ด้วยเหตุเพราะโลกได้กลายเป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว...และภายใต้ “ภูมิรัฐศาสตร์” แบบใหม่ที่ทำท่าว่ากลุ่มประเทศมหาอำนาจ หรือขั้วอำนาจยุโรปอย่างอียู-อีย้วย กำลังจะกลายเป็น “อียับเยิน” อีกไม่ใกล้-ไม่ไกล เหมือนอย่างที่ “สี ทนได้” ผู้นำจีน หรือประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ท่านได้คาดการณ์เอาไว้เมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว อย่างชนิดแทบเป๊ะๆๆ!!! แต่สำหรับอภิมหาอำนาจสูงสุดแห่งโลกอย่างคุณพ่ออเมริกาที่คิดกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง กลับมาเป็น “America Great Again” ตามแนวคิด คำขวัญของ “ทรัมป์บ้า” แม้จะเป็นความยิ่งใหญ่แบบอาจต้องถอยหลังกลับไปสู่ยุคที่ยังไม่ได้คิดจะ “แบกโลก” ไว้บนบ่า หรือยังไม่ได้มีสถานะเป็นจ้าวโลก ประมุขโลก ดังที่เคยเป็นมา...แต่โอกาสที่ “ระบบเศรษฐกิจอเมริกาจะล่มสลาย” ตามที่ผู้นำจีนท่านเคยประมาณการไว้เมื่อช่วงปี ค.ศ.2016 จะมีสิทธิเป็นไปได้หรือไม่? อย่างไร? อันนี้นี่แหละ...ที่คงต้องยอมรับว่าออกจะน่าสนใจเอามากๆ และคงต้องขออนุญาตหยิบมาเป็นประเด็น เป็นหัวข้อแลกเปลี่ยนสนทนา ในช่วงเปิดฉากสัปดาห์นี้...
คืออาจด้วยเหตุเพราะช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา บรรดา “ตลาดหุ้นอเมริกา” ไม่ว่า Down Jones, S&P และ Nasdaq ต่างออกอาการหัวทิ่ม-หัวตำ ล้มคว่ำคะมำหงายกันไปเป็นแถบๆ มูลค่าการซื้อ-ขายร่วงลงมาตั้งแต่ 2.08 เปอร์เซ็นต์ 2.7 เปอร์เซ็นต์ และ 4 เปอร์เซ็นต์ ไปตามลำดับ ด้วยเหตุเพราะ “ความไม่แน่นอน” ของเศรษฐกิจอเมริกานั่นแหละเป็นสำคัญ ไม่ว่าการคิดจะใช้ “ภาษีศุลกากร” เป็นเครื่องมือ หรือเป็นอาวุธของผู้นำอเมริการายใหม่อย่าง “ทรัมป์บ้า” ประเคนเข้าใส่ใครต่อใครอย่างชนิดไม่เลือกหน้า ไม่ว่ามิตรหรือศัตรู จนก่อให้เกิดการ “ตอบโต้” ในระดับ “ดอกต่อดอก” ไม่ว่ามหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีน หรือประเทศบ้านใกล้เรือนเคียง อย่างเม็กซิโก แคนาดา ไปจนถึงพันธมิตรสองฟากฝั่งแอตแลนติก อย่างอียู-อีย้วย ฯลฯ ก็แล้วแต่...
หรือขณะที่ “ทรัมป์บ้า” กะจะใช้จังหวะยกตีนลูบหน้าทั้งอียูและแคนาดา ในเรื่องภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมหรือภาษีสุรากลั่น ฯลฯ ก็แล้วแต่ แต่บรรดาประเทศเหล่านี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีมือ-มีตีน หรือไม่ได้คิดจะ “ซุกตีนไว้ในหีบ” ซะเฉยๆ การตระเตรียมคิดจะขึ้นภาษีสินค้าเข้าจากอเมริกาของพวก “มวยรอง” ในแต่ละราย ไม่ว่าราวๆ 28,000 ล้านดอลลาร์ของยุโรป หรือ 20,700 ล้านดอลลาร์ของแคนาดาต่อสินค้าของอเมริกา ก็พอจะก่อให้เกิดความซี๊ดๆ ซ๊าดๆ ต่อบรรดาแฟนมวยอยู่มั่งไม่มาก-ก็น้อย หรือไม่ถึงกับเป็นการ “ชกที่ไม่สมศักดิ์ศรี” มากมายจนเกินไป ยิ่งเป็นเรื่องของภาษีสุรากลั่นด้วยแล้ว ต้องเรียกว่า...ดูไม่จืด!!! แทบไม่รู้ว่าหมัดใคร? เข่าใคร? ตีนใคร? จะหนักหน่วง รุนแรง หรือจะทำให้ฝ่ายตรงข้าม ทรุดลงไปกองกับเวทีผืนผ้าใบก่อนกัน???
