xs
xsm
sm
md
lg

“ทรัมป์บ้า”กับ“สงครามโลกครั้งที่ 3”!!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไทสงครามโลกครั้งที่ 3


โดนัลด์ ทรัมป์
ปิดท้ายสัปดาห์นี้...คงหนีไม่พ้นต้องแวบกลับไปแถวๆ “ตะวันออกกลาง” กันอีกนั่นแหละทั่น!!! เพราะถือเป็นอาณาบริเวณที่ทำให้ผู้ซึ่งอยากให้ใครต่อใครจดจำตัวเองในฐานะ “นักสันติภาพ” อย่าง “ทรัมป์บ้า” ผู้นำคนใหม่ของอเมริกาถึงกับต้องจำแลงแปลงกายไปเป็น “ผู้กระหายสงคราม” อย่างชนิดน่าเกลียด น่ากลัว เอามากๆ ส่งเครื่องบินจากเรือบรรทุกเครื่องบิน “USS Eisenhower” ในแถบทะเลแดง ไปถล่มพวกนักรบเยเมน เมื่อช่วงคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา (15 มี.ค.) เล่นเอาพลเรือนผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ตายไป 53 ราย บาดเจ็บ 98 ถ้าว่าตามตัวเลขที่รัฐมนตรีสาธารณสุขเยเมนออกมาแถลง...

หรือต้องเรียกว่า...ส่งผลให้ “นักสันติภาพ” รายนี้ต้อง “มือเปื้อนเลือด” เป็นครั้งแรกตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งรอบใหม่ จนยากที่ใครต่อใครจะจดจำตัวเองตามที่ปรารถนาและต้องการได้เลย ยิ่งถ้าหากไปฟังคำพูด คำทวีต ตามสำนวนที่สำนักข่าว “ผู้จัดการ” ของหมู่เฮาได้ถ่ายทอดไว้ในรายงานข่าวเมื่อช่วงวันจันทร์ที่ผ่านมา (17 มี.ค.) ยิ่งเป็นอะไรที่น่าทุเรศ น่าสยดสยองยิ่งขึ้นไปใหญ่ โดยเฉพาะคำพูด คำทวีต ที่ระบุไว้ว่า... “ถึงพวกก่อการร้ายฮูตีทุกคน เวลาของพวกแกหมดแล้ว และการโจมตีของพวกแกต้องหยุดลง เริ่มตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป แต่ถ้าไม่...ห่านรกจะร่วงใส่ (กบาล) พวกแก อย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน” นี่...ต้องเรียกว่าถ้าหากจะปรับสำนวนแปลของ “ผู้จัดการ” จากคำว่า “แก” เป็นคำว่า “มึง” ก็น่าจะยิ่งเข้าถึงอารมณ์ของผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น หรือทำให้ความอยาก ความปรารถนา จะเป็น “นักสันติภาพ” ต้องกลายสภาพไปเป็นพวก “บ้าสงคราม” อย่างมิอาจปฏิเสธ...

โดยอะไร? ที่ทำให้ “ทรัมป์บ้า” ถึงกับต้องยอมปรับเปลี่ยนตัวเองกลายเป็นพวก “บ้าสงคราม” กันจนได้ อันนี้นี่แหละที่ต้องเรียกว่า...น่าคิด น่าสะกิดใจ มิใช่น้อย!!! เพราะการคิดที่จะ “ยุติสงครามยูเครน” “ถีบยุโรปทิ้ง” หันไปชวนผู้นำจีน-ผู้นำรัสเซีย มาพูดคุยกันในเรื่องการ “ปรับลดค่าใช้จ่ายทางทหาร” ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้อาจถือเป็นภาพสะท้อนให้เห็นว่า ความพยายามที่จะทำให้ “America Great Again” ของประธานาธิบดีอเมริกันรายใหม่ น่าจะเป็นความยิ่งใหญ่ “ภายในขอบเขตที่ตัวเองต้องการ” ไม่ได้คิดจะหนักไปทางอยากจะเป็นจ้าวโลก ประมุขโลก หรือตำรวจโลกต่อไปอีกแล้ว หรือเผลอๆ ออกไปในแนว “Isolationism” หรือพวกโดดเดี่ยวตัวเอง ย้อนกลับไปสู่ความยิ่งใหญ่ในยุคที่อเมริกายังไม่คิดจะ “แบกโลก” เอาไว้บนบ่า แม้ว่ายังคิดจะผนวกแคนาดา ยึดเกาะกรีนแลนด์ หรือคิดจะส่งทหารไปยึดคลองปานามา ฯลฯ ก็ตาม เพราะนั่นถือเป็นความพยายามที่จะเสริม “ขั้วอำนาจ” ของตัวเองให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ไปพร้อมๆ กับการยอมรับสภาพว่า “ขั้วอำนาจใหม่” อย่างจีน หรือรัสเซีย เป็นสิ่งที่มิอาจปฏิเสธได้อีกต่อไปแล้ว อย่างที่รัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกา “นายMarco Rubio” เคยว่าไว้...

ดังนั้น...การที่ต้อง “เขย่งก้าวกระโดด” จากอเมริกา มาเล่นงานพวกนักรบ “Houthis” กันถึงแนวรบตะวันออกกลางอย่างชนิดตรงไป-ตรงมาเช่นนี้ ว่าไปแล้ว...คงไม่ใช่แค่เรื่องความคิดที่จะช่วยให้เกิด “การเดินเรือโดยเสรี” ในน่านน้ำต่างๆ อย่างที่บรรดาโฆษกอเมริกันแต่ละรายพยายามหยิบยกมากล่าวอ้างแบบขอไปที เพราะผู้ที่ให้เหตุผลต่อการกระทำเช่นนี้อย่างค่อนข้างมี “น้ำหนัก” น่าจะได้แก่ที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาว อย่าง “นายMichael Waltz” นั่นแหละ ที่สรุปไว้สั้นๆ แต่ตรงไป-ตรงมา นั่นก็คือ...ถือเป็น “การส่งคำเตือนไปยังอิหร่าน” ที่เชื่อๆ กันว่าคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังกลุ่มก้อนต่างๆ ในตะวันออกกลาง หรือที่เรียกกันว่า “Axis of Resistance” นั่นเอง ที่รัฐบาล “ทรัมป์บ้า” พยายามกด พยายามบีบ หรือถึงขั้นออกมา “ขู่” แบบดื้อๆ ทื่อๆ ว่า ถ้าไม่คิดจะมาเจรจากับอเมริกาในเรื่องโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน (เพื่อให้เป็นไปตามที่อเมริกาต้องการ) ก็อาจต้องเจอกับ “การใช้กำลังทหาร” เอาเลยถึงขั้นนั้น!!!

หรือพูดง่ายๆ ว่า...ถึงแม้คิดจะ “โดดเดี่ยวตัวเอง” เพื่อปรับปรุง ซ่อมแซมสิ่งที่สร้างความเสื่อมโทรม ทรุดโทรม ให้กับจักรวรรดิอเมริกามาโดยตลอด ไม่ว่าปัญหาหนี้สิน เศรษฐกิจ ระบบราชการ และความระส่ำระสายทางสังคม ฯลฯ เพื่อฟื้นความยิ่งใหญ่ของอเมริกาให้หวนคืนกลับมาได้อีกครั้ง แต่สิ่งที่รัฐบาล “ทรัมป์บ้า” มิอาจแยกขาด ตัดขาด ได้เลยแม้แต่น้อย นั่นก็คือสายใยแห่งความผูกพันกับ “พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์” ของอเมริกา อย่างอิสราเอลนั่นเอง หรือกับอำนาจและอิทธิพลของบรรดา “นักธุรกิจชาวยิว” ที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังรัฐบาลอเมริกันมาในแทบทุกยุค ทุกสมัย นับตั้งแต่เริ่มต้นก่อร่างสร้างประเทศอเมริกาเอาเลยก็ว่าได้ อันนี้นี่แหละ...ที่ทำให้ “นักสันติภาพ” อย่าง “ทรัมป์บ้า” เลยจำต้อง “เขย่งก้าวกระโดด” จากอเมริกามาต่อยตีกับกองกำลังเล็กๆ อย่างพวกนักรบ “Houthis” ที่เชื่อกันว่าได้รับการอุดหนุนจุนเจือ จากที่พี่เบิ้มแห่งตะวันออกกลาง อย่างอิหร่าน อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้...

โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลอิสราเอลภายใต้การนำของ “นายBenjamin Netanyahu” ช่วงนี้ กำลังออกอาการ “ห่าม” กำลังหลงระเริงกับ “ชัยชนะ” ในการเล่นงานพวก “Axis of Resistance” อย่างพวก “Hamas” ในฉนวนกาซา ในเขตเวสต์แบงก์หรือพวก “Hezbollah” ในเลบานอนก็แล้วแต่ ยิ่งโดยเฉพาะเมื่อรัฐบาล “Al-Assad” แห่งซีเรียล้มคว่ำคะมำหงาย จนทำให้กองทัพอิสราเอลสามารถผนวกดินแดนซีเรียลึกไปไกลกว่า 15 กิโลเมตร ยึดภูเขา “Mount Hermon” อันเป็นเขตปลอดทหารหรือเป็นพื้นที่เป็นกลางได้อย่างเป็นการถาวร ชนิดที่ทำให้ “จินตนาการ” เรื่อง “The Greater Israel” หรือการ “ขยายดินแดนพันธสัญญากับพระเจ้าของชาวยิว” เมื่อครั้งอดีต ตั้งแต่ลุ่มแม่น้ำไนล์ในดินแดนอียิปต์ ไปยันแม่น้ำยูเฟรติสในอิรักโน่นเลย ชักเป็นจริง-เป็นจังขึ้นมามั่งรางๆ...

แต่ก็นั่นแหละ...ทั้งนั้น ทั้งนี้ ย่อมหนีไม่พ้นต้องหาทาง “ข้ามศพอิหร่าน” กันไปให้จงได้ ถึงจะช่วยให้จินตนาการดังกล่าวมีโอกาสเป็นจริง-เป็นจังขึ้นมา ความยิ่งใหญ่ของอเมริกาไม่ว่าโดยวิธีไหนต่อวิธีไหน ไม่ว่าตามแบบฉบับ “ทรัมป์บ้า” หรือ “โจ ซึมเซา” ก็แล้วแต่ มันจึงหนีไม่พ้นที่จะต้องถูกนำมาใช้ “รองรับ” พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์อย่างอิสราเอล อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ การบุกถล่มกองกำลังเล็กๆ อย่างพวกนักรบ “Houthis” ในเยเมน เพื่อส่งสาส์น ส่งคำเตือนไปยังอิหร่าน จึงทำให้ “นักสันติภาพ” อย่าง “ทรัมป์บ้า” เลยมีอันต้อง “มือเปื้อนเลือด” ไปด้วยอย่างช่วยอะไรไม่ได้...

ส่วนจะเป็นแค่เลือดของพลเรือนผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ชาวเยเมน ประมาณ 53 ศพแต่เพียงเท่านั้น หรือจะต้องเพิ่มเลือด เพิ่มศพให้มากยิ่งไปกว่านั้น อันนี้นี่แหละ...ที่คงต้องจับตาอย่างมิอาจกะพริบตากันต่อไป หรืออย่างที่ผู้อำนวยการ “The Center for Afghanistan Studies” ของประเทศจีน อย่าง “นายZhu Yongbiao” ท่านให้ข้อคิดไว้กับสำนักข่าวทางการจีน “Global Times” เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานั่นแหละว่า... “การโจมตีของอเมริกาครั้งนี้ คือตัวบ่งชี้ถึงนโยบายร่วมหัว-จมท้ายกับอิสราเอลของสหรัฐฯ ในตะวันออกกลาง ที่พยายามบั่นทอนศักยภาพของบรรดากลุ่มกำลังที่เรียกว่า Iran-back ลงไปให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้” และนั่นทำให้โอกาสที่จะเกิด “จุดสมดุลทางอำนาจ” ในตะวันออกกลางยากส์ส์ส์ที่จะเกิดขึ้นได้ หรือทำให้ “สันติภาพ” ของ “ทรัมป์บ้า” ย่อมไม่ได้หมายรวมไปถึงภูมิภาคหรือ “แนวรบตะวันกลาง” อันเป็นแนวรบที่มีความสำคัญต่อโลกทั้งโลกแต่อย่างใด...

เพราะแม้กระทั่งการคิดที่จะไล่ถีบ ไล่กระทืบ กองกำลังเล็กๆ อย่างพวกนักรบ “Houthis” เอาเข้าจริงๆ แล้วก็ใช่ว่าจะง่ายๆ แบบปอกกล้วยเข้าปากซะเมื่อไหร่ โดยเฉพาะต้องไม่ลืมว่า...โดยศักยภาพของพวกนักรบกลุ่มนี้เท่าที่ผ่านมา ไม่ได้มือด้วน ตีนด้วน และไม่เคยคิดเอามือซุกหีบไว้เฉยๆ ขนาดเครื่องบินโดรน “US MQ-9” ราคาลำละไม่รู้จะกี่ต่อกี่ล้านดอลลาร์ ยังเคยถูก “สอย” ร่วงแล้ว-ร่วงเล่า ลำแล้ว-ลำเล่า เครื่องบินโจมตี “F/A-18” ที่เคยถูกส่งเข้าไปทิ้งระเบิดในเยเมนร่วมกับเครื่องบินอังกฤษ ก็เคยร่วงมาแล้วเมื่อช่วงเดือนธันวาฯ ปีที่แล้ว ส่วนจะเป็นเพราะเหตุที่ทางการสหรัฐฯ กล่าวอ้างว่าเป็น “Friendly Fire” หรือการยิงกันเอง หรือจะเป็นไปตามที่พวกนักรบ “Houthis” เขาได้ “สมรักษ์ คำสิงห์” ว่าเป็นฝีมือของพวกเขาเอง อันนั้น...คงต้องไปหาข้อสรุปกันเอาเอง แต่อย่างน้อย...การที่เรือบรรทุกเครื่องบินอเมริกา ไม่ว่า “USS Abraham Lincoln” หรือ “USS Truman” ต้องถอยกรูดไปตั้งหลักอยู่ห่างๆ จากเขตทะเลแดง ด้วยเหตุเพราะห่าจรวด ห่าขีปนาวุธที่พวกนักรบ “Houthis” พัฒนาขึ้นมาเอง ย่อมถือเป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดี ว่ามันคง “ไม่ง่าย” สักเท่าไหร่ในการเล่นงานบรรดากองกำลังเหล่านี้...

หรืออย่างที่ “พลเอกAbdullah bin Aer” แห่งกองพลทหารราบเยเมน เขาได้ออกมา “เตือนความจำ” ไว้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานั่นแหละว่า “10 ปีที่แล้ว...พวกพันธมิตรกลุ่มประเทศอ่าวเคยบอกว่าจะจัดการกับพวก Houthis ภายใน 2 สัปดาห์ แต่ผ่านมาเป็นเดือน เป็นปี จนถึงทุกวันนี้...นักรบเยเมนก็ไม่ได้อ่อนเปลี้ยลงไปแต่อย่างใด ส่วนคราวนี้ (การโจมตีของสหรัฐฯ) ก็คงไม่ต่างกันนั่นแหละ ที่พวกผู้รุกรานจะต้องผิดหวังครั้งแล้ว-ครั้งเล่า” การประกาศที่จะ “ยกระดับการตอบโต้” ต่อการ “ยกระดับการโจมตี” ของอเมริกา ด้วยการเล็งเป้าไปยังเรือบรรทุกเครื่องบิน “USS Eisenhower” และกองเรือบริวารโดยตรง ก็น่าจะทำให้กองทัพอเมริกาที่เคยแพ้ในเวียดนาม ในอัฟกานิสถาน น่าจะ “หนาวยะเยือก” ขึ้นมามั่งไม่มาก-ก็น้อย โดยเฉพาะเมื่อข่าวคราวการพัฒนาขีปนาวุธ “Hypersonic” ของพวกนักรบเยเมน ว่ากันว่า...สามารถยกระดับความเร็วได้ถึง Mach 8 ไปแล้วถึงขั้นนั้น...

ส่วนผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังบรรดาพวก “Iran-back” ทั้งหลาย อย่างอิหร่านนั้น...คงไม่ต้องเสียเวลาไปพูดกันเรื่องความก้าวล้ำ นำหน้า ในด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ ให้ต้องขนหัวลุก ขนคอตั้ง ยิ่งไปกว่านี้ เพราะเพียงแค่การจัดประชุมพบปะระหว่าง 3 รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศ 3 ประเทศ คือ “Ma Zhaoxu” ของจีน “Sergey Ryabkov” จากรัสเซีย และ “Kazem Gharibabadi” จากอิหร่าน ที่กรุงปักกิ่งเมื่อไม่กี่วันมานี้ ก็น่าจะถือเป็น “บทสรุป” ได้แล้วว่า ภายใต้โลกที่เป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ” ไปเรียบร้อยแล้ว การข่มขู่ว่าจะใช้กำลังทหาร การคิดร่วมโจมตีโครงการนิวเคลียร์อิหร่านของอเมริกาและอิสราเอล ย่อมหนีไม่พ้นต้องนำมาซึ่งการ “เผชิญหน้า” ระหว่าง “ขั้วอำนาจ” แต่ละขั้ว โดยเฉพาะเมื่อมหาอำนาจคู่แข่งอเมริกาอย่างจีนและรัสเซีย ได้ออกมาต่อต้าน คัดค้าน การข่มขู่ด้วยกำลังทหารต่ออิหร่านอย่างเป็นเอกภาพ ไม่งั้นโอกาสที่ “สงครามโลกครั้งที่ 3” อันเป็นสิ่งที่ “นักสันติภาพ” อย่าง “ทรัมป์บ้า” พยายามหลีกเลี่ยง อาจระเบิดเถิดเทิงขึ้นมาวันใด-วันหนึ่งจนได้!!!


กำลังโหลดความคิดเห็น