หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ
คนเดือนตุลาหรือคนที่ผ่านเหตุการณ์เดือนตุลาคม 2516 และตุลาคม 2519 จำนวนไม่น้อยตื่นขึ้นจากความหลับใหลและถูกปลุกอุดมการณ์จะเห็นฟ้าสีทองผ่องอำไพให้ลุกโชนอีกครั้ง หลังการตื่นตัวของคนรุ่นใหม่ในปี 2563 ภายหลังการยุบพรรคอนาคตใหม่ที่พวกเขาเชื่อว่า พรรคอุดมการณ์ของคนรุ่นเขาถูกทำลายลง
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ถูกสร้างให้กลายเป็นความหวังของคนรุ่นใหม่ ผ่านเครื่องมือสื่อสารที่คนรุ่นพวกเขาช่ำชองกว่า ในขณะที่นักการเมืองรุ่นเก่าเป็นพวกฉ้อฉลทุจริตโกงกินที่เป็นตัวถ่วงทำลายความเจริญของประเทศที่ไม่อาจจะฝากความหวังไว้ได้เลย รวมถึงการปลูกฝังความคิดทางการเมืองผ่านสำนักฟ้าเดียวกันที่ธนาธรสร้างขึ้นมาเพื่อด้อยค่าค่านิยมของคนไทยที่เชิดชูสถาบันกษัตริย์ โดยการผลิตอุดมการณ์ความคิดของฝ่ายปฏิกษัตริย์นิยมและคนเดือนตุลาที่ยังฝันค้างออกมาจำนวนมาก
พวกนี้ผลักดันให้ท้ายคนรุ่นใหม่ให้ขยายเพดานขึ้นไปเรื่อยๆ จนท้าทายสถาบันกษัตริย์ ซึ่งคนเดือนตุลาที่เคยสมาทานกับอุดมการณ์คอมมิวนิสต์เข้าป่าจับปืนเพื่อโค่นล้มอำนาจรัฐถูกจุดประกายแห่งความหวังขึ้นมาอีกครั้ง แถมคนรุ่นใหม่ยังมีความกล้าหาญที่จะท้าทายยิ่งกว่าพวกเขาเคยกระทำมาก่อน เพราะเปิดเผยรุนแรงผ่านโซเชียลมีเดียจนกระทั่งออกมาชุมนุมบนท้องถนน
ถ้อยคำที่คนรุ่นใหม่นำมาใช้เต็มไปด้วยความรุนแรงหยาบคายหมิ่นเหม่ต่อความผิดทางกฎหมายมากกว่าการแสดงความเห็นโดยสุจริต แต่ถูกยกยอว่า คำหยาบเป็นอัตลักษณ์ของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการแสดงออกถึงความเสมอภาคผ่านคำอธิบายแบบให้ท้ายของคนระดับ นิธิ เอียวศรีวงศ์ ที่ชิงหนีคนรุ่นใหม่ล่วงลับไปก่อน
ปรากฏที่เรียกว่า “woke” เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางในตอนนั้น คนรุ่นใหม่เหล่านั้นแสดงออกถึงความคิดเห็นหรือทัศนคติที่ดูเหมือนจะมีความตระหนักรู้ แต่กลับแสดงให้เห็นถึงความสุดโต่ง หรือมุ่งเป้าไปที่การวิพากษ์วิจารณ์และโจมตีความคิดหรือความคิดเห็นที่ไม่สอดคล้องกับความเชื่อของตน
ความสุดโต่งของคนรุ่นใหม่แสดงออกถึงความคิดเห็นที่เคร่งครัดหรือไม่ยืดหยุ่น เช่น การไม่ใส่ใจมุมมองหรือประสบการณ์ที่แตกต่างออกไป มีความเชื่อของตัวเองจนขาดการตระหนักถึงเหตุผล มองความคิดต่างของคนรุ่นเก่าว่าเป็นเรื่องที่ล้าหลังขาดเหตุผล ทั้งที่ความคิดเห็นเหล่านั้นเป็นแค่การแสดงความคิดเห็นจากมุมมองที่หลากหลาย รับรู้ข้อมูลแต่ฝ่ายเดียวกันอยู่ในห้อง Echo Chamber หรือห้องเสียงสะท้อน จากการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่พบเจอแต่ความคิดเห็นคล้ายคลึงกับของตัวเอง โดยไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นอื่นๆ
คำว่า “woke” จึงเป็นการสื่อถึงการตื่นตัวที่เกินจริงหรือการเข้าถึงปัญหาสังคมในรูปแบบที่ดูเหมือนจะสนับสนุนความขัดแย้งมากกว่าความเข้าใจและการสนทนาในมุมมองที่แตกต่างกัน
ในห้วงเวลานั้นต้องยอมรับว่า แกนนำคนรุ่นใหม่อย่างธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และปิยะบุตร แสงกนกกุล นั้น ประสบความสำเร็จที่สามารถปลุกคนรุ่นใหม่ให้ออกมาท้าทายต่ออำนาจรัฐและอุดมการณ์ของรัฐได้ และก่อให้เกิดความขัดแย้งของคนต่างรุ่นที่มีความคิดทางการเมืองแตกต่างกันจนลุกลามเข้าไปสู่สถาบันครอบครัว
ในขณะที่ปัญญาชนทั้งที่เป็นนักวิชาการและสื่อมวลชนและสถาปนาตัวเองว่า เป็นฝ่ายประชาธิปไตยก็พากันชื่นชมความกล้าหาญหยาบคายของคนรุ่นใหม่ว่า กล้าหาญที่จะทลายเพดานของสังคมไทยอย่างที่คนรุ่นพวกเขาไม่กล้าทำมาก่อน จนกระทั่งการแสดงออกของคนรุ่นใหม่ที่ถูกยุยงให้ท้ายเหล่านั้นเข้าสู่ข้อจำกัดของกฎหมาย คนรุ่นใหม่จำนวนมากจึงถูกดำเนินคดีด้วยมาตรา 112 และส่วนใหญ่เมื่อขึ้นสู่การพิจารณาของศาลก็ถูกตัดสินว่า มีความผิดทั้งสิ้น
ในขณะที่คนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยเลือกที่จะหลบหนีลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ ผ่านช่องทางธรรมชาติ ยอมไปเป็นพลเมืองชั้นสองในต่างแดน และคนที่ยังอยู่ต่อสู้คดีต่างก็ถูกศาลตัดสินให้จำคุก เพราะการกระทำของพวกเขาล้วนแล้วแต่ยากที่จะพ้นจากความผิดฐาน ดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายสถาบันกษัตริย์ไปได้
การเคลื่อนไหวของพวกเขาไม่ใช้เพียงแต่เรียกร้องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์หรือลดทอนบทบาทและสถานะของสถาบันกษัตริย์ลงมาเท่านั้น แต่มีจุดมุ่งหมายที่ไปไกลกว่านั้น ถ้าพิจารณาถ้อยคำและการแสดงออกของพวกเขาทั้งบนท้องถนนและโซเชียลมีเดีย ที่พวกเขาอ้างว่า เป็นเสรีภาพในการแสดงออกซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน แต่จริงแล้วเนื้อหาของพวกเขาล้วนและแต่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่น อย่าว่าแต่ต่อสถาบันกษัตริย์เลยแม้แต่กระทำกับบุคคลธรรมดาก็ไม่อาจอ้างเป็นเสรีภาพได้
พวกเขาถูกปลูกฝังความเชื่อว่าสถาบันกษัตริย์เป็นส่วนเกินของระบอบประชาธิปไตย ที่ต้องรื้อถอนโครงสร้างออกไปจากสังคมไทย พวกเขาไม่เคารพศรัทธาต่ออุดมการณ์ชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ที่เป็นค่านิยมของสังคมไทยที่ถูกปลูกฝังกันมา ความเชื่อเรื่องคนเท่ากันถูกปลูกขึ้นเป็นธงนำในใจของคนรุ่นใหม่ รวมถึงการไม่ศรัทธาต่อศาสดาหรือพระเจ้าองค์ไหน
การให้ท้ายและชื่นชมคนรุ่นใหม่ของคนรุ่นเก่าที่ยังมีความหวังจะเปลี่ยนแปลงระบอบและอุดมการณ์ของรัฐที่เคยมอดดับไปแล้วถูกปลุกขึ้นมาและผลักดันให้คนรุ่นใหม่เดินหน้าท้าทายไปเรื่อยๆ แทนที่จะเตือนสติให้ใช้ความระมัดระวังในการเคลื่อนไหว ก็ยิ่งทำให้คนรุ่นใหม่เชื่อว่าสิ่งที่ตัวเองทำอยู่นั้นถูกต้องดีงามที่จะต้องถอนรากถอนโคนความคิดล้าหลังให้หมดสิ้นไปจากสังคมไทย จนทำให้คนรุ่นใหม่ถลำลึกไปเรื่อยๆ
ตอนนี้คดีความที่เกิดขึ้นในปี 2563-2564 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นความผิดตามมาตรา 112 และ 116 กำลังทยอยมีคำพิพากษาออกมาทางเลือกของคนรุ่นใหม่ที่ถูกดำเนินคดีมีเพียงสองทางคือต่อสู้คดีแล้วถูกตัดสิทธิ์จำคุกกับหลบหนีออกไปนอกประเทศ โดยที่ผู้ใหญ่ที่เคยให้ท้ายผลักดันให้คนรุ่นใหม่ออกมาท้าทายต่อสถาบันกษัตริย์ไม่ได้หยิบยื่นความช่วยเหลืออะไรให้ นอกจากแสดงออกด้วยความเห็นใจที่คนรุ่นใหม่ถูกจำคุก แต่คนให้ท้ายยังมีเสรีภาพอยู่ข้างนอก
ไม่รู้เหมือนกันว่าจากพรรคอนาคตใหม่มาสู่พรรคก้าวไกลและพรรคประชาชนแกนนำของพรรครุ่นต่างๆได้ทบทวนความคิดหรือไม่ว่า อุดมการณ์ที่ท้าทายต่อระบอบของรัฐและความมุ่งหมายที่จะรื้อโครงสร้างของสังคมไทยเพื่อทำให้ประเทศไทยไม่เหมือนเดิมนั้นไม่อาจนำไปสู่เป้าหมายการได้อำนาจรัฐที่ต้องการได้ การตกอยู่ใต้อิทธิพลความคิดปฏิกษัตริย์นิยมของผู้ก่อตั้งพรรคนั้นจะยิ่งทำให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองมากกว่าประเทศในอุดมคติที่คาดหวัง
พรรคก้าวไกลถูกยุบพรรคเพราะศาลรัฐธรรมนูญมีความเห็นว่า หวังผลคะแนนเสียงและชนะการเลือกตั้ง เป็นการมุ่งหมายให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ในฐานะคู่ขัดแย้งกับประชาชน มีเจตนาเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์หรือทำให้อ่อนแอลง อันนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในที่สุด การกระทำจึงเข้าลักษณะการกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอีกด้วย
ถ้าหากพรรคประชาชนไม่เปลี่ยนแปลงความคิดอุดมการณ์ที่ถูกปลูกฝังจากผู้ก่อตั้งพรรคและยังเดินหน้าชนกำแพงและทลายเพดานขึ้นไปเรื่อยๆ ก็จะต้องประสบกับชะตากรรมซ้ำๆ ต่อไปอย่างแน่นอน แกนนำพรรคประชาชนจึงต้องนำพรรคออกจากความคิดที่พรรคก้าวไกลถูกกล่าวหาจนถูกยุบพรรคลงไปให้ได้ไม่เช่นนั้นไม่มีวันที่พรรคประชาชนจะได้อำนาจรัฐเพื่อเข้ามาบริหารประเทศมีแต่จะเดินซ้ำรอยชะตากรรมของพรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกล เพราะไม่มีอำนาจรัฐไหนหรอกที่จะปล่อยให้เกิดการท้าทายต่อระบอบและอุดมการณ์ของรัฐโดยไม่ขัดขวางทำลาย
ถ้าจะประสบความสำเร็จทางการเมืองได้เข้าไปบริหารประเทศ พรรคประชาชนจะต้องพิสูจน์ให้เห็นถึงการมีความรู้ความสามารถที่จะเข้ามาบริหารประเทศมีนโยบายที่ดีที่จำพาประเทศไปข้างหน้า มากกว่าความคิดที่จะล้มล้างรื้อทำลายระบอบและอุดมการณ์ของรัฐ เพื่อให้คนส่วนใหญ่ไว้วางใจว่า จะไม่นำประเทศไปสู่ความขัดแย้งอย่างรุนแรงของคนในชาติ มีความต้องการจะเปลี่ยนแปลงการเมืองไทยมากกว่าจะพุ่งเป้าไปที่สถาบันกษัตริย์ เพราะสถาบันกษัตริย์นั้นอยู่เหนือการเมือง เมื่อนั้นความมุ่งหวังที่จะมีโอกาสเข้าไปเปลี่ยนแปลงประเทศไทยก็อาจจะสมหวังเป็นจริงขึ้นมาได้
สิ่งที่รังสิมันต์ โรม หรือรักชนก ศรีนอก ทำอยู่ในการขจัดจีนเทาไทยเทาและมุ่งเป้ากวาดล้างการทุจริตในสังคมไทยนั่นต่างหากที่สังคมไทยคาดหวังและเดินมาถูกทางแล้ว ลบความคิดปฏิกษัตริย์นิยมให้หมดไป อย่าไปเชื่อคำหลอกลวงฟ้าสีทองผ่องอำไพของผู้ก่อตั้งพรรคและผู้ใหญ่บางคน นี่ต่างหากที่สังคมจะวางใจและฝากอำนาจรัฐไว้ในมือคนรุ่นใหม่ได้