โดย ดร.เกียรติกำจร มีขนอน
ประมาณพุทธศตวรรษที่ 20 ปาหังเริ่มขยายอิทธิพลไปทางใต้ของแหลมมลายูหลังจากเป็นอิสระจากมัชปาหิต มานูเอล กอดิญญู่ ดึ อึแรเดีย นักประวัติศาสตร์ชาวโปรตุเกสเรียกปาหังว่า เปา (Pão) เป็นหนึ่งเป็น 1 ใน 2 เมืองในแหลมมลายูที่เจริญขึ้นมารองจากปัตตานี โดยกษัตริย์มีคำนำหน้าว่ามหาราชาและปกครองไปถึงอุหยงตะนะ (ทูมาสิก) และเจริญมาก่อนการตั้งมะละกา [Erédia 1881; Linehan 1973: 6-7] ปาหังถูกบันทึกเป็นเผิง-เหิง (彭亨) ในหมิงสื่อลู่ (明實錄) เป็นครั้งแรกในปีพ.ศ.1921 ในซิ่งฉาเซิ่งหลั่น ของเฟยซิ่น (พ.ศ.1979) แต่ชาวอาหรับและยุโรปมักเรียกเมืองนี้ว่า ปัม ปัน พัง ปาฮวน พาหัง [Jacq-Hergoualc'h 2002: 101-102] แผนที่เม่าคุ้นในอู๋เป่ยจื้อในพุทธศตวรรษที่ 22 คัดลอกจากแผนที่เดินเรือของเจิ้งเหอในพุทธศตวรรษที่ 20 แสดงปากแม่น้ำปาหัง (彭杭港), เกาะสิริบวท (石礁) และเกาะเตียวมัน (苧麻山) หมิงสือกล่าวว่าปาหังมีดินอุดมสมบูรณ์ อากาศอบอุ่นตลอดปีและมีข้าวมาก ประชาชนต้มน้ำทะเลทำเกลือและใช้น้ำตาลจากจั่นมะพร้าวทำเหล้า ชนชั้นสูงและชั้นล่างมีความใกล้ชิดกันและไม่มีขโมย แต่เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่นภูตผีปีศาจโดยแกะสลักรูปภูติผีปีศาจจากไม้หอมแล้วใช้คนบูชายัญเพื่อป้องกันภัยธรรมชาติหรือความสงบสุข สินค้าส่งออกหรือบรรณาการ มีงาช้าง การบูร พริกไทย หวาย ชะนีในภาษาไทยใช้เป็นชื่อภูเขา ทะเลสาบและลำธาร [Linehan 1973]
พงศาวดารหมิงสือและหมิงสือลู่บันทึกเรื่องคณะทูตจากปาหังหลายครั้งในระหว่างพุทธศตวรรษที่ 19-20 [กรมศิลปากร พ.ศ.2564; Linehan 1973: 5; MSL, Wade 2005a; Watanabe 1975: 343] เอาไว้ดังนี้
29 ธันวาคม พ.ศ.1921 มหาราชาตาเจา (馬哈剌惹答饒 หม่า-ฮา-ล่า-เร่อ-ต่า-เร่า) ส่งเสนาบดีชื่อ 淡罔麻都 ตั้น-หวัง-หมา-ตู้มากับบรรณาการคือพระราชสาส์นบนแผ่นทองคำ ทาส 6 คน พริกไทย 2000 จิน ไม้ฝาง 4000 จิน เครื่องหอมและสมุนไพรอื่น เช่น ไม้จันทน์ กำยานและการบูรซึ่งเป็นสินค้าพื้นเมืองมาถวาย (...) จักรรพรรดิหมิงไท่จงพระราชทานผ้าไหมลายละเอียด ผ้าไหมม้วนปักดิ้นทองและผ้าอื่นๆให้กับกษัตริย์ปาหังและอีกประเทศหนึ่งที่ส่งทูตมา [Wade 2004a: 66; Watanabe 1975: 343]
11 พฤษภาคม พ.ศ.1937 มีการแก้ไขพิธีการทูตให้กระชับสำหรับทูตจากศรีวิชัยและปาหัง 2 ประเทศจาก 17 ประเทศที่อยู่ในรายชื่อ [MSL, Wade 2005a; Watanabe 1975: 343]
18 กันยายน พ.ศ.1940 กรมพิธีการทูตได้รายงานว่าทูตและพ่อค้าวานิชจากต่างแดนไม่ค่อยเข้ามาที่จีนนักจึงทรงมีพระราชวินิจฉัยว่า “นับตั้งแต่รัชศกหงอู่ ชนต่างชาติทั้งหลายได้เข้ามาติดต่อกับจีน คณะทูตและพ่อค้าวานิชเดินทางเข้ามาไม่ขาดสาย ชนชาติต่างๆทั้งหมด 30 ชนชาติ อาทิ เช่น อันหนาน (ไดเวียด) จามปา กัมพูชา กรุงศรีอยุธยา ริวกิว ศรีวิชัย บรูไน ปาหัง ไป่หัว สมุทรา-ปาไซ ซีหยางและเบงกอลได้ส่งทูตมาไม่ขาด ศรีวิชัยฉวยโอกาสที่หูเหว่ยหย่งทำตนเป็นกบฏล่อลวงทูตของเรา (ไปฆ่า) ที่นั่น กษัตริย์ชวา (ฮายัม วูรุคแห่งมัชปาหิต) ทางทราบเรื่องจึงตำหนิศรีวิชัย (มลายูปุระ) และให้คุ้มกันคณะทูตจีนกลับประเทศ (ความจริงคือมัชปาหิตดักจับทูตจากจีนที่ส่งตราตั้งและคำหับไปให้ศรีวิชัยแล้วเอาไปฆ่า จากหวงหมิงสือฝ่าลู่และหมิงสือ) หลังเหตุการณ์ครั้งนี้คณะทูตและพ่อค้าได้หยุดเข้ามา เราไม่ได้รับข่าวคราวจากกษัตริย์ชาติต่างๆมีแต่ไดเวียด จามปา กัมพูชา กรุงศรีอยุธยาและริวกิวที่ยังส่งทูตเข้ามาถวายบรรณาการ กษัตริย์และขุนนางของริวกิวส่งลูกหลานมาเรียนที่ราชสำนักหมิง ทูตต่างชาติทั้งหมดได้รับการรับรองอย่างดีเมื่อถวายเครื่องราชบรรณาการ เราไม่ได้ขาดความเมตตากรุณากับทูตต่างชาติ แต่เราไม่รู้ความในใจของพวกเขาเหล่านั้น บัดนี้เราจะส่งทูตไปชวา (มัชปาหิต) แต่กลัวศรีวิชัยขัดขวาง เราได้ยินมาว่าศรีวิชัยขึ้นกับมัชปาหิต ให้พวกท่านในกรมพิธีการส่งพระราชสาส์นไปตักเตือนมัชปาหิตผ่านกรุงศรีอยุธยา (...) ถ้าจักรพรรดิส่งพิโรธ พระองค์สามารถส่งทหารไปทางเรือหนึ่งแสนนายข้าทะเลไปลงโทษ (...)” [กรมศิลปากร พ.ศ.2564: 33-34; Watanabe 1975: 343]
จากหมิงสือลู่ตอนนี้ได้บันทึกว่าปาหังได้ส่งบรรณาการต่อเนื่องมาราชสำนักหมิงตั้งแต่ปีพ.ศ.1921 ซึ่งชาติที่ส่งบรรณาการเหล่านี้นี้ทางการจีนถือว่ามีสถานะเท่าเทียมกัน จึงเป็นหลักฐานที่บ่งบอกว่าปาหังเป็นอิสระจากทั้งมัชปาหิตและกรุงศรีอยุธยามาตั้งแต่ปีพ.ศ.1921 ต่างจากที่บันทึกไว้ในบทกวีนครเขตร์คาม พ.ศ.1908 ที่ยังคงเป็นเมืองขึ้นของมัชปาหิตอยู่แต่หมิงฮุ่ยเย่าและหวงหมิงสือฝ่าลู่บอกว่ามัชปาหิตผนวกเมืองในเกาะสุมาตราหลายแห่งในปีพ.ศ.1397 หมิงสือลู่บันทึกว่าศรีวิชัยดักจับทูตจีนแต่หวงหมิงสือฝ่าลู่และหมิงสือบอกว่ามัชปาหิตดักจับทูตจีนเป็นความไม่ลงรอยของเอกสารจีน จักรพรรดิหมิงไท่จู่กล่าวในพระราชสาส์นที่ฝากผ่านกรุงศรีอยุธยาให้ส่งทูตไปแจ้งมัชปาหิตเพื่อให้จัดการกับศรีวิชัยโดยบอกว่าจีนสามารถส่งทหาร 1 แสนนายไปจัดการได้ [กรมศิลปากร พ.ศ.2564: 33-34; Wolters 1970] แต่ยุคนั้นมัชปาหิตกำลังเรืองอำนาจถึงขีดสุดมีกองทัพเรือที่เหนือกว่าจีนมาก ราชสำนักหมิงเกรงกลัวกองทัพเรือของมัชปาหิตมาก จักรพรรดิหมิงไท่จู่จึงได้แต่ขู่แต่ไม่กล้าตอบโต้แม้ว่ามัชปาหิตจะจับทูตราชสำนักหมิงไปฆ่าก็ตาม
เอกสารอ้างอิง
กรมศิลปากร (2564). ความสัมพันธ์ไทย-จีนจากเอกสารสมัยหยวน หมิง ชิง. กรุงเทพ: กรมศิลปากร.
Erédia, M. Godinho de. 1881. Declaração de Malaca e Índia Meridional Com o Catay. In III Tratados, de Emanuel [Sic] Godinho de Erédia. Bruxelas (Brussels).
Jacq-Hergoualc'h, M. (2002). The Malay Peninsula: Crossroads of the Maritime Silkroad: 100BC-1300AD. (V. Hobson, Trans.) Leiden: E.J.Brill.
Linehan, W. (1973). History of Pahang. MBRAS.
Wade, G. (2004a). From Chaiya to Pahang: The Eastern Seaboard of the Peninsula as Recorded in Classical Chinese Texts. In D. Perret, A. Sisuchat, & T. Sombun, Études sur l'histoire du sultanat de Patani (pp. 37-78). Paris: EFEO.
Wade, G. (2005a). Southeast Asia in the Ming Shilu: An Open Access Resource [E-Press]. Asia Research Institute and the Singapore E-Press. https://epress.nus.edu.sg/msl.
Watanabe, H. (1975). An Index of Embassies and Tribute Missions from Islamic Countries to Ming China (1368-1466) as Record in the Ming Shih-Lu: Classified According to Geographical Area. Memoirs of the Research Department of the Toyo Bunko, 33, 285–347.
Wolters, O. W. (1970). The Fall of Srivijaya in Malay History. Cornell University Press.