xs
xsm
sm
md
lg

ตามพรลิงค์ : สมาพันธรัฐที่โลกลืม ตอน ปาหังในยุคอิสระ : บรรณาการสมัยจักรพรรดิหมิงไท่จู่

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ดร.เกียรติกำจร มีขนอน


จักรพรรดิหมิงไท่จู่ แห่งราชวงศ์หมิง (ภาพจาก zh.wikipedia.org)
โดย ดร.เกียรติกำจร มีขนอน

ประมาณพุทธศตวรรษที่ 20 ปาหังเริ่มขยายอิทธิพลไปทางใต้ของแหลมมลายูหลังจากเป็นอิสระจากมัชปาหิต มานูเอล กอดิญญู่ ดึ อึแรเดีย นักประวัติศาสตร์ชาวโปรตุเกสเรียกปาหังว่า เปา (Pão) เป็นหนึ่งเป็น 1 ใน 2 เมืองในแหลมมลายูที่เจริญขึ้นมารองจากปัตตานี โดยกษัตริย์มีคำนำหน้าว่ามหาราชาและปกครองไปถึงอุหยงตะนะ (ทูมาสิก) และเจริญมาก่อนการตั้งมะละกา [Erédia 1881; Linehan 1973: 6-7] ปาหังถูกบันทึกเป็นเผิง-เหิง (彭亨) ในหมิงสื่อลู่ (明實錄) เป็นครั้งแรกในปีพ.ศ.1921 ในซิ่งฉาเซิ่งหลั่น ของเฟยซิ่น (พ.ศ.1979) แต่ชาวอาหรับและยุโรปมักเรียกเมืองนี้ว่า ปัม ปัน พัง ปาฮวน พาหัง [Jacq-Hergoualc'h 2002: 101-102] แผนที่เม่าคุ้นในอู๋เป่ยจื้อในพุทธศตวรรษที่ 22 คัดลอกจากแผนที่เดินเรือของเจิ้งเหอในพุทธศตวรรษที่ 20 แสดงปากแม่น้ำปาหัง (彭杭港), เกาะสิริบวท (石礁) และเกาะเตียวมัน (苧麻山) หมิงสือกล่าวว่าปาหังมีดินอุดมสมบูรณ์ อากาศอบอุ่นตลอดปีและมีข้าวมาก ประชาชนต้มน้ำทะเลทำเกลือและใช้น้ำตาลจากจั่นมะพร้าวทำเหล้า ชนชั้นสูงและชั้นล่างมีความใกล้ชิดกันและไม่มีขโมย แต่เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่นภูตผีปีศาจโดยแกะสลักรูปภูติผีปีศาจจากไม้หอมแล้วใช้คนบูชายัญเพื่อป้องกันภัยธรรมชาติหรือความสงบสุข สินค้าส่งออกหรือบรรณาการ มีงาช้าง การบูร พริกไทย หวาย ชะนีในภาษาไทยใช้เป็นชื่อภูเขา ทะเลสาบและลำธาร [Linehan 1973]

พงศาวดารหมิงสือและหมิงสือลู่บันทึกเรื่องคณะทูตจากปาหังหลายครั้งในระหว่างพุทธศตวรรษที่ 19-20 [กรมศิลปากร พ.ศ.2564; Linehan 1973: 5; MSL, Wade 2005a; Watanabe 1975: 343] เอาไว้ดังนี้

29 ธันวาคม พ.ศ.1921 มหาราชาตาเจา (馬哈剌惹答饒 หม่า-ฮา-ล่า-เร่อ-ต่า-เร่า) ส่งเสนาบดีชื่อ 淡罔麻都 ตั้น-หวัง-หมา-ตู้มากับบรรณาการคือพระราชสาส์นบนแผ่นทองคำ ทาส 6 คน พริกไทย 2000 จิน ไม้ฝาง 4000 จิน เครื่องหอมและสมุนไพรอื่น เช่น ไม้จันทน์ กำยานและการบูรซึ่งเป็นสินค้าพื้นเมืองมาถวาย (...) จักรรพรรดิหมิงไท่จงพระราชทานผ้าไหมลายละเอียด ผ้าไหมม้วนปักดิ้นทองและผ้าอื่นๆให้กับกษัตริย์ปาหังและอีกประเทศหนึ่งที่ส่งทูตมา [Wade 2004a: 66; Watanabe 1975: 343]

11 พฤษภาคม พ.ศ.1937 มีการแก้ไขพิธีการทูตให้กระชับสำหรับทูตจากศรีวิชัยและปาหัง 2 ประเทศจาก 17 ประเทศที่อยู่ในรายชื่อ [MSL, Wade 2005a; Watanabe 1975: 343]

18 กันยายน พ.ศ.1940 กรมพิธีการทูตได้รายงานว่าทูตและพ่อค้าวานิชจากต่างแดนไม่ค่อยเข้ามาที่จีนนักจึงทรงมีพระราชวินิจฉัยว่า “นับตั้งแต่รัชศกหงอู่ ชนต่างชาติทั้งหลายได้เข้ามาติดต่อกับจีน คณะทูตและพ่อค้าวานิชเดินทางเข้ามาไม่ขาดสาย ชนชาติต่างๆทั้งหมด 30 ชนชาติ อาทิ เช่น อันหนาน (ไดเวียด) จามปา กัมพูชา กรุงศรีอยุธยา ริวกิว ศรีวิชัย บรูไน ปาหัง ไป่หัว สมุทรา-ปาไซ ซีหยางและเบงกอลได้ส่งทูตมาไม่ขาด ศรีวิชัยฉวยโอกาสที่หูเหว่ยหย่งทำตนเป็นกบฏล่อลวงทูตของเรา (ไปฆ่า) ที่นั่น กษัตริย์ชวา (ฮายัม วูรุคแห่งมัชปาหิต) ทางทราบเรื่องจึงตำหนิศรีวิชัย (มลายูปุระ) และให้คุ้มกันคณะทูตจีนกลับประเทศ (ความจริงคือมัชปาหิตดักจับทูตจากจีนที่ส่งตราตั้งและคำหับไปให้ศรีวิชัยแล้วเอาไปฆ่า จากหวงหมิงสือฝ่าลู่และหมิงสือ) หลังเหตุการณ์ครั้งนี้คณะทูตและพ่อค้าได้หยุดเข้ามา เราไม่ได้รับข่าวคราวจากกษัตริย์ชาติต่างๆมีแต่ไดเวียด จามปา กัมพูชา กรุงศรีอยุธยาและริวกิวที่ยังส่งทูตเข้ามาถวายบรรณาการ กษัตริย์และขุนนางของริวกิวส่งลูกหลานมาเรียนที่ราชสำนักหมิง ทูตต่างชาติทั้งหมดได้รับการรับรองอย่างดีเมื่อถวายเครื่องราชบรรณาการ เราไม่ได้ขาดความเมตตากรุณากับทูตต่างชาติ แต่เราไม่รู้ความในใจของพวกเขาเหล่านั้น บัดนี้เราจะส่งทูตไปชวา (มัชปาหิต) แต่กลัวศรีวิชัยขัดขวาง เราได้ยินมาว่าศรีวิชัยขึ้นกับมัชปาหิต ให้พวกท่านในกรมพิธีการส่งพระราชสาส์นไปตักเตือนมัชปาหิตผ่านกรุงศรีอยุธยา (...) ถ้าจักรพรรดิส่งพิโรธ พระองค์สามารถส่งทหารไปทางเรือหนึ่งแสนนายข้าทะเลไปลงโทษ (...)” [กรมศิลปากร พ.ศ.2564: 33-34; Watanabe 1975: 343]

จากหมิงสือลู่ตอนนี้ได้บันทึกว่าปาหังได้ส่งบรรณาการต่อเนื่องมาราชสำนักหมิงตั้งแต่ปีพ.ศ.1921 ซึ่งชาติที่ส่งบรรณาการเหล่านี้นี้ทางการจีนถือว่ามีสถานะเท่าเทียมกัน จึงเป็นหลักฐานที่บ่งบอกว่าปาหังเป็นอิสระจากทั้งมัชปาหิตและกรุงศรีอยุธยามาตั้งแต่ปีพ.ศ.1921 ต่างจากที่บันทึกไว้ในบทกวีนครเขตร์คาม พ.ศ.1908 ที่ยังคงเป็นเมืองขึ้นของมัชปาหิตอยู่แต่หมิงฮุ่ยเย่าและหวงหมิงสือฝ่าลู่บอกว่ามัชปาหิตผนวกเมืองในเกาะสุมาตราหลายแห่งในปีพ.ศ.1397 หมิงสือลู่บันทึกว่าศรีวิชัยดักจับทูตจีนแต่หวงหมิงสือฝ่าลู่และหมิงสือบอกว่ามัชปาหิตดักจับทูตจีนเป็นความไม่ลงรอยของเอกสารจีน จักรพรรดิหมิงไท่จู่กล่าวในพระราชสาส์นที่ฝากผ่านกรุงศรีอยุธยาให้ส่งทูตไปแจ้งมัชปาหิตเพื่อให้จัดการกับศรีวิชัยโดยบอกว่าจีนสามารถส่งทหาร 1 แสนนายไปจัดการได้ [กรมศิลปากร พ.ศ.2564: 33-34; Wolters 1970] แต่ยุคนั้นมัชปาหิตกำลังเรืองอำนาจถึงขีดสุดมีกองทัพเรือที่เหนือกว่าจีนมาก ราชสำนักหมิงเกรงกลัวกองทัพเรือของมัชปาหิตมาก จักรพรรดิหมิงไท่จู่จึงได้แต่ขู่แต่ไม่กล้าตอบโต้แม้ว่ามัชปาหิตจะจับทูตราชสำนักหมิงไปฆ่าก็ตาม

เอกสารอ้างอิง

กรมศิลปากร (2564). ความสัมพันธ์ไทย-จีนจากเอกสารสมัยหยวน หมิง ชิง. กรุงเทพ: กรมศิลปากร.

Erédia, M. Godinho de. 1881. Declaração de Malaca e Índia Meridional Com o Catay. In III Tratados, de Emanuel [Sic] Godinho de Erédia. Bruxelas (Brussels).

Jacq-Hergoualc'h, M. (2002). The Malay Peninsula: Crossroads of the Maritime Silkroad: 100BC-1300AD. (V. Hobson, Trans.) Leiden: E.J.Brill.

Linehan, W. (1973). History of Pahang. MBRAS.

Wade, G. (2004a). From Chaiya to Pahang: The Eastern Seaboard of the Peninsula as Recorded in Classical Chinese Texts. In D. Perret, A. Sisuchat, & T. Sombun, Études sur l'histoire du sultanat de Patani (pp. 37-78). Paris: EFEO.

Wade, G. (2005a). Southeast Asia in the Ming Shilu: An Open Access Resource [E-Press]. Asia Research Institute and the Singapore E-Press. https://epress.nus.edu.sg/msl.

Watanabe, H. (1975). An Index of Embassies and Tribute Missions from Islamic Countries to Ming China (1368-1466) as Record in the Ming Shih-Lu: Classified According to Geographical Area. Memoirs of the Research Department of the Toyo Bunko, 33, 285–347.

Wolters, O. W. (1970). The Fall of Srivijaya in Malay History. Cornell University Press.



กำลังโหลดความคิดเห็น