เห็นความพยายามที่จะปรับลดงบประมาณ ลดค่าใช้จ่ายต่างๆ ของหน่วยงานราชการสหรัฐฯ หรือจะเรียกว่าการ “ปฏิรูประบบราชการ” ของอเมริกาก็น่าจะได้ โดยบทบาท หน้าที่ ของกระทรวงที่ได้รับการจัดตั้งขึ้นมาใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับรัฐบาล หรือ “The Department of Government Efficiency” ที่เรียกกันย่อๆ ว่า “DODGE” ภายใต้การกำกับดูแลของ “นายElon Musk” คนสนิทของ “ทรัมป์บ้า” แล้ว ต้องเรียกว่า...น่าขนหัวลุก ขนคอตั้ง อย่างมิอาจปฏิเสธได้เลยแม้แต่น้อย...
คือคล้ายๆ ประเภท “ฆาตกรโรคจิต” ในหนังฮอลลีวูดที่ชอบคว้า “เลื่อยไฟฟ้า” ออกไปเลื่อยใครต่อใคร จนรายการตลกวันเสาร์ของทีวีอเมริกา (Saturday Night Live) ต้องเอาไปเหน็บแนม ด้วยการใช้ตัวแสดงเป็น “นายElon Musk” ถือเลื่อยไฟฟ้าแกว่งไป-แกว่งมาอยู่ข้างหลัง “ทรัมป์บ้า” เอาเลยถึงขั้นนั้นเรียกว่า...ออกไปทางดุเดือดเลือดพล่าน หนักหน่วง รุนแรง ชนิดข้าราชการอเมริกันที่มีอยู่ประมาณ 2.3 ล้านคน ถูก “ไล่ออก” ไปแล้วถึง 100,000 คน ส่วนที่เหลืออยู่ก็ถูกส่งอี-เมลให้ต้องรายงานผลงานความสำเร็จอย่างน้อย 5 อย่างในแต่ละรอบสัปดาห์ ไม่งั้น...อาจถูกไล่ออกอีกเป็นกระบิๆ เอาเลยก็ไม่แน่!!! เพราะด้วยความหวัง ความปรารถนา ที่จะเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบราชการอันตั้งอยู่บนพื้นฐานที่จะ “ลดค่าใช้จ่าย” ลดงบประมาณของประเทศลงไปให้ได้ไม่น้อยกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ เอาเลยถึงขั้นนั้น ทั้งนั้น ทั้งนี้...ก็เพื่อหวังที่จะให้ประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่งอย่าง “America” ที่ออกจะเสื่อมโทรม ทรุดโทรมลงไปทุกที กลับมา “Great Again” พ้นไปจากปัญหาหนี้สิน และปัญหาต่างๆ ภายในประเทศให้จงได้นั่นเอง!!!
อันนี้นี่แหละ...ที่น่าหยิบเอามาเป็นข้อคิด สะกิดใจ เป็น “อุทาหรณ์” เตือนใจ สำหรับแม้แต่ประเทศ “หญ้าแพรก” อย่างประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา ที่มีข้าราชการหรือ “กำลังคนภาครัฐ” อยู่ประมาณ 3 ล้านคน แม้จะมีจำนวนประชากรเพียงแค่ 71 ล้านคน น้อยกว่าประชากรอเมริกาที่มีอยู่ถึง 340 ล้านคน ที่ก็เคยพยายาม “ปฏิรูป” อะไรต่อมิอะไรนับไม่รู้กี่ต่อกี่ทศวรรษมาแล้ว แต่ก็ยังหนักไปทาง “ปฏิรูด” มาโดยตลอด หรือยังไม่คิดจะไปไหนต่อไปไหน กระทั่งการ “ปฏิรูปตำรวจ” ครั้งล่าสุด ที่หันไปอาศัยอาจารย์ “มีชัย ฤชุพันธุ์” และ “Elon Musk” ฉบับไทยๆ หรือคนสนิทอย่างคุณพี่ “คำนูณ สิทธิสมาน” เป็นหัวหอกเจาะทะลวงเพื่อหวังจะเกิดการปฏิรูปให้จงได้ แต่จะเป็นเพราะไม่ได้คิดจะถือ “เลื่อยไฟฟ้า” หันมาถือ “ดอกไม้ให้คุณ” กันแทนที่หรือไม่? อย่างไร? ก็มิอาจสรุปได้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็เลยยังคงต้อง “รูดไป-รูดมา” จนตราบเท่าทุกวันนี้...
อย่างไรก็ตาม...ขณะ “Elon Musk” หันมาคว้าเลื่อยไฟฟ้า หรือมุ่งที่จะใช้ “พระเดช” ลูกเดียว โดยไม่เกรงหน้าอินทร์-หน้าพรหมหรือหน้าไหนๆ แต่ถ้าเทียบกับประเทศที่ไม่ได้เป็น “ประชาธิปไตย” หรือประเทศ “ทุนนิยมเผด็จการ” อย่างประเทศจีนที่ถือเป็น “มหาอำนาจคู่แข่ง” ของอเมริกาแล้ว ก็น่าจะพอเห็นความแตกต่างในความพยายามเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบบริหาร ระบบการเมือง-การปกครอง ของทั้งสองฝ่ายอย่างเห็นได้โดยชัดเจน เพราะถึงจีนเขาจะไม่ได้เป็น “ประชาธิปไตย” มีระบอบการเมือง-การปกครองที่แตกต่างไปจากอเมริกาแบบคนละเรื่อง-คนละม้วน แต่ก็ด้วยเหตุเพราะยังมี “อุดมการณ์ขั้นพื้นฐาน” ของ “พรรคคอมมิวนิสต์” เป็นเครื่องมือ อันเป็นสิ่งที่ผู้นำจีนอย่างประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ท่านพยายามตอกย้ำเอาไว้ครั้งแล้ว ครั้งเล่า หรือกระทั่งครั้งล่าสุดที่ระบุไว้ว่า “การรับใช้ประชาชน” คือ “หน้าที่ขั้นแรกและขั้นพื้นฐาน” ของบรรดาชาวคอมมิวนิสต์มาตั้งแต่เริ่มแรก...
ดังนั้น...แม้จะถูกพิษภัยของ “ทุนนิยม” สร้างแรงกระตุ้น แรงปรารถนา ให้เกิดการ “ทุจริตประพฤติมิชอบ” ในหมู่ข้าราชการตั้งแต่ระดับ “แมลงวัน” ไปจนถึงระดับ “มังกร” ก็ตามที แต่ก็ด้วยการอาศัย “พระเดช” แบบไม่ไว้หน้าไหนๆ ควบคู่ไปกับการอาศัย “พระคุณ” หรือความเหนียวแน่นในอุดมการณ์แห่งความเป็นพรรคคอมมิวนิสต์นั่นเอง โอกาสที่จะเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ที่เป็นตัวลดทอนประสิทธิภาพของระบบราชการ จึงทำให้สามารถ “ก้าวผ่าน” ขั้นตอนแห่งการ “ปฏิรูป” โดยไม่ถึงกับต้องถือเลื่อยไฟฟ้าออกไปหั่นศพใครต่อใครแบบหนังสยองขวัญฮอลลีวูดมากมายเกินไปนัก...
ส่วน “มหาอำนาจคู่แข่ง” อีกราย อย่างรัสเซียนั้น...อาจเป็นเพราะความเจ็บปวดรวดร้าว จากความล่มสลายของ “โลกสังคมนิยม” ที่ทำให้ประเทศแตกออกไปเป็นชิ้นเล็ก ชิ้นน้อยกว่า 10 ประเทศ ส่งผลให้บรรดาผู้ซึ่งเคยถูกหล่อหลอมมาจาก “อุดมการณ์คอมมิวนิสต์” ตั้งแต่ระดับตีนยังเท่าฝาหอย อย่างเช่น “อดีตเคจีบี” ผู้มีนามกรว่า “วลาดิมีร์ ปูติน” เลยพยายามแปรสภาพความเจ็บปวดรวดร้าว ทำนองนี้ ให้กลายเป็น “ความรักชาติ” ที่ไม่ต่างอะไรไปจาก “อุดมการณ์” ชนิดหนึ่ง อันมี “ผลประโยชน์แห่งชาติ” หรือประโยชน์ของชาวรัสเซียโดยส่วนใหญ่เป็นตัวตั้ง ถึงขั้นที่ผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ยังอดไม่ได้ที่จะต้องแสดงความยอมรับ ว่าผู้นำรัสเซียรายนี้แตกต่างไปจากผู้นำอีกหลายต่อหลายประเทศ ไม่ว่าในยุโรปหรือกระทั่งยูเครน ก็ด้วยเหตุเพราะสิ่งที่เรียกว่า “ความรักชาติ” นั่นเอง...
อันนี้นี่เอง...ที่ทำให้เกิดการ “ปฏิรูป” ขึ้นมาในประเทศรัสเซีย หลังยุคอดีตประธานาธิบดี “บอริส เยลต์ชิน” เป็นต้นมาเกิดการซื้อ การควบรวมกิจการ “รัฐวิสาหกิจ” สำคัญๆ ของประเทศ กลับคืนจากพวกนายทุนรัสเซียที่นิยมตะวันตกเกิดการจับกุมคุมขังพวก “รัสเซียเทา” หรือพวก “มาเฟีย” ทั้งหลาย ไม่ว่าในแวดวงการเมือง-ธุรกิจ จนทำให้นโยบายและการบังคับใช้มาตรการต่างๆ ของรัฐ เป็นไปด้วยความคล่องแคล่ว คล่องตัว จนสามารถฟื้นคืน “ความยิ่งใหญ่” หรือทำให้ “Russia Great Again” ขึ้นมาอีกครั้งจนได้ส่งผลให้โรค “Russophobia” หรือโรคกลัวรัสเซียเลยแพร่ระบาดไปทั่วทั้งยุโรป และยิ่งเมื่อมหาอำนาจอย่างอเมริกาที่เคยใช้ยุโรปเป็น “พรมเช็ดเท้า” มาโดยตลอด พยายามหันไปแก้ไข “ปัญหาภายในประเทศ” ตัวเองเป็นอันดับแรก จนทำให้เกิดการพลิกเปลี่ยนนโยบายต่างประเทศแบบชนิด “พลิกหลังตีนเป็นหน้ามือ” เล่นเอานักการทูตระดับแนวหน้าของอียู-อีย้วย อย่าง “นางKaja Kallas” ต้องออกมาฟูมฟาย โวยวาย ถึงขั้นว่า... “วันนี้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า โลกเสรีต้องการผู้นำรายใหม่” อดีตประธานาธิบดีและรองเลขาธิการสภาความมั่นคงรัสเซียอย่าง “นายDmitry Medvedev” ท่านเลยได้จังหวะนำเสนอไอเดียบรรเจิดด้วยการเสนอว่าผู้ที่เหมาะสมจะเป็น “ผู้นำโลกเสรี” รายใหม่ ย่อมไม่ใช่ใครที่หนวย แต่คือประธานาธิบดี “ปูติน” แห่งรัสเซีย รายนี้...นี่เอง!!!
นี่...เอาเป็นว่าไม่ว่าความเป็นไปของโลกมันจะออกมาในรูปไหน ต่อรูปไหน แต่การฟื้นคืนการดำรงรักษาความยิ่งใหญ่ ความแข็งแกร่งแห่งความเป็นชาติ เป็นประเทศทั้งหลายโดยทั่วไปแล้ว คงหนีไม่พ้นต้องอาศัยทั้ง “พระเดช” และ “พระคุณ” อย่างเหมาะสม สอดคล้อง กับสภาพความเป็นไปทางประวัติศาสตร์และสังคมของแต่ละประเทศนั่นเอง ถึงจะทำให้สิ่งต่างๆ เหล่านี้มีโอกาสเป็นไปได้ เป็นจริง-เป็นจัง และไม่ถึงกับน่าขนลุกขนพอง น่าสยดสยอง แบบหนังสยองขวัญฮอลลีวูดมากมายจนเกินไป ส่วนประเทศ “หญ้าแพรก” อย่างไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาแม้จะได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่อุดมไปด้วย “พระคุณ” มากมายมหาศาล จนถือเป็นลักษณะพิเศษ ลักษณะเฉพาะที่ต่างไปจากประเทศอื่นๆ ชนิดผู้คนต่างชาติ ต่างภาษา ถึงกับถือเป็นความ “มหัศจรรย์” หรือ “Amazing Thailand” เอาเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะ “พระคุณ” หรือ “พระบารมี” ขององค์พระมหากษัตริย์ ดังเช่น “ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๙” ฯลฯ เป็นต้น...
แต่ก็นั่นแหละ...ด้วยเหตุที่มักจะอาศัย “พระคุณ” จนไม่ได้หลงเหลือ “พระเดช” ใดๆ อีกต่อไป อะไรต่อมิอะไรมันเลยถูกแปรสภาพให้กลายไปเป็น “ระบบอุปถัมภ์” กันไปแทนที่ เมื่อต้องเจอกับความลดน้อยถอยลง หรือความเสื่อมประสิทธิภาพของ “ระบบข้าราชการ” และ “กลไกราชการ” จนทำให้ไม่ว่ารัฐบาลไหนต่อรัฐบาลไหน ไม่ว่าโกง-ไม่โกง สุจริต-ทุจริต ประชาธิปไตย-ไม่ประชาธิปไตย เผด็จการขิงอ่อน-ขิงแก่หน่อมแน้ม-ไม่หน่อมแน้ม ฯลฯ ต่างหนีไม่พ้นต้องเจอกับอุปสรรคต่อการดำเนินนโยบาย หรือการบังคับใช้มาตรการต่างๆ ส่งผลให้มีแต่ต้อง “เจ๊ง-กับ-เจ๊ง” ไม่ว่าเร็วหรือช้ากันไปเป็นรายๆ แม้แต่รัฐบาล “พ่อคิด-ลูกทำ” ของคุณหลาน “อุ๊งอิ๊งค์” ก็ยังหนีไม่พ้นใกล้จะไปแหล่-มิไปแหล่ ชนิดเผลอๆ...อาจต้องโอนคดี “สว.” ไปให้ “หลิว จงอี้” แทนที่จะโอนให้ “DSI” เอาเลยก็ไม่แน่!!!
อันนี้นี่แหละ...ที่น่าจะถือเป็น “อุทาหรณ์สอนใจ” ที่น่าจะมีค่าเอามากๆ หรือมากกว่าการที่จะมั่วไป-มั่วมาในเรื่องความเป็นประชาธิปไตย-ไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะไม่ว่าประเทศประชาธิปไตยอย่างอเมริกา คอมมิวนิสต์อย่างจีน หรือประเทศมาเฟียอย่างรัสเซีย สิ่งที่ถือเป็น “อุปสรรค” ขัดขวางต่อความยิ่งใหญ่ของแต่ละประเทศ เอาไป-เอามาแล้ว...ก็คือประสิทธิภาพของระบบราชการ หรือกลไกราชการ อันเป็น “เครื่องมือ” ที่สำคัญเอามากๆ ต่อระบบและระบอบต่างๆ นั่นเอง ที่จะต้องเพียรพยายามหาทาง “ปฏิรูป” ไม่ว่าจะด้วย “พระเดช” หรือ “พระคุณ” ใดๆ ก็แล้วแต่...