หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ
การเมืองไทยแยกจากทักษิณ ชินวัตรไม่ได้ และทักษิณเป็นส่วนหนึ่งของการเมืองอย่างเปิดเผย ทักษิณแสดงตัวอย่างชัดแจ้งว่า เป็นผู้มีบทบาทเหนือรัฐบาลชุดนี้ เป็นผู้มีอิทธิพลตัวจริงที่สามารถกำหนดชะตากรรมของบ้านเมืองและจะนำพาประเทศไทยไปไหนก็ได้ และเป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริงที่มีอำนาจสั่งการอยู่เบื้องหลัง
เพราะถ้าถามว่าใครเป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริงระหว่างทักษิณและแพทองธารใครก็ต้องชี้นิ้วไปที่ทักษิณทั้งนั้น อาจจะบอกว่า แพทองธารเป็นนายกรัฐมนตรีที่ถูกกฎหมาย แต่คนที่คิดและลงมือทำและมีอำนาจสั่งการก็คือ ทักษิณนั่นเอง
เป็นครั้งแรกของประเทศไทยก็ได้ที่นายกรัฐมนตรีกลายเป็นเพียงหุ่นเชิดอย่างชัดแจ้ง แม้แต่ในสมัยนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ก็ยังไม่แจ่มชัดขนาดนี้ แม้ว่าตอนนั้นจะประกาศอย่างเปิดเผยว่า ทักษิณคิดยิ่งลักษณ์ทำ แต่สภาพความจริงยิ่งลักษณ์ก็ยังรักษาทรงว่าเป็นนายกรัฐมนตรีที่เป็นตัวของตัวเองอยู่บ้างแม้จะสะท้อนความรู้ความสามารถที่ต่ำออกมา ต่างกับยุคนี้ที่นายกรัฐมนตรีแพทองธารที่ถูกตั้งคำถามถึงสติปัญญาและความสามารถเช่นเดียวกันแต่เป็นเพียงหุ่นเชิดที่เล่นไปตามบทบาทที่พ่อกำหนดให้เล่นเท่านั้นเอง
ดังนั้นการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลแพทองธารจึงไม่อาจจะหลีกเลี่ยงจากทักษิณได้ไม่ว่าจะใส่ชื่อของทักษิณไว้ในญัตติไม่ไว้วางใจหรือไม่ คนทั้งประเทศเห็นว่า ทักษิณเป็นคนที่มีบทบาทเหนือรัฐบาล เหนือพรรคเพื่อไทย เช่นเดียวกับเนวิน ชิดชอบที่มีบทบาทเหนือพรรคภูมิใจไทย มีแต่กกต.ซึ่งมีอำนาจตามกฎหมายเท่านั้นที่ไม่รู้ว่าทั้งสองคนนี้เป็นคนนอกที่มีอำนาจเหนือพรรคซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องห้ามตามกฎหมาย
การสวมบทบาทที่ปรึกษาประธานอาเซียนของทักษิณนั้นสะท้อนว่า ทักษิณพยายามแสดงบทบาทให้เห็นว่าตัวเขานั้นจะรับบทเป็นตัวแทนของประเทศไทยในระดับภูมิภาค เพื่อเล่นบทบาทนี้แทนลูกสาวของตัวเอง เพราะรู้ดีว่า นายกรัฐมนตรีที่ต้องพึ่งพาไอแพดและพี่เลี้ยงนั้น ไม่มีความรู้ความสามารถที่จะเล่นบทบาทในระดับนี้ได้ แม้อาจต้องเข้าประชุมที่มีผู้นำระดับอาเซียนชาติอื่นเข้าร่วมในทางพิธีการก็ตาม แต่เมื่อเทียบกับผู้นำประเทศอื่นแพทองธารก็เป็นได้เพียงแต่เครื่องประดับประกอบการประชุมเท่านั้นเอง
ดังนั้น การพบกันระหว่างผู้บงการพรรคการเมืองทั้งสอง ทักษิณกับเนวิน และหุ่นเชิดอย่างแพทองธาร อนุทิน ชาญวีรกุล เพื่อเคลียร์ความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาล จึงพิสูจน์ว่าทั้งทักษิณและเนวินเป็นผู้มีบทบาทในพรรคร่วมรัฐบาลและเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลที่จะต้องถูกพาดพิงถึงในทางการเมือง และเมื่อพรรคฝ่ายค้านเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจโดยพุ่งเป้าไปที่แพทองธารก็ย่อมจะต้องกล่าวถึงทักษิณเป็นธรรมดา
เพราะทักษิณก็คือเจ้าของพรรคเพื่อไทยในทางพฤตินัยเช่นเดียวกับเนวินที่เป็นเจ้าของพรรคภูมิใจ พรรคการเมืองไทยจึงไม่ใช่พรรคมวลชนแต่เป็นพรรคที่มีเจ้าของเหมือนกับเป็นสมบัติส่วนตัวหรือธุรกิจของครอบครัวที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นหรือสืบทอดกันทางสายเลือด
แต่แม้ว่าทั้งสองพรรคจะดูขัดแย้งกัน แต่ความจริงแล้วสถานการณ์การเมืองปัจจุบันนั้นทำให้ทั้งสองพรรคไม่อาจจะแยกจากกันได้ ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล เพราะการเมืองไทยทุกวันนี้ถูกบีบให้พรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคในขณะนี้ต้องจับมือกัน เพื่อสกัดกั้นไม่ให้พรรคส้มเข้ามามีอำนาจรัฐ เพราะเป็นพรรคที่เป็นอันตรายต่อระบอบรูปแบบและอุดมการณ์ของรัฐ
ดังนั้นที่มีการปล่อยข่าวว่าทักษิณจะขับพรรคภูมิใจไทยออกจากพรรคร่วมรัฐบาลและดึงพรรคประชาชนเข้ามาจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะทักษิณรู้ว่าภารกิจของเขาที่ได้กลับประเทศและไม่ต้องติดคุกแม้แต่วันเดียวนั้นมีอะไรที่เขาจะต้องทำเพื่อแลกกับดีลที่ได้มาบ้าง ข่าวนี้จึงเป็นข่าวที่ไม่เป็นความจริง
แม้ทักษิณกับธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจซึ่งเป็นเจ้าของพรรคประชาชนเหมือนกันจะเคยพบกันที่ฮ่องกงมาก่อน ธนาธรย่อมรู้ดีว่าทำไมทักษิณจึงต้องนำพรรคเพื่อไทยตระบัดสัตย์ข้ามขั้วมาจับมือกับพรรคฝ่ายอนุรักษนิยมเพื่อจัดตั้งรัฐบาล จนทำให้ปัญญาชนที่อ้างว่าตัวเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตยแค้นเคือง
และเชื่อว่าจริงๆ แล้วพรรคส้มก็ไม่โง่ที่จะเข้าร่วมรัฐบาลในตอนนี้ เพราะถ้าเข้าร่วมรัฐบาลเมื่อไหร่ก็เหมือนกับการกระทำอัตตวิบาตกรรมทางการเมือง เพราะพวกเขามีความมุ่งหมายที่มากกว่าการเป็นส่วนหนึ่งของพรรคร่วมรัฐบาล และยังฝันว่า จะชนะเลือกตั้งจัดตั้งรัฐบาลด้วยพรรคเดียวในอนาคตและได้เห็นฟ้าสีทองผ่องอำไพ
แม้ในความเป็นจริงแล้วมีโอกาสเป็นไปได้มากที่พรรคส้มของธนาธรจะต้องเป็นฝ่ายค้านตลอดไป ถ้ายังไม่เปลี่ยนนโยบายและจุดยืนของพรรคที่ท้าทายต่อสถาบันกษัตริย์ หากจะได้อำนาจรัฐมาครองนั่นหมายความว่า ประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยที่จะให้ประเทศเปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนเดิมให้พรรคส้มเข้ามาเป็นรัฐบาล โดยการชนะเลือกตั้งได้เสียงข้างมาก ซึ่งเป็นไปได้ยากมาก เพราะประชาชนส่วนใหญ่ยังมีความยึดมั่นในสถาบันหลักของชาติ และพรรคส้มยิ่งนานวันก็ยิ่งอ่อนล้าจากการเผชิญกับการต่อต้านและขวากหนามทางกฎหมายจนถูกยุบมาแล้วสองพรรค
การเมืองไทยจึงไม่มีวันถอยออกจากขั้วการเมืองพรรคร่วมรัฐบาลที่จับมือกันอยู่ในตอนนี้ เพราะทุกพรรครู้กันว่ามีภารกิจที่จะต้องจับมือกันเพื่อต่อต้านพรรคส้มเข้ามายึดครองอำนาจรัฐ และทำให้ทักษิณไม่สามารถถอยออกจากการเมืองไทยได้ แม้จะมีหลานหลายคนรอคอยเขาอยู่ที่บ้านก็ตาม เพราะเขาเคยบอกว่าจะกลับประเทศมาเลี้ยงหลาน
ในทางการเมืองไทยทักษิณจึงไม่ใช่คนนอก แต่เป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริงที่มีลูกสาวของตัวเองเป็นหุ่นเชิด เป็นผู้มีอำนาจตัวจริงที่คอยขับเคลื่อนรัฐบาล จะบอกว่าทักษิณชักใยอยู่หลังฉากก็อาจจะไม่ถูกต้องนัก เพราะทักษิณแสดงออกให้สาธารณะชนรับรู้อย่างเปิดเผยหรือชักใยอยู่เบื้องหน้าเพราะเขาเป็นผู้มีอำนาจตัวจริงที่จะกำหนดบทบาทของรัฐบาลชุดนี้และนำพาประเทศไทยไปทางไหน
การกลับมามีอำนาจของทักษิณในการเมืองไทยนั้น ทำให้เราเห็นว่า ทักษิณยังคงเป็นทักษิณคนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงจากอดีตในวันที่เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อสองทศวรรษก่อน ที่เมื่อมีอำนาจแล้วก็ใช้อำนาจอย่างไม่บันยะบันยัง ทักษิณไม่ได้เกรงกลัวว่าใครจะมองว่าตัวเองนั้นมีอำนาจเหนือรัฐบาลและผู้สั่งการและกำหนดนโยบายให้รัฐบาลชุดนี้ แต่กลับต้องการให้เห็นและตอกย้ำให้สังคมรับรู้ไปเลยว่า ตัวเองยังเป็นคนที่มีอำนาจและกลับมามีอำนาจในประเทศนี้อีกครั้ง แถมยังพยายามทำให้ดูเหมือนว่าตัวเองได้รับฉันทานุมัติมาในฐานะข้าแผ่นดิน
ทักษิณแสดงให้เห็นว่า แม้ตัวเองจะหลบหนีไปต่างประเทศ 17 ปี แต่วันนี้ตัวเองยังมีอำนาจเหมือนเก่า และแสดงให้เห็นบทบาทที่ยิ่งใหญ่ของตัวเองเพื่อลบปมด้อยที่ถูกตัดสินให้จำคุกและสารภาพว่าทุจริตฉ้อฉลและชดเชยกับสิ่งที่ตัวเองได้หายไปจากประเทศนี้หลายปีว่าตอนนี้กลับมาแล้วและมีอำนาจยิ่งกว่าเก่า
วันนี้ทักษิณใหญ่มาก เห็นได้ชัดว่า ทักษิณไม่สนใจที่ใครจะมองว่า เขาป่วยทิพย์เพื่อเลี่ยงเข้าไปติดคุกและนอนอยู่ในโรงพยาบาลตำรวจจนได้รับการพักโทษ และน่าจะมั่นใจว่า การสอบสวนที่ดำเนินอยู่ในปปช.นั้น คงไม่สามารถระคายเคืองอะไรกับตัวเอง เช่นเดียวกับการที่มีผู้ยื่นต่อศาลฎีกาว่า การเอื้อประโยชน์ให้ทักษิณไม่ต้องอยู่ในเรือนจำของกรมราชทัณฑ์นั้นอาจจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย และจะต้องให้ทักษิณกลับไปเริ่มนับหนึ่งรับโทษใหม่ เพราะเหมือนกับไม่เคยได้รับโทษตามคำพิพากษามาก่อน
การอภิปรายไม่ไว้วางใจแพทองธาร จึงหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงทักษิณไม่ได้ เหมือนกับที่สุทธิชัย หยุ่นที่นิยมพรรคประชาชนบอกว่า ทักษิณเป็นช้างในห้อง(Elephant in the room) ที่ทุกคนเห็นกันอยู่ แต่จะแกล้งไม่เห็นช้างหรือหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงทักษิณได้อย่างไร
วันนี้ประเทศไทยฝากชะตากรรมไว้ในมือทักษิณอีกครั้ง ความเชื่อที่ว่าเขามีดีลที่จะกอบกู้ประเทศไทยให้รอดพ้นจากกระแสของความเปลี่ยนแปลงที่ท้าทายระบอบและอุดมการณ์ของรัฐอาจทำให้เขาคิดว่าตัวเองมีอำนาจยิ่งใหญ่กว่าใครในประเทศนี้ เมื่อทุกคนต้องวิ่งหาเขาและกลายเป็นศูนย์กลางของอำนาจตัวจริง เหมือนลืมไปว่า นี่คือคนที่ฉ้อฉลทุจริตคดโกงแผ่นดิน และเอื้อประโยชน์ให้ตัวเองที่ศาลเคยตัดสินให้จำคุกและยึดทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดินมาแล้ว
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan