xs
xsm
sm
md
lg

พื้นที่ ผู้คนและ ชายขอบ “โลกก้าวขึ้น แต่ ชายขอบ อยู่เหมือนเดิม”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ศุภกิตติ์ พันธุ์นานุกูล

ศุภกิตติ์ พันธุ์นานุกูล

โลกาภิวัฒน์ หรือ Globalization อาจมิใช่โลกที่ขยายกว้างขึ้น และ มิใช่โลกที่ไร้พื้นที่พรมแดนจริงๆ แต่หากคือจุดศูนย์กลางของมนุษย์ที่ขยายตัวกว้างขึ้น และพรมแดนแบบทางกายภาพก็ยังคงมีอยู่สืบต่อไป หากแต่ว่า โลกที่ไร้-พรมแดนนั้น ใช้จำกัดความหรือนิยามของชีวิตผู้คนในโลกยุคสมัยใหม่ที่เทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามามีบทบาทต่อผู้คนในสังคม ทำให้เกิดมิติทางสังคมที่หลากหลายมากขึ้น การที่มนุษย์เราจะเดินทางไป-มาหาสู่ ข้ามทวีป ข้ามภูมิภาค หรือรับรู้ข้อมูลข่าวสารของอีกภูมิภาคหนึ่งที่มีเขตเวลาไม่ตรงกัน ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ง่ายดาย แต่อย่างไรก็ตาม มนุษย์เราก็ยังสามารถรับรู้ความต้องการ เรื่องราว ความเชื่อ การแลกเปลี่ยนอัตลักษณ์ข้ามวัฒนธรรม รวมทั้งสามารถตัดสินใจหรือกระทำตอบสนองต่อความต้องการได้อย่างรวดเร็วและเท่าทัน ปรากฎการณ์ “โลกไร้พรมแดน” จึงเป็นคำที่ใครทุกคนพูดจนติดหูและถูกใช้พูดถึงโลกยุคสมัยใหม่หรือนำมาขยายความของ โลกาภิวัฒน์อีกที ตราบใดที่มนุษย์เรายังอาศัยอยู่บนสังคมที่มีมิติกว้างขึ้นถึงกว้างมาก มีความซับซ้อนในการปฏิสัมพันธ์กับผู้คนในสังคมอย่างแพร่หลายขึ้น การเชื่อมต่อคนกับคนเข้าหากันจึงแสดงออกให้เห็นในบริบทของการเชื่อมต่อภูมิภาคเข้าหากัน เมื่อภูมิภาคกับภูมิภาค เดินทางข้ามไป-มาอย่างสะดวกมากขึ้น โลกในยุคใหม่จึงมีอิทธิพลอย่างมากต่อการเปลี่ยนแปลงพลวัตทางสังคม ดังนั้นเราสามารถอธิบายได้ว่า หากการเชื่อมต่อคนกับคนหรือภูมิภาคเข้าหากันเป็นประโยชน์ต่อผู้คนในสังคมอย่างมหาศาล แต่เมืองชายแดน หรือพื้นที่ชายขอบซึ่งเป็นเมืองด่านหน้าก่อนที่จะเข้าสู่เมืองรองหรือเมืองหลวง ทำไมถึงตกเป็นจำเลยหรือปัญหาทางสังคมเหมือนในทุกวันนี้ ?




เส้นแบ่งเขตดินแดนสามารถแบ่งพื้นทางภูมิศาสตร์รวมทั้งสามารถกำหนดได้โดยผู้มีอำนาจของรัฐๆนั้น ผู้สร้างกรอบหรือกำหนดเงื่อนไข แต่หากว่า อารยธรรมการข้ามไปข้ามมาของผู้คนนั้นมีแต่ก่อนการกำเนิดคำว่า รัฐชาติ แผ่นดินอาณาเขตบริเวณ แล้วเราจะสามารถรับรู้ได้อย่างไรว่าหมุดหรือพื้นที่เขตแดนนี้ได้กำหนดพื้นที่ทางพรมแดนของรัฐเอาไว้ ในเมื่อวิวัฒนาการของการสร้างเขตแดนพึ่งถูกกำหนดโดยระบบโลกในรัฐสมัยใหม่ หรือเส้นแบ่งเขตดินแดนจะเป็นเพียงแค่สิ่งที่มนุษย์เราคิดหรือกำหนดขึ้นมาเอง คำถามนี้จึงทำให้ต้องศึกษาและวางประเด็นไปยังพื้นที่เมืองชายแดนให้มากขึ้น เนื่องจากพื้นที่เมืองชายแดนหากยังไม่ดีพอ ก็สามารถทำให้เกิดแผลหรือผลกระทบทางสังคมในประเด็นอื่นๆอีกตามมา ภายหลังจากที่ผู้เขีียนเองเชื่อว่าควรที่จักเหมาะสมถึงเวลาสำหรับการตั้งสมมติฐานที่จะทำให้พื้นที่เมืองชายแดนมีความเจริญขึ้น ซึ่งอาจมีนัยความสำคัญอย่างยิ่งต่อคุณค่าของคนในพื้นที่ชุมชนเองและผลกระทบต่อสังคมในมุมกว้างก็จะเริ่มดีขึ้นตามไปด้วย ซึ่งที่ผ่านมา รัฐมักจะใช้วิธีการทูต เพื่อการเจราจา หรือลงนามในสัญญาข้อตกลงต่าง ๆ เช่น อนุสัญญา หรือข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือเพื่อรักษาความเป็นเอกภาพในรอยต่อเขตแดน หรือสนธิสัญญาเขตแดน เพื่อกำหนด หลักเขตแดน แสดงพื้นที่หรือสิทธิในเขตอาณานั้น ๆ (Bounderies Treaty) ปัญหาของวิธีการแบบนี้ มักจะตามด้วยเงื่อนไขที่ไม่บริสุทธ์ เช่น รัฐกับรัฐจะต้องแลกมาด้วยซึ่งผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่ว่าจะเป็น การเปิดเสรีข้ามพรมแดน มักจะตามมาด้วยปัญหาแอบลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย ค้ามนุษย์ หรือการลักลอบขนยาเสพติด เป็นต้น ดังนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่รัฐเขาไปโอบอุ้มกระทำตามแผนนโยบายที่วางไว้และวาดฝันในสิ่งที่สวยหรู นั่นอาจไม่ใช่คำตอบของการพัฒนาพื้นที่ที่มีความยั่งยืนโดยเฉพาะเมืองชายแดนที่มีความป้ายเตือนสำหรับยาสูบเปราะบางสูง

ป้ายเตือนสำหรับยาสูบ
หลังจากนี้ จะเป็นสิ่งที่ผู้เขียนเองได้ศึกษาถึงปัญหาและประเด็นทางสังคมหรือเศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดน โดยในข้อสรุปการศึกษาประเด็นได้มุ่งเน้นประเด็นไปยังพื้นที่อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ซึ่งมีพื้นที่พรมแดนติดกับ เมืองห้วยทรายแขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว โดยมีแม่น้ำโขงใช้เป็นเส้นแบ่งเขตแดนเนื่องจากสภาพแวดล้อมของเมืองเชียงของในปัจจุบัน สถาณการณ์ทางเศรษฐกิจฐานรากของเมืองไม่ค่อยมีอัตราการเติบโตในทางที่ดีนัก เนื่องจากภาวะนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ต้องการทำให้เมืองเชียงของกลายเป็นศูนย์กลางการขนส่งโลจิสติกส์ทางบก ในระดับภูมิภาค ถึงแม้ปัญหานี้ตามมาด้วยที่รัฐกำหนดพื้นที่เพื่อยึดเขตป่าชุมชนเพื่อก่อสร้างโครงการสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 4 ให้เสร็จสิ้นภายในปี พ.ศ.2558 เพื่อใช้เป็นด่านถาวร และจุดประทับลงตราวีซ่าเพื่อเดินทางเข้าออก สปป.ลาว ซึ่งก่อนหน้านี้ การเดินทางเข้าออก สปป.ลาว จะต้องใช้ท่าเรือบัค (Bak Ferry Terminal) ประเภทเรือข้ามฟากบรรทุกรถยนต์บริเวณเชียงของเมืองเก่า เมื่อสะพานมิตรภาพฯเสร็จสิ้น ท่าเรือแห่งนี้จึงได้ปิดตัวลง ทำให้เส้นทางสัญจรผ่านเชียงของเมืองเก่าจำเป็นต้องปิดตัวลง (ณ ที่นี้ผู้เขียนจะใช้คำว่าเชียงของเมืองเก่าคือเมืองและชุมชนที่อยู่มาตั้งแต่เดิม มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจชุมชนที่เกี่ยวข้องกับการข้ามฝากไป-มาระหว่างเมืองห้วยทราย สปป.ลาว ก่อนที่รัฐจะนิยามและให้สร้างเขตเมืองใหม่บนพื้นที่ใกล้กับสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 4 จะเรียกที่แห่งนี้ว่าเชียงของเมืองใหม่) ซึ่งรายได้จากการค้าร้านอาหาร รวมทั้งอาชีพชาวบ้านถูกปิดกิจการลงไปด้วยภายในบริเวณเชียงของเมืองเก่า ทำให้เกิดผลกระทบทางสภาวะสังคมและชุมชนตามมา รวมถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมอันเป็นสิ่งที่สำคัญของการใช้ทรัพยากรอันมีค่าในแม่น้ำโขงอีกด้วย เนื่องจากโครงการสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 4 จะเป็นเส้นทางการขนส่งต่อไปยังถนนสาย 3RA เพื่อเชื่อมต่อกับชายแดนเมืองคุณหมิงของประเทศจีน รถบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่ที่เดินทางจากจีน มายังเมืองเชียงของก็จะไม่ได้พักรถยังชุมชนเมืองเชียงของเก่า รายได้จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจชุมชนก่อนหน้านี้ก็สูญหายไปด้วย

ซึ่งผลกระทบนี้ ก็มิอาจทำให้ความเป็นชุมชนเมืองเชียงของไร้ความเข้มแข็ง หากแต่วิกฤติทำให้ความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นกับชุมชน ชาวบ้านรวมตัวกันเป็นเครื่องข่ายเพื่อสร้างโอกาสในวิกฤติ ไม่ว่าจะเป็นภารกิจ ปกป้องและพิทักษ์ทรัพยากรในแม่น้ำโขงเพื่อเกิดความยั่งยืนให้คนรุ่นถัดไปยังมีแหล่งน้ำเอาไว้ใช้ เราเรียกว่า “กลุ่มรักษ์เชียงของ” ซึ่งอีกเช่นเคยที่ผ่านมามีความพยายามที่จะสร้างโครงการเพื่อทำลายทรัพยากรในลุ่มแม่น้ำโขง เช่น โครงการระเบิดแก่งกลางแม่น้ำโขง โครงการสร้างเขื่อนปากแบง เป็นต้น ผลกระทบจะสะท้อนกับระบบนิเวศโดยตรงไม่ว่าจะเป็น พันธุ์ปลาบึกที่สูญพันธุ์ การปล่อยสารเคมีหรือของเสียลงแหล่งน้ำ ซึ่งการที่ชุมชนรวมกันเป็นหนึ่งเดียวปกป้องและคัดค้านโครงการต่างๆ ไม่ใช่เพียงแค่ชุมชนต้องการเรียกร้องเพียงชั่วคราว แต่เขาต้องการดำรงทรัพยากรเหล่านี้เอาไว้ใช้ชั่วลูกชั่วหลาน มิฉะนั้นในวันข้างหน้า ลูกหลานอาจจะตั้งคำถามหรือพูดว่า “ทำไมที่ผ่านมาเขาใช้โลกไม่เพื่อเราเลย” เป็นที่แน่นอนว่าสิ่งที่ กลุ่มรักษ์เชียงของ ชุมชนติดชายขอบกระทำพิทักษ์สิทธิเป็นสิ่งที่ควรอย่างยิ่ง และพวกเราเองในฐานะมนุษย์ก็ควรตระหนักถึงประโยชน์ของชุมชนตนเองให้มากขึ้น ในชุมชนเราเองนั้นอาจจะมีสิ่งที่เป็นประโยชน์รออยู่ก็เป็นไปได้




สุดท้ายแต่ไม่ว่าโลกเราจะไกลแค่ไหนแต่ความเป็นมนุษย์เรายังคงสภาพอยู่เสมอ ความต้องการ หรือความกระหายทางอำนาจเงินตราก็มิอาจสูญสิ้นจากความเป็นมนุษย์ไปได้ และโลกของเราก็มิอาจสามารถปฎิเสธระบบทุนนิยมได้ เช่นกัน หากแต่วิธีการใช้ระบบทุนนิยมในแนวทางการพัฒนาเพื่อผู้คน และภูมิภาคมีอีกหลากหลายวิธีการ แต่หนึ่งในวิธีการที่จะเป็นเส้นขนานระหว่างชุมชนกับรัฐคือ การทำประชาพิจารณ์ เราควรจะถามชุมชนว่าเขาต้องการอะไร รัฐต้องการอะไร เพื่อเปิดใจในการสนทนาหันหน้าเข้าหาซึ่งกัน ในทางกลับกันการบังคับใช้กฎหมายเพื่อยึดพื้นที่ ชาวบ้านหรือชุมชนอาจจะจำเป็นต้องพิทักษ์สิทธิในถิ่นภูมิลำเนานั้นโดยปริยาย ผู้เขียนเองขอฝากเมืองเชียงของ ชายขอบเล็กๆเอาไว้ในบทความนี้ เชียงของเป็นเมืองที่มีความสวยงามในตัวเอง หากผู้อ่านท่านได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยือนเมืองชายขอบเล็กๆแห่งนี้ อาจจะหลงเสน่ห์ก็มิอาจปฎิเสธได้ ทั้งผู้คน วัฒนธรรม อัตลักษณ์ เสน่ห์เหล่านี้คงสืบต่อไปบนความยั่งยืนในภายภาคหน้าหากรัฐไม่เอาเปรียบความเป็นมนุษย์ด้วยกันเอง

-----------------

ผู้เขียน : ศุภกิตติ์ พันธุ์นานุกูล

แนะนำตนเอง : สวัสดีครับ ผมโจ้ครับ เรียกว่าเป็นเด็กคนหนึ่งที่สนใจเรื่องภูมิรัฐศาสตร์และการเปลี่ยนแปลงทางสังคมครับ ในสองปีที่แล้วผมมีโอกาสได้ศึกษาเรื่องประเด็นของเมืองชายแดนที่อยู่รอบๆประเทศไทยเรา ทำให้ค้นพบว่าปัญหาชายแดนประเทศไทยไม่ค่อยได้รับการแก้ไขปัญหาทางสังคมแต่อย่างไร ทำให้ผมสนใจวิธีการของการพัฒนาเมืองในรูปแบบต่างๆครับ (Urbanization) ซึ่งค้นพบว่าเมืองที่ดีการฟังเสียงของประชาชนในพื้นเป็นสิ่งทำสัญคัญจริงๆครับ ใช่ครับผมอยากพัฒนาเมืองชายแดนให้ดีขึ้นในฐานะคนรุ่นใหม่คนหนึ่งครับ โดยใช้หลักการทำเมืองให้น่าอยู่ครับแต่ติดอยู่ที่ปัญหาการขอเงินแหล่งทุนในการสร้างโครงการครับ จึงทำให้แค่ผมได้หวังและรอว่าวันนึงจะถึงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงครับ ระหว่างนั้นประเด็นของประเทศเพื่อนบ้าน อย่าง สปป.ลาว ของผุดขึ้นมาในหัวหลายอย่างครับว่าตามหลักการแล้วพื้นที่ชายแดนคืออะไรกัแน่ ในหลายประเด็นทางสังคมเขาต้องมาพึ่งพาประเทศไทยเรา ไม่ว่าจะเป็นด้านการรักษาพยาบาลฉุกเฉินครับ สิ้นปีที่ผ่านมาผมเลยเดินทางไปเยี่ยมเยียนเมืองเชียงของ ชายแดนแห่งนี้ และได้สัมภาษณ์ผู้คนในพื้นที่ สำรวจเมือง และเก็บภาพถ่ายฟิล์มขาวดำมาครับ ผมว่ามันได้อารมณ์และเสน่ห์ของศิลปะครับ ผมหวังว่าบทความนี้จะสามารถได้ตีพิมพ์ลงช่องทางใดช่องทางหนึ่งเพื่อเป็นกระบอกเสียงให้กับคนในพื้นที่ชายแดน เชียงของ และตัวแทนของประชาชน สปป.ลาวด้วยครับ ขอบคุณครับ



กำลังโหลดความคิดเห็น