คือขณะที่ชาติยุโรปพยายามตอบโต้ หักศอกเข้าใส่สินค้าอเมริกันไม่ว่าประเภทเหล้าวิสกี้ หรือเบอร์เบิน ฯลฯ ขึ้นไปถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้ “ทรัมป์บ้า” เกิดอาการฉุนขาด ต้องออกมาป่าวประกาศล้างแค้น-เอาคืน ด้วยการคิดจะขึ้นภาษีสินค้าประเภทไวน์ชนิดต่างๆ ของยุโรป ให้หนักหน่วงไปถึง 50 เปอร์เซ็นต์ หรือให้ต้องดิ้นเร่าๆ ในระดับ 200 เปอร์เซ็นต์โน่นเลย แต่แน่ล่ะว่า...ผู้ที่จะต้องเจ็บ ต้องปวดเป็นอันดับแรก ย่อมไม่ใช่ผู้นำอเมริกา หรือผู้นำอียู-อีย้วยแต่เพียงลำพัง เพราะขณะที่ “ตลาด” สินค้าวิสกี้ เบอร์เบิน ของอเมริกาในยุโรปจะมีอยู่ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ตามตัวเลขข้อมูลของ “Eurostat” เมื่อช่วงปี ค.ศ. 2023 แต่สินค้าประเภทไวน์สุรากลั่นของยุโรปในตลาดอเมริกา ก็มีอยู่ถึง 31 เปอร์เซ็นต์ และนั่นย่อมหมายถึงว่า...บรรดาพวกคอเหล้า หรือพวกขี้เหล้า-ขี้ยาทั้งหลายไม่ว่าในอเมริกาหรือยุโรป อาจต้องรีบเปลี่ยนรสนิยมหันไป “แ-ก” น้ำส้ม น้ำมะนาว กันแทนที่หรือไม่? อย่างไร? ก็ยังมิอาจสรุปได้...
พูดง่ายๆ ว่า...บรรดาอาวุธ หมัด-เท้า-เข่า-ศอก ของผู้นำแต่ละประเทศ ที่คิดหันมาใช้ “อัตราภาษีศุลกากร” ตอบโต้ไป-มาซึ่งกันและกัน ย่อมต้องก่อให้เกิดความเจ็บปวดรวดร้าวต่อบรรดา “ผู้บริโภค” ภายในประเทศต่างๆ เป็นอันดับแรกนั่นเอง หรือต้องควักเม็ดเงินภายในกระเป๋าตัวเอง ซื้อสินค้าแต่ละอย่างแบบแพงขึ้น-แพงขึ้น หรือระดับแพงหูฉี่ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ จนอาจนำไปสู่ภาวะ “เงินเฟ้อ” อย่างที่ CEO แห่งบริษัท “BlackRock” “นายLarry Fink” ต้องออกมาเตือนรัฐบาลอเมริกันเอาไว้ดังๆ ช่วงวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (16 มี.ค.) หรืออาจถึงขั้นส่งผลให้เศรษฐกิจอเมริกาต้องเจอกับ “ภาวะถดถอย” เอาง่ายๆ ดังที่หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ “JP Morgan” แห่งสิงคโปร์ “นายBruce Kasman” ได้ออกมาประมาณการไว้เมื่อช่วงวันพุธที่แล้ว (12 มี.ค.) ว่าโอกาสที่เศรษฐกิจอเมริกาจะต้องเจอกับภาวะถดถอย จากที่เคยคาดๆ ไว้ในช่วงต้นปีว่าอยู่ที่ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ มาถึงทุกวันนี้...น่าจะเพิ่มขึ้นไปไม่ต่ำกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ และเมื่อผลกระทบจากการขึ้นภาษีตอบโต้ไป-มา ระหว่างอเมริกากับบรรดาประเทศต่างๆ ปรากฏให้เห็นชัดๆ โอกาสที่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยของอเมริกาน่าจะพุ่งขึ้นไปถึง 50 เปอร์เซ็นต์ หรือมีสิทธิ์เจ๊ง-กับ-เจ๊ง ฉิบหาย-กับ-ฉิบหาย ในแบบครึ่งต่อครึ่ง เอาเลยถึงขั้นนั้น!!!
นี่...อันนี้นี่แหละที่ความพยายามที่จะทำให้ “America Great Again” ของ “ทรัมป์บ้า” ชักเริ่มหนักไปทาง “Dead Again” อย่างมิอาจปฏิเสธได้เลยแม้แต่น้อย เพราะแม้แต่ตัว “ทรัมป์บ้า” เอง ยังต้องพยายามหลีกเลี่ยงไม่คิดจะตอบคำถามผู้สื่อข่าวแบบตรงไป-ตรงมา โดยเฉพาะเมื่อถูกถามถึงความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจอเมริกาจะต้องเข้าสู่ “ภาวะถดถอย” ในอีกไม่นาน-ไม่ช้า โดยเลี่ยงไปใช้คำว่าอเมริกากำลังต้องเข้าสู่ “ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่าน” หรือ “period of transition” กันไปแทนที่ อันเป็นช่วงที่อาจต้องเจ็บ ต้องปวด อยู่มั่งเล็กๆ-น้อยๆ ก่อนที่จะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ดังที่ตัวเองและคณะรัฐบาลได้ตั้งความหวัง ความปรารถนาที่จะให้เป็นไปเช่นนั้น...
ไม่ว่าด้วยความพยายามที่จะ “ลดค่าใช้จ่าย” แบบที่คนสนิทอย่าง “Elon Musk” ต้องหันไปคว้า “เลื่อยไฟฟ้า” ออกมาเลื่อยใครต่อใครไปทั่วทั้งประเทศ จนสามารถลดค่าใช้จ่ายลงมาได้แล้ว 0.2 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับช่วงเดือนธันวาคมปี ค.ศ. 2024 ที่ผ่านมา หรือถึงขั้นคิดหาเงินมา “ใช้หนี้” ด้วยการ “ขายบัตรทองอเมริกา” ให้บรรดาอภิมหาเศรษฐีที่อยากเป็นพลเมืองอเมริกัน ใบละ 5 ล้านดอลลาร์ ให้ได้สัก 10 ล้านใบ เพื่อจะได้มีเงินไว้ใช้หนี้ประเทศที่พุ่งทะลุเพดาน ทะลุหลังคา ไปแล้วถึง 36.2 ล้านล้านดอลลาร์ ชนิดเลี่ยงไม่พ้นต้องหาทางรีไฟแนนซ์หนี้สินประเทศภายในปี ค.ศ. 2025 จำนวนถึง 9.2 ล้านล้านดอลลาร์เอาเลยถึงขั้นนั้น...
ด้วยลักษณะอาการเช่นนี้...โอกาสที่จะกลับมายิ่งใหญ่-ไม่ยิ่งใหญ่ของอเมริกา มันเลยกลายเป็น “ความไม่แน่นอน” อย่างเห็นได้โดยชัดเจน หรือออกไปทาง 50-50 ดังที่หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ “JP Morgan” ได้พูดถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอยของอเมริกานั่นแหละ อีกทั้งตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจปีนี้ ที่เคยประมาณการไว้ว่าอาจโตได้ประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ แต่มาถึงทุกวันนี้...ไม่ว่า “JP Morgan”, “Morgan Stanley” หรือ “Goldman Sachs” ต่างหันมาลดการประมาณการเศรษฐกิจอเมริกา เหลือแค่ 1.7 และ 1.5 เปอร์เซ็นต์ลงไปตามลำดับ และด้วย “ความไม่แน่นอน” นั่นเอง ที่มันมีความสำคัญเอามากๆ ต่อความล่มสลาย-ไม่ล่มสลายของเศรษฐกิจแบบทุนนิยมทั้งหลาย หรือทำให้การหันไปหา “สินทรัพย์” ที่มีความแน่นอน อย่างเช่น “ทองคำ” มันเลยระเบิดเถิดเทิงพุ่งขึ้นไปถึงระดับ 3,000 ดอลลลาร์ต่อออนซ์ เมื่อช่วงวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา (13 มี.ค.) เรียกว่า...ทำสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์เอาเลยถึงขั้นนั้น...
ภายใต้สภาพเช่นนี้...มันเลยทำให้คำพูด คำกล่าว ของผู้นำจีนเมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว ว่าด้วยความล่มสลายของระบบเศรษฐกิจอเมริกา จึงไม่ได้ถึงกับเป็นอะไรที่ “เกินเลย” ไปจากความจริง ข้อเท็จจริง ในห้วงระยะปัจจุบันแต่อย่างใด และอาจด้วยเหตุนี้หรือไม่? อย่างไร? ก็แล้วแต่จะคิด ที่ทำให้ “มหาอำนาจคู่แข่ง” หรือ “ขั้วอำนาจใหม่” อย่างจีนและรัสเซีย เขาเลยไม่ถึงกับให้ความสนใจต่อคำพูด คำขู่ ของ “ขั้วอำนาจเดิม” หรือของ “มหาอำนาจสูงสุด” อย่างอเมริกา ที่พยายามหันไปขู่พันธมิตรของจีนและรัสเซีย อย่างอิหร่าน ว่ามีอยู่เพียง 2 ทางเลือกเท่านั้นในการหาทางออก-ทางไปต่อโครงการนิวเคลียร์ในประเทศตัวเอง นั่นคือ...ถ้าหากไม่คิดจะเจรจากับอเมริกาก็อาจต้องเจอกับการใช้กำลังทหาร แต่ด้วยการประชุม พบปะของรัฐมนตรีช่วยต่างประเทศ 3 ประเทศ คือรัสเซีย จีน อิหร่าน ที่เพิ่ง “ซ้อมรบร่วม” ไปหมาดๆ ณ กรุงปักกิ่ง เมื่อช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา (14 มี.ค.) ได้ผลสรุปเป็นไปในแนวเดียวกัน ดังที่ “นายMa Zhaoxu” รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศจีนออกมาแถลงแบบเสียงดัง-ฟังชัดไปแล้วนั่นแหล่ะว่า ทั้ง 3 ประเทศเห็นพ้อง ต้องกัน ว่า นอกจากโครงการนิวเคลียร์โดยสันติของอิหร่านควร “ได้รับความเคารพอย่างเต็มที่” แล้ว ยังควรที่จะต้องยกเลิกการคว่ำบาตร การกดดัน หรือการข่มขู่ที่จะใช้กำลังต่ออิหร่าน นับตั้งแต่บัดนี้...
นี่...ภายใต้ “ภูมิรัฐศาสตร์ใหม่” หรือภายใต้สภาวะที่โลกทั้งโลก ได้กลายสภาพเป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โอกาสที่ขั้วอำนาจหนึ่ง-ขั้วอำนาจใด จะข่มขู่ คุกคาม ประเทศหนึ่ง-ประเทศใด มันคงไม่ง่ายเหมือนช่วงที่โลกทั้งโลกยังเป็น “โลกขั้วอำนาจเดียว” เหมือนดังแต่ก่อนอีกต่อไปแล้ว ยิ่งโดยเฉพาะเมื่อความคิดที่จะทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง มันยังหา “ความแน่นอน” ใดๆ แทบไม่ได้ ไม่รู้ว่าภาวะเศรษฐกิจอเมริกากำลังจะเข้าสู่ “ระยะเปลี่ยนผ่าน” หรือ “period of transition” อย่างที่ “ทรัมป์บ้า” พยายามปลุกปลอบใจบรรดาอเมริกันชนให้พยายามอดทนต่อไปอีกนิดๆ หน่อยๆ หรือกำลังเข้าสู่ “ระยะแห่งการล่มสลาย” ดังที่ผู้นำจีน ประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ท่านได้ประมาณการเอาไว้เมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว????