ในความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน “เผด็จการที่มีความเข้มแข็งเด็ดขาด ซื่อสัตย์ สุจริต เสียสละ ทำเพื่อประเทศชาติและประชาชนโดยรวม ย่อมดีกว่าประชาธิปไตยที่อ่อนแอ ทุจริต คอร์รัปชัน เห็นแก่ตัวทำเพื่อตัวเอง และพวกพ้อง” เกี่ยวกับประเด็นนี้ จีนในยุคของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ซึ่งโลกตะวันตกมองว่าเป็นเผด็จการ เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด
ถ้าท่านผู้อ่านดูภาพยนตร์จีน ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับจีนโบราณหรืออ่านประวัติศาสตร์จีนก่อนที่จีนเปลี่ยนการปกครองมาเป็นสังคมนิยม โดยยึดแนวทางของมาร์กซิสต์ก็จะพบว่า ประเทศจีนเต็มไปด้วยการฉ้อราษฎร์บังหลวงของเหล่าขุนนางกังฉิน โกงกินประเทศโดยไม่คำนึงถึงความทุกข์ ความเดือดร้อนของประชาชนคนยากไร้ และนี่เองคือสาเหตุประการหนึ่งที่ทำให้เกิดการปฏิวัติและเปลี่ยนมาเป็นคอมมิวนิสต์
แม้กระทั่งเป็นคอมมิวนิสต์แล้วการทุจริต คอร์รัปชันก็ยังมีอยู่ แต่ด้วยความเข้มแข็งในการปราบปรามการทุจริต คอร์รัปชัน ก็ค่อยลดลง โดยเฉพาะนับตั้งแต่ยุคของเติ้ง เสี่ยวผิง ซึ่งปกครองประเทศภายใต้นโยบายปฏิรูป และเปิดประเทศ นับตั้งแต่ปี 1978 เป็นต้นมา ทำให้ประเทศเจริญก้าวหน้า โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจและสังคม
แต่ที่ทำให้ประเทศจีนเจริญก้าวหน้าในทุกด้าน และล้ำหน้าประเทศตะวันตกก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับสองของโลก และทำให้ปัญหาความยากจนลดลง และการทุจริต คอร์รัปชันได้รับการแก้ไขโดยการปราบปรามอย่างจริงจัง เห็นจะได้แก่ยุคของสี จิ้นผิง จะเห็นได้จากการที่ผู้กระทำผิดในข้อหาทุจริตถูกจับกุมดำเนินคดี ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต และประหารชีวิตหลายราย จนทำให้มิจฉาชีพหนีออกนอกประเทศไปอาศัยประเทศเพื่อนบ้านเช่น เมียนมา ลาว เขมร และไทย ถึงแม้จะอาศัยประเทศเขาอยู่บรรดาจีนเทาเหล่านี้ก็ไม่ทิ้งนิสัยเดิม ครั้นอยู่นานเข้าและคบค้ากับเจ้าหน้าที่ของประเทศนั้นๆ ได้ ก็ทำมิจฉาชีพอย่างเดิม มีทั้งบ่อนการพนัน ค้ามนุษย์ ยาเสพติด แต่ที่ก่อความเดือดร้อนมากที่สุดก็คือ ตั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงคนจีนด้วยกัน และหลอกแม้กระทั่งคนในประเทศที่ตนได้เข้ามาอาศัยอยู่ และนี่เองที่รัฐบาลจีนภายใต้การนำของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้ส่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงมาดำเนินการจับกุม และนำคนจีนกลับประเทศเพื่อดำเนินคดีและลงโทษไปแล้วหลายราย
ล่าสุดทางการจีนได้ส่งนายหลิว จงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคง พร้อมคณะมายังประเทศไทยเพื่อดำเนินการให้ความช่วยเหลือชาวจีนที่ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงไปทำงาน และจับกุมตัวการแก๊งคอลเซ็นเตอร์นำตัวกลับไปดำเนินคดีในประเทศจีน
ในการมาครั้งนี้ หลิว จงอี้ ได้มาพร้อมกับข้อมูลเกี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์และเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยที่เกี่ยวข้องกับแก๊งนี้ เพื่อให้ทางไทยทราบและยื่นข้อเสนอให้ไทยตัดน้ำ ตัดไฟ และงดส่งน้ำมันไปยังสถานประกอบการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เมียวดีประเทศเมียนมา ซึ่งอยู่ติดกับชายแดนไทยด้าน อ.แม่สอด จ.ตาก พร้อมกับให้ดำเนินการจับกุมแก๊งนี้แล้วส่งกลับประเทศจีน
เกี่ยวกับเรื่องนี้ทางรัฐบาลไทยได้ดำเนินการตัดน้ำ ตัดไฟและงดส่งน้ำมันเรียบร้อยแล้ว พร้อมกันนี้ได้ทำการทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไปแล้วหลายจุดตามที่ปรากฏเป็นข่าว
ถึงแม้ว่าทางรัฐบาลไทยได้ให้ความร่วมมือในการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อันเป็นอาชญากรข้ามชาติไปแล้ว แต่ก็ทำให้เกิดข้อกังขาว่า ถ้าทางการจีนไม่ลงมือปราบอย่างจริงจัง ทางการไทยจะดำเนินการปราบแก๊งนี้อย่างจริงจังหรือไม่ ทั้งนี้อนุมานจากเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้
1. แก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้ก่อความเดือดร้อนให้แก่ผู้คนในสังคม ทั้งที่เป็นคนจีนและคนไทยมานาน และมีผู้เสียหายได้แจ้งความเป็นจำนวนมาก แต่ไม่ปรากฏว่าทางการไทยได้ดำเนินการปราบอย่างจริงจังก่อนหน้าที่ทางการจีนจะเข้ามาดำเนินการ
2. สถานที่ตั้งของแก๊งนี้อาศัยเครื่องอำนวยความสะดวก น้ำ ไฟ และสัญญาณอินเทอร์เน็ตจากไทย แต่ทำไมฝ่ายความมั่นคงของไทยไม่ดำเนินการตัดน้ำ ตัดไฟ และสัญญาณอินเทอร์เน็ตก่อนที่จีนจะมายื่นข้อเสนอ
จากเหตุปัจจัย 2 ข้อข้างต้น อนุมานได้ว่าเจ้าหน้าที่ไทยส่วนหนึ่งเข้าไปเกี่ยวข้องและได้รับผลประโยชน์จากแก๊งนี้ จึงทำให้มองเห็นความแตกต่างของผู้นำที่เข้มแข็งและอ่อนแอได้ชัดเจน