ถ้าว่ากันตามคำพูด คำจา ของรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ “นายMarco Rubio” เมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา ก็น่าจะพอสรุปได้ว่า อเมริกาในยุค “ทรัมป์บ้า” นั้น เป็นอเมริกาที่ยอมรับ “ความจริง” ว่าโลกทุกวันนี้ ได้กลายเป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่ “โลกขั้วอำนาจเดียว” ที่มีอเมริกาเป็นจ้าวโลก ประมุขโลก อย่างช่วงหลังกำแพงเบอร์ลินล่มสลาย โลกสังคมนิยมอย่างสหภาพโซเวียตพังทลาย อันเป็นช่วงหลัง “ยุคสงครามเย็น” เป็นต้นมา...
โดยเฉพาะคำพูดที่ว่า... “อเมริกายอมรับความจริงว่าได้มีอำนาจอื่นที่อุบัติขึ้นมาเคียงข้างกับฝ่ายตะวันตก สภาวะแวดล้อมแบบหลายขั้ว คือสิ่งที่กำลังถูกพัฒนาและต้องการความยอมรับในฐานะมหาอำนาจ โดยที่แน่ๆ ก็คือจีนและรัสเซีย” แต่กระนั้นก็ตาม...แม้การยอมรับความจริง-ข้อเท็จจริงเช่นนี้ จะพอช่วยให้โลกไม่ถึงกับหลุดร่วงไปสู่เหวนรก ไม่ถึงกับต้อง “เปิดประตูนรก” ไปสู่ “สงครามโลกครั้งที่ 3” แบบที่รัฐบาลอเมริกันยุค “โจ ซึมเซา” หวิดๆ จะลากโลกทั้งโลกไปสู่จุดที่ว่าแบบรอมร่อ แต่นั่นก็ใช่ว่า...จะทำให้โลกทั้งโลกเกิดความสุข ความสงบ สันติภาพ สันติธรรม ไปตลอดนับจากนี้ก็หาไม่ ด้วยเหตุเพราะภายใต้ “ความหลากหลาย” หรือความเป็นหลายขั้วอำนาจของโลก ยังเป็นอะไรที่ยากจะหา “จุดลงตัว” ทางภูมิรัฐศาสตร์กันได้ง่ายๆ!!!
คือในขณะที่โลกภายใต้อำนาจ บทบาท อเมริกา...ชักไม่ได้รวมไปถึง “ซีกโลกตะวันตก” (Western Hemispheric) แบบทั้งหมด-ทั้งมวล บรรดาชาติพันธมิตรตะวันตกที่เคยเคียงบ่า-เคียงไหล่คุณพ่ออเมริกามาโดยตลอดทั่วทั้งสองฟากฝั่งแอตแลนติก แต่กำลังถูก “ถีบทิ้ง” ไม่ว่าในแง่การหาทางออก-ทางไปกรณี “สงครามยูเครน” หรือการคิดโขกภาษีเหล็กและอะลูมิเนียม แบบไม่ได้มีเยื่อใยใดๆ เหลือติดปลายนวมเอาเลยแม้แต่นิด แถมยังคิดจะผนวกแคนาดาไปเป็นรัฐที่ 51 ของอเมริกา ทิ้งเกาะกรีนแลนด์ออกมาจากมือของเดนมาร์ก เพื่อทำให้ขอบเขตอำนาจของตัวกูเองกลับมา “Great Again” ให้จงได้ แต่เอาไป-เอามาแล้ว...บรรดาพันธมิตรเหล่านี้ก็ชักเริ่มๆ ไม่คิดเป็น “พรมเช็ดเท้า” ให้กับคุณพ่ออเมริกากันมั่งแล้ว!!!
เห็นได้ชัดจากการไปสุมหัว รวมตัว ในงานครบรอบปีที่ 3 ของสงครามยูเครน-รัสเซีย ณ กรุงเคียฟ เมื่อช่วงวันจันทร์ที่ผ่านมา (24 ก.พ.) โดยมีผู้นำชาติตะวันตกถึง 13 ประเทศ แถมยังวิดีโอลิงก์ร่วมประชุมออนไลน์กับอีก 24 ประเทศด้วยการปลุกกระตุ้น ปลุกปลอบใจกันอย่างเป็นระบบและกิจการ มีทั้งประธานกรรมาธิการสหภาพยุโรป ผู้นำเดนมาร์ก นายกรัฐมนตรีแคนาดา ที่กำลังถูก “ทรัมป์บ้า” ทั้งบีบ ทั้งคลึง ชนิดถึงกับขนานนาม “Justin Trudeau” ว่า “ไอ้ขี้แพ้” เอาเลยถึงขั้นนั้น โดยทั้งหมด-ทั้งมวลเหล่านี้พร้อมที่จะหันไปยกย่องสรรเสริญ ผู้ที่ “ทรัมป์บ้า” กล่าวหาว่าเป็น “เผด็จการ” อย่าง “นายVolodymyr Zelensky” ผู้นำยูเครนว่าเป็น “วีรบุรุษตัวจริง-เสียงจริงของมวลมหาประชาชน” ไปโน่นเลย และต่างพยายามปลุกกระตุ้นให้แต่ละชาติยุโรป หาทางเพิ่มเงิน เพิ่มทอง เพิ่มอาวุธ ให้กับยูเครนไว้สู้กับรัสเซีย แม้ว่าเผลอๆ...อาจต้องหันไปสู้กับคุณพ่ออเมริกาเอาเลยก็ไม่แน่ โดยเฉพาะในแง่ผลประโยชน์ทางการค้า หรือเพื่อไม่ให้ถูกยึดเกาะ ยึดประเทศ เอาง่ายๆ...
แม้แต่ว่าที่ผู้นำคนใหม่ของเยอรมนี “นายFriedrich Merz” แห่งพรรค “CDU” (Christian Democratic Union) ที่เพิ่งได้รับเลือกตั้งด้วยคะแนนนิยมสูงสุดเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ทั้งที่ยังแทบไม่รู้เหนือ-รู้ใต้ว่าจะจัดตั้งรัฐบาลกันในแบบไหน? อย่างไร? แต่กลับถือเป็น “วาระเร่งด่วน” ขั้นแรกของประเทศ ที่ต้องหาทางฟื้นฟูความเป็นตัวของตัวเองของบรรดาชาวยุโรป หรือความที่ไม่คิดจะ “พึ่งพา” คุณพ่ออเมริกาไม่ว่าในทางเศรษฐกิจ หรือการทหารอีกต่อไป ส่วนจะเป็นจริง-เป็นจัง หรือ “เป็นไปได้” มาก-น้อยขนาดไหน? อันนั้น...คงต้อง “โปรดรออีกจั๊กกู้” หรือคงต้อง “แวะชมโฆษณา” ไปพลางๆ...
เพราะแม้แต่ละประเทศพยายายามยุ พยายามเชียร์ ให้ถมเงิน ถมศพ เพื่อให้ยูเครนเอาชนะรัสเซียให้จงได้ แต่ภายใต้สภาพที่ชาติยุโรปทั้งหลายต่าง “กรอบเป็นข้าวเกรียบเมืองเพชร” ไปด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งพวง “GDP” โตแค่ 0.1-0.2 หรือราวๆ 1 เปอร์เซ็นต์ไม่เกินไปกว่านั้น แถมบางประเทศทั้งในกลุ่มอียูและ “NATO” ที่ไม่อยากจะด้วน หรือ “ไม่เห็นควรด้วย” กับการคิดเผชิญหน้ารัสเซีย ไม่ว่าฮังการี สโลวาเกีย หรือตุรเคีย ฯลฯ เป็นต้น การคิดจะสู้กับรัสเซียพร้อมๆ กับคิดจะเป็น “อิสระ” จากอเมริกา เลยอาจต้องเป็นไปแบบที่รัฐมนตรีต่างประเทศโปแลนด์ “นายRadoslaw Sikorski” ได้ประมาณการเอาไว้นั่นแหละว่า... “ยูเครนสามารถทำสงครามกับรัสเซียโดยอาศัยความช่วยเหลือจากยุโรปแต่เพียงฝ่ายเดียว...ได้ไม่เกินสิ้นปีนี้!!!” คือแม้จะใจถึง-ใจใหญ่-ใจสู้เพียงใดก็เถอะ แต่ในเมื่อ “บ่อจี๊” หรือดันไม่มีตังค์ซะอย่าง!!! โอกาสที่จะเป็นอิสระ ไม่ต้องพึ่งใครต่อใครมันคงไม่ถึงกับ “ง่าย” กันสักเท่าไหร่นัก...
อย่างไรก็ตาม...การคิดที่จะเป็นอิสระ ไม่คิดจะเป็น “พรมเช็ดเท้า” ให้กับคุณพ่ออเมริกาอีกต่อไป อย่างน้อยก็น่าจะมีผลให้บรรดาชาติตะวันตกเหล่านี้ กลายเป็น “ขั้วอำนาจ” ขึ้นมาอีกขั้วหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นขั้วที่คงต้องถูก “ตั้งคำถาม” เอาไว้แต่แรก ดังที่นักคิด-นักเขียน-นักยุทธศาสตร์และคอลัมนิสต์ชื่อดัง อย่างคุณ “Rachel Marsden” เธอได้ระบุไว้ในข้อเขียน บทความ ชิ้นล่าสุดนั่นแหละว่า... “Are the EU and Zelensky planning to open a new front against both Russia and the US.” หรือถึงขั้นวางแผนคิดเผชิญหน้ารัสเซียและอเมริกาพร้อมๆ กันไปเลยหรือไม่? อย่างไร? เพราะขั้วอำนาจทั้งสอง รวมทั้งจีนและบรรดาประเทศเล็ก-ประเทศน้อยในซีกโลกใต้ ต่างหวังที่จะเห็น “สงครามตัวแทน” ระหว่างยูเครน-รัสเซีย สิ้นสุด-ยุติลงไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ด้วยกันทั้งนั้น...
หรือพูดง่ายๆ ว่า...ความพยายามที่จะเป็น “อิสระ” ไปจากอเมริกา แต่ก็ยังคงไม่หายไปจากโรค “Russophobia” หรือโรคกลัวรัสเซียของบรรดาชาวยุโรปมาโดยตลอด มันเลยทำให้ความหลากหลายทางอำนาจ หรือโลกหลายขั้วอำนาจ ยังคงเป็นอะไรที่สับสนวุ่นวาย ชุลมุนชุลเก จนไม่น่าที่จะนำไปสู่ความสงบ สันติภาพ สันติธรรมกันง่ายๆ ยิ่งมีข่าวว่าชาติตะวันตกอย่างอังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส กำลังคิดจะระดมกำลังทหารนับหมื่นๆ แสนๆ เข้าไปเป็น “กองกำลังรักษาสันติภาพ” ในยูเครน ดังที่หนังสือพิมพ์ “The Wall Street Journal” เขาได้ระบุไว้เมื่อช่วงวันเสาร์ที่ผ่านมา (22 ก.พ.) ยิ่งก่อให้เกิดความตึงเครียด ชนิดที่รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย “นายSergey Lavrov” ต้องออกมาป่าวประกาศว่า “รับไม่ได้” ต่อท่าทีดังกล่าว เพราะไม่ต่างอะไรไปจากการยึดครองยูเครนเพื่อแปลงสภาพให้กลายเป็นป้อมปราