบาลอเมริกันไม่ว่ายุคไหน-สมัยไหน ไม่ว่าเดโมแครตหรือรีพับลิกันก็ตาม มันถึงกับส่งผลให้ผู้นำอเมริกาพร้อมที่จะปรับสภาพตัวเองจาก “ประชาธิปไตย” กลายมาเป็น “เผด็จการ” เอาดื้อๆ ชนิดแม้แต่ผู้ที่เป็นชาวอเมริกันเชื้อสายยิว เพียงแต่ไม่ได้เป็นพวก “Zionist” อย่าง “ศาสตราจารย์Noam Chomsky” นักคิด นักวิชาการ ผู้มีชื่อโด่งดังไปทั่วโลก ยังอดไม่ได้ที่จะตั้งข้อสังเกตเอาไว้ตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีที่แล้ว ด้วยคำพูดที่ว่า... “นอกจากรัฐบาลสหรัฐฯ จะช่วยเหลือสนับสนุนทางการเงิน การทูต เป็นพิเศษต่อประเทศอิสราเอลแล้ว รัฐบาลอเมริกันยังไม่เคยที่จะประณามการกระทำใดๆ ของอิสราเอล รวมทั้งยังพยายามขัดขวางใครก็ตามที่คิดประณามหรือต่อต้านอิสราเอลในแทบทุกเรื่อง แม้แต่ชาวอเมริกันด้วยกันเองก็ตาม ถ้าใครลุกขึ้นมาวิจารณ์อิสราเอลส่วนใหญ่มักจะถูกทั้งพวกอนุรักษนิยม เสรีนิยม ตลอดไปจนองค์กรจัดตั้งเพื่อชาวอิสราเอลในอเมริกา ออกมากล่าวหาว่าเป็นพวก Anti-Semitic หรือพวกนิยมฮิตเลอร์โดยทันที...” นี่...อันนี้นี่เอง ถึงน่าจะเรียกว่า “ดีลปิศาจ” ฉบับของแท้และดั้งเดิม...


กำลังโหลดความคิดเห็น