อุ๊งอิ๊งค์ แพทองธาร ชินวัตร ขึ้นไปรำพันในสภาฯ ถึงความอยุติธรรมที่พ่อของเธอทักษิณได้รับในการที่ถูกฝ่ายค้านเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ สะท้อนว่าเธอไม่ได้สำนึกเลยว่า พ่อของเธอกระทำความผิดฉ้อฉลทุจริตต่อแผ่นดินอย่างไร แม้พ่อของเธอจะยอมรับผิดในการกระทำมีความสำนึกในความผิดจึงขอรับโทษตามคำพิพากษาในพระบรมราชโองการที่ได้รับพระราชทานอภัยลดโทษลงมาเหลือ 1 ปี
เธอไม่ได้สะท้อนใจในฐานะนายกรัฐมนตรีของประเทศที่มีหน้าที่ที่จะต้องดูแลให้เกิดความเท่าเทียมกันทางกฎหมายที่คนไทยทุกคนควรจะได้รับการปฏิบัติจากรัฐเท่าเทียมกัน นั่นคือพ่อของเธอควรจะต้องติดคุกตามพระเมตตาที่เหลืออยู่เพียง 1 ปีทั้งที่กระทำความผิดหลายคดีมีโทษรวมกันถึง 10 ปี แต่เธอกลับแสดงออกถึงความพอใจที่พ่อของเธอได้อยู่ในชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจที่เป็นห้องพักวีไอพี แตกต่างกับนักโทษทั่วไปควรจะได้รับแล้วอ้างถึงความอยุติธรรมต่างๆ ที่ครอบครัวเธอได้รับอย่างแสนรันทด
แน่นอนล่ะในฐานะที่เธอเป็นลูกของนักโทษเธอต้องดีใจแน่ที่พ่อของเธอได้รับการปฏิบัติที่ดีอยู่อย่างมีความสุขในเวลาที่ควรต้องรับโทษทัณฑ์ให้เข็ดหลาบแตกต่างกับนักโทษทั่วไป แต่ด้วยฐานะนายกรัฐมนตรี แม้เธอจะอ้างว่า พ่อของเธอได้รับการปฏิบัติเช่นนั้นก่อนที่เธอจะเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ถามว่า เมื่อมีกระบวนการตรวจสอบร้องเรียนว่า พ่อของเธอไม่ได้ป่วยจริง และไม่ได้ติดคุกจริงแม้แต่วันเดียว ในฐานะนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย เธอควรจะต้องแสดงตัวอย่างไร เหมือนที่เธอชอบบอกว่า ดิฉันเป็นนายกรัฐมนตรีของทุกคน
แต่เอาเถอะผมคงเพ้อฝันในเรื่องที่ผมคิดว่านายกรัฐมนตรีจะมีความซื่อตรงเป็นธรรมเพราะเธอบอกว่าเธอไม่ชอบความอยุติธรรม และครอบครัวของเธอได้รับความอยุติธรรมมาตั้งแต่เด็ก เธอคิดอย่างไรกับพระบรมราชโองการที่พ่อของเธอยอมรับผิด มีความสำนึกในความผิด แต่กลับไม่ติดคุกแม้แต่วันเดียวเล่า แน่นอนเมื่อคนคนนั้นเป็นพ่อของเธอ ก็คงไม่อยากให้พ่อของเธอติดคุกจริงๆ
ผมเองคงจะเซ่อซ่าหรือบ้าอุดมคติจนเกินไป ถ้าหวังว่าเธอในฐานะนายกรัฐมนตรีจะต้องเอาพ่อของเธอติดคุกจริงๆ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเธอเป็นนายกรัฐมนตรีที่ตั้งมั่นอยู่ในความเป็นธรรมเพื่อทำให้เห็นว่ากฎหมายของประเทศไทยศักดิ์สิทธิ์ และคุกไม่ได้มีไว้แค่ขังคนจน
แต่นอกจากคนไทยไม่โชคดีเช่นนั้นที่จะเห็นคนกระทำผิดคดโกงต่อแผ่นดินต้องรับโทษจำคุกในวันที่ลูกสาวของเขาเป็นนายกรัฐมนตรี เรากลับเห็นได้ว่า แท้จริงแล้วนโยบายต่างๆ ที่เกิดภายใต้รัฐบาลชุดนี้ล้วนแล้วแต่เกิดมาจากความผิดของอดีตนักโทษที่ไม่ได้ติดคุกจริงทั้งสิ้น ไม่ว่าทักษิณคิดอะไร รัฐบาลก็ขานรับเป็นนโยบายที่จะทำทันที ไม่เพียงแต่เท่านั้น วันนี้สื่อมวลชนเองเมื่อเจอกับทักษิณก็ถามทักษิณเหมือนกับรับรู้ว่าทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริงของประเทศนี้ ถามทักษิณว่า เรื่องโน้นจะทำอย่างไร เรื่องนี้จะทำอย่างไร ทั้งๆ ที่ทักษิณไม่มีตำแหน่งแห่งหนอะไรเลย
ถามว่า ทักษิณมีอำนาจไหม ก็ต้องยอมรับว่า ทักษิณมีอำนาจ วันนี้สื่อหลายค่ายก็มักจะดึงตัวทักษิณไปปาฐกถาเพื่อหารายได้แล้วให้ทักษิณพูดถึงนโยบายและทิศทางต่างๆ ของประเทศ โดยขายโต๊ะให้นักธุรกิจเจ้าสัวระดับประเทศเพื่อเข้าไปห้อมล้อมทักษิณ เพราะทุกคนรู้ว่าคนที่มีอำนาจตัวจริงในพ.ศ.นี้ก็คือทักษิณ
แพทองธารที่สวมบทบาทเป็นนายกรัฐมนตรีเหมือนเป็นตัวแสดงในฐานะหุ่นเชิดของพ่อ เพราะรู้กันว่า เธอไม่ได้มีความรู้ความสามารถประสบการณ์อะไรที่สามารถจะนำพาประเทศไทยในภาวะโลกรวนอย่างทุกวันนี้ได้ในด้านเศรษฐกิจ สังคม และความขัดแย้งที่เกิดขึ้นทั่วโลก ทุกครั้งที่แพทองธารไปไหนเธอจึงต้องถูกห้อมล้อมด้วยรัฐมนตรีลายครามเพื่อเป็นพี่เลี้ยงประคับประคองให้เธอรักษาสภาพของนายกรัฐมนตรีหน้าฉากเอาไว้ให้ได้ และพึ่งพาไอแพดในทุกเวที เพราะไม่สามารถอธิบายอะไรออกมาจากความรู้ความเข้าใจของตัวเองได้
ดังนั้น ระบอบทักษิณที่สูญหายไปหลายปีจึงกลับมามีอำนาจอีกครั้ง ใครก็รู้ว่าคนที่มีอำนาจตัวจริงก็คือทักษิณไม่ใช่แพทองธารลูกสาวของเขา ทุกคนจึงต้องวิ่งหาทักษิณ เมื่ออยากได้ตำแหน่งแห่งหนหรือผลประโยชน์จากรัฐบาล จะเห็นได้ว่า รัฐมนตรีในรัฐบาลของแพทองธารจะมีสองรุ่นคือรุ่นใหญ่ที่คอยยืนเป็นวอลเปเปอร์ในวันที่แพทองธารอ่านไอแพดหลังประชุม ครม. เผื่อว่าจะช่วยตอบคำถามที่แพทองธารตอบไม่ได้
ยังมีรัฐมนตรีที่เป็นคนรุ่นใหม่อีกจำนวนหนึ่งที่คอยเดินตามหรือไปไหนมาไหนกับแพทองธาร เหมือนเป็นเพื่อนให้คลายกังวลใจ หลายคนไม่ได้มีผลงานอะไร จิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกรัฐบาลบอกว่า แพทองธารเป็นคนเก่งเหมือนกับวันเดอร์วูแมน ถ้าจะเปรียบกันได้ก็คงแค่เป็นเพศหญิงเหมือนกันหรือไม่ก็ชอบแต่งตัวประหลาดเหมือนกัน
วันนี้การอภิปรายไม่ไว้วางใจผ่านไปแล้ว หลายคนถามว่าจะปรับครม.ไหม น้ำเสียงส่วนใหญ่ถามด้วยความคาดหวังว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงที่จะทำให้เศรษฐกิจที่ซบเซาย่ำแย่จะดีขึ้นมาบ้าง คำตอบสำหรับผมก็คือ ทุกอย่างคงเหมือนเดิม เพราะเหตุผลทางความมั่นคงของระบอบทำให้เราไม่สามารถหนีไปจากรัฐบาลที่เป็นอยู่ได้ และคงต้องอยู่อย่างนี้ ทักษิณซึ่งเป็นคนที่มีอำนาจตัวจริงจะเอ็นจอยอะไรไปมากกว่าเล่นอยู่หลังฉากแล้วเชิดลูกสาวของตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรี
การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่พรรคฝ่ายค้านหยิบยกมานั้นเป็นเพียงพิธีกรรมที่มันผ่านไป ไม่ได้ทำอะไรให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปได้หรอก เห็นได้ว่า แพทองธารเองก็นั่งฟังการอภิปรายและลุกขึ้นพูดพอเป็นพิธีเท่านั้น เธอคงไม่ได้ใส่ใจอะไรไปมากกว่านึกถึงวันที่พาลูกสองคนไปวิ่งเล่นที่สนามหญ้าหน้าทำเนียบรัฐบาล จะไปคาดหวังสาธารณะอะไรจากตัวเธอ เพราะเธอเองก็น่าจะรู้ว่าตัวเองมีความสามารถแค่ไหน และคนที่รู้ว่าเธอมีความสามารถแค่ไหนก็คือทักษิณพ่อของเธอ
แต่ผมคิดว่า เพราะพ่อของเธอรู้ว่าลูกสาวของตัวเองมีความสามารถแค่ไหน นั่นแหละที่ยิ่งจะทำให้เขาได้แสดงออกถึงอำนาจที่มีอยู่ในมือมากขึ้น ต้องยอมรับว่าวันนี้นายกรัฐมนตรีตัวจริงก็คือทักษิณนั่นแหละ ถามว่า รัฐมนตรีคนอื่นจะฟังใครระหว่างทักษิณกับแพทองธาร ข้าราชการจะฟังใครระหว่างทักษิณกับแพทองธาร เขาก็ฟังทักษิณนั่นแหละ หรือไม่ก็ฟังแพทองธารที่ทักษิณบอกบทมา
แต่หลายคนก็ยังพยายามคิดในแง่ดีว่า แพทองธารที่ทักษิณเชิดหุ่นก็อาจจะดีกว่าแพทองธารที่แสดงบทบาทเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยตัวเอง เพราะไม่อยากจะคาดหวังอะไรจากความรู้ความสามารถของเธอ เพราะหันไปมองภูมิหลังของเธอก่อนจะขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีในฐานะลูกสาวของทักษิณก็มีแต่ความเคว้งคว้างว่างเปล่า
หลายคนจึงได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า ยังไงก็ต้องอยู่ให้ได้กับแพทองธารวันเดอร์วูแมนที่เขายกยอว่าเก่งกาจกันต่อไป
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan