หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ
อุ๊งอิ๊งค์ แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศนี้หรือประเทศไหนก็ไม่ได้หรอกครับ ถ้าเธอเป็นเพียงหญิงสาวคนหนึ่งที่แต่งงานแล้วมีสามีและมีลูกสองคน ประวัติอันน่าสงสัยในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของเธอก็คงไม่เกิดขึ้นถ้าเธอไม่ได้เป็นลูกของทักษิณ ดูจากคะแนนสอบครั้งแรกของเธอก็ยากที่จะได้เข้าไปเรียนในคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคิดว่าเธอจะหาเงินด้วยตัวเองจนมีทรัพย์สินหมื่นสามพันกว่าล้านได้ไหม
ถ้าเธอไม่ได้เป็นลูกสาวของทักษิณเธอจะทำมาหาได้จนมีนาฬิกา 75 เรือน มูลค่ารวม 162,000,000 บาท ของสะสม (ตุ๊กตาแบร์บริค) 9 ตัว มูลค่า 1,900,000 บาท กระเป๋า 217 ใบ มูลค่า 76,650,000 บาท แหวน 108 วง มูลค่า 31,773,900 บาท เครื่องประดับกำไลข้อมือ 69 เส้น มูลค่า 28,559,700 บาท เครื่องประดับสร้อยคอ 67เส้น มูลค่า 35,675,400 บาท ต่างหู 205 คู่ มูลค่า 49,330,500 บาท เครื่องแต่งกาย 167 ชุด มูลค่า 26,750,000 บาทไหม
นี่เป็นส่วนน้อยของทรัพย์สินที่มีเธอมีหนี่งหมื่นสามพันล้านเพียงแต่ว่าที่ยกมานี้สะท้อนถึงความรุ่มรวยหรูของเธอที่สื่อเยอรมันเขาไปพาดหัวแปลเป็นไทยว่า นายกฯผู้หลงใหลความหรูหราและรุ่มรวย แม้เธอจะมีความหรูหราและรุ่มรวยอย่างที่สื่อว่าจริง แต่เธอก็ถูกวิจารณ์เรื่องการแต่งกายที่ไม่รู้กาละเทศะ เหมือนกับเธอไม่รู้ว่าการแต่งกายที่เหมาะสมเป็นคุณสมบัติหนึ่งของผู้นำและเป็นหน้าตาของประเทศ หรือไม่เธอก็คงอยากจะท้าทายว่าฉันจะเป็นอย่างนี้ใครจะทำไม เพราะฉันเป็นคน Gen Y
แพทองธารจึงมีเบื้องหลังคือทักษิณ ไม่ใช่เกิดจากทักษิณกับพจมาณปฏิสัมพันธ์กันอย่างเดียว ทุกอย่างในชีวิตเธอล้วนเกี่ยวพันกับทักษิณ กระทั่งเมื่อเธอก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีก็เพราะเธอเป็นลูกสาวของทักษิณ แต่คนที่รู้ว่า แพทองธารมีศักยภาพแก่ไหนที่จะสวมบทบาทนายกรัฐมนตรีและนำพาประเทศไปข้างหน้าก็คือ ทักษิณนั่นเอง ดังนั้นทักษิณจึงต้องเข้ามามีบทบาทอยู่เบื้องหลังของแพทองธารในทุกเรื่อง ไม่อาจปล่อยให้แพทองธารบริหารประเทศไปตามลำพังได้
นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่หากจะอภิปรายไม่ไว้วางใจแพทองธารแล้ว เลี่ยงไม่ได้เลยที่จะไม่พูดถึงทักษิณ ไม่ต้องไปเอ่ยอ้างว่า ชายคนนั้น บิดาของนายกรัฐมนตรี หรือ สทร.หรอก เอ่ยชื่อทักษิณไปตรงๆ เลย เพราะถ้าฝ่ายค้านเอ่ยถึงทักษิณเป็นความเท็จและทำให้เกิดความเสียหายไปก็รับผิดชอบในทางคดีที่ทักษิณสามารถยื่นฟ้องต่อศาลได้
จะปิดปังไปทำไมว่าทักษิณไม่ได้อยู่เบื้องหลังรัฐบาลของลูกสาว เมื่อทักษิณเองก็แสดงตัวอย่างเปิดเผยไม่เคยใส่ใจใครอยู่แล้วว่าจะมองอย่างไร เห็นจากที่ทักษิณไปพูดเหมือนการสั่งการรัฐบาลบนเวทีต่างๆหรือพูดเหมือนผู้กำหนดนโยบายของรัฐบาลชุดนี้อยู่เสมอๆ
ในเวทีปาฐกาถาที่จัดโดยเครือเนชั่นครั้งแรกหลังได้รับการพักโทษใหม่นั้น ทักษิณพูดว่าจะทำสิ่งต่างๆ หลายเรื่องเหมือนกับการเป็นนายกรัฐมนตรีเอง และสิ่งที่ทักษิณพูดถูกนำไปอยู่ในการแถลงนโยบายของแพทองธารต่อสภา ที่ทำให้สะท้อนว่าเธอเป็นเพียงหุ่นเชิดของทักษิณผู้เป็นพ่อเท่านั้นเอง ซึ่งสะท้อนว่า เป็นการเมืองแบบครอบครัว
ทักษิณพูดถึงแนวทางแก้ปัญหาเศรษฐกิจทว่าหนี้ครัวเรือนของไทยสูงถึง 90% ของ GDP ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการเติบโต เขาเสนอให้กระทรวงการคลังเป็นผู้นำในการเจรจากับสมาคมธนาคารและนักซื้อหนี้ เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ให้ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มฐานราก และแนะให้ประสานงานกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อลดการดูดซับสภาพคล่องจากระบบธนาคารพาณิชย์ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในต่างจังหวัด
เสนอให้รัฐบาลใช้ “นโยบายการคลัง” เป็นตัวขับเคลื่อนหลักในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว โดยให้ ธปท. ปรับนโยบายการเงินให้สอดคล้องกัน เช่น ลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นการลงทุน วิจารณ์ว่า ธปท. ในอดีตเน้นความมั่นคงมากเกินไป จนทำให้เศรษฐกิจขาดความยืดหยุ่น
ทักษิณชูแนวคิดให้ไทยเป็น “Financial Hub” โดยยกตัวอย่างดูไบและสิงคโปร์ที่ประสบความสำเร็จจากการเป็นศูนย์กลางการเงิน รวมถึงการเสวนาล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้ ทักษิณเสนอให้ไทยเป็น “ศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัล”โดยเร่งพัฒนา Sandbox และ Stable Coin ที่ผูกกับพันธบัตรรัฐบาล คาดเห็นผลใน 2-3 เดือน รวมถึงสร้าง “บล็อกเชน” ระดับชาติภายในปี 2568 แนะนำลดค่าไฟเหลือ 2.02-2.35 บาทต่อหน่วย เพื่อดึงดูดการลงทุนในดาต้าเซ็นเตอร์จากต่างชาติ เน้นการใช้เทคโนโลยี AI โดยไทยไม่ต้องรอโมเดลจากต่างชาติ เช่น นำ AI ช่วยวิเคราะห์ในโรงพยาบาลหรือคลินิกขนาดเล็ก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรักษา
ความเห็นที่ทักษิณพูดนี้ไม่ใช่ข้อเสนอแนะของคนธรรมดา แต่เป็นคนที่มีอิทธิพลเหนือนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ครอบครองนายกรัฐมนตรี และมีอำนาจเหนือรัฐบาล นี่เป็นเหตุที่ทักษิณภูมิใจที่จะเรียกตัวเองว่า สทร.ซึ่งแปลว่า เสือกทุกเรื่องซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่พรรคฝ่ายค้านจะหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะต้องอธิบายถึงทักษิณ ไม่ว่าจะใช้ชื่อแทนว่าอะไร หรือกล่าวถึงตรงๆ เพื่อเผชิญกับการประท้วงของลิ่วล้อของทักษิณในสภา
ทักษิณไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นว่า เขาเป็นผู้กำหนดนโยบายและสั่งการรัฐบาลชุดนี้โดยเปิดเผยเท่านั้น แต่ทักษิณยังแสดงให้เห็นว่าใครจะร่วมรัฐบาลชุดนี้อยู่ที่เขาเป็นผู้กำหนดเท่านั้นเช่นประกาศว่า รัฐบาลชุดนี้ต้องไม่มีบิ๊กป้อม พล.อ.ประวัตร วงษ์สุวรรณ รวมถึงเรียกแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคไปหารือกับตัวเองหลังที่เศรษฐา ทวีสิน ถูกตัดสิทธิ์จากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ทักษิณยังแสดงให้เห็นถึงการที่เขามีบทบาทเหนือพรรคร่วมรัฐบาลด้วยการตำหนิพรรคร่วมรัฐบาหลายครั้ง ทักษิณเคยพูดถึงพรรคร่วมรัฐบาลว่า “บางพรรคเข้ามาเพื่อเกาะกระแส แต่ไม่ช่วยทำงานจริง”โดยไม่ได้ระบุชื่อพรรคชัดเจน แต่บริบทในขณะนั้นชี้ไปที่พรรคในรัฐบาลที่ถูกมองว่ามีบทบาทน้อยในการผลักดันนโยบายสำคัญ เช่น โครงการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งเป็นนโยบายหลักของพรรคเพื่อไทย
หรือพูดว่า ว่า “ผลงานรัฐบาลเกิดช้า เพราะเป็นพรรคร่วม” และเรียกร้องให้ “พ่อมหาจำเริญ” “ช่วยกันทำงานหน่อย” พร้อมขู่ว่า “ถ้าไม่ทำก็ตัวใครตัวมัน” ทักษิณยังกล่าวถึงพรรคร่วมในแง่ว่า “อยู่กันแบบตบจูบมีรสชาติดี” ซึ่งเป็นการวิจารณ์แบบเสียดสีถึงความสัมพันธ์ที่ทั้งขัดแย้งและประนีประนอมกับพรรคร่วมอย่างพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นเหมือนเสียงเตือนพรรคร่วมรัฐบาลว่า เขาคือผู้ที่มีอิทธิพลในรัฐบาลตัวจริง
นอกจากนั้นก่อนหน้านี่เขาเคยกล่าวถึงพรรคร่วมรัฐบาลในหลายประเด็น เช่น ความล่าช้าในการทำงานร่วมกัน และแสดงความไม่พอใจต่อพฤติกรรมของบางพรรคที่เขาเรียกว่า* “อีแอบ”โดยเฉพาะกรณีที่รัฐมนตรีบางคนจากพรรคร่วมรัฐบาลขาดประชุมคณะรัฐมนตรี ในวันที่พิจารณาร่างพระราชกำหนดภาษีส่วนเพิ่ม (Pillar 2) เขากล่าวว่า “ลูกผู้ชายมาด้วยกันก็ต้องไปด้วยกัน” และ “ถ้าไม่อยากอยู่ก็บอกมา” ซึ่งเป็นการวิจารณ์โดยตรงถึงความรับผิดชอบและความร่วมมือของพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรค นอกจากนี้ เขายังเตือนว่า “ใครที่ไม่จริงใจก็ออกไป” และพูดถึงการที่พรรคร่วมบางพรรคไม่สนับสนุนนโยบายของรัฐบาลอย่างเต็มที่
นี่แสดงอย่างชัดแจ้งว่า ทักษิณคือ นายกรัฐมนตรีตัวจริงในรัฐบาลชุดนี้โดยมีแพทองธารลูกสาวเป็นหุ่นเชิด ซึ่งไม่ว่า เราจะชอบฝ่ายค้านชุดนี้หรือไม่หรือหวาดกลัวว่า ถ้าพรรคฝ่ายค้านชุดนี้เข้ามาเป็นรัฐบาลแล้วจะทลายโครงสร้างของสังคมแบบพลิกฝ่ามือเพื่อไปสู่เป้าหมายของพวกเขาที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไม่ให้เหมือนเดิม แต่เราต้องยอมรับว่า ประเทศไทยตอนนี้อยู่ในมือของทักษิณคนเดียว ดังนั้นฝ่ายค้านจึงจำเป็นต้องอภิปรายถึงทักษิณเมื่อยื่นญัตติไม่ไว้วางใจแพทองธารลูกสาวของทักษิณที่สวมบทเป็นนายกรัฐมนตรีหน้าม่านที่ถูกพ่อเชิดอยู่หลังม่าน
ผมเชื่อว่าหลายฝ่ายในประเทศหวั่นกลัวการเข้ามามีอำนาจรัฐของคนรุ่นใหม่ในพรรคส้ม เช่นเดียวกับผมที่มองว่า พวกเขายังไม่มีประสบการณ์ ความรู้ความสามารถที่เพียงพอที่จะเข้ามาแบกรับภารกิจของประเทศที่มีความสลับซับซ้อน ปัญหาเศรษฐกิจรุมเร้า และความขัดแย้งที่สูงในทางภูมิรัฐศาสตร์ของโลกในตอนนี้ และตกอยู่ใต้ความคิดของพวกคอมมิวนิสต์หลงยุคในสังคมไทย
แต่ผมกลัวเหลือเกินว่า การบริหารประเทศด้วยนายกฯ แพทองธารที่มีทักษิณเป็นหุ่นเชิดนั้น จะยิ่งทำให้ประชาชนเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงไปสู่การเมืองใหม่ และเปลี่ยนผ่านนักการเมืองรุ่นเก่าเพื่อให้คนรุ่นใหม่เข้ามามีอำนาจเร็วขึ้น เพราะเช่นนั้นเราอาจจะได้ผู้บริหารที่ไม่ต่างกับที่แพทองธารเป็นอยู่ แม้จะไม่มีพ่อชักใยอยู่เบื้องหลังเหมือนกัน แต่อาจมีพวกปฏิกษัตริย์นิยมที่ฝันค้างจากความฝันความสีทองผ่องอำไพออกมาลิงโลดกำหนดทิศทางของแผ่นดิน
สิ่งที่จะเร่งประเทศนี้ไปสู่เป้าหมายที่พลิกผันและไม่คาดคิดก็คือ ความโอหังมมังการของทักษิณที่คิดว่าตัวเองเป็นผู้ที่อยู่เหนือใครในประเทศนี้ และคิดว่าตัวเป็นคนเดียวเท่านั้นที่จะนำพาประเทศนี้ไปรอดได้ แต่ก็แปลกเมื่อคิดว่าตัวเองเป็นคนแบบนี้แล้วทำไมใครจะอภิปรายพาดพิงแตะต้องไม่ได้เลย
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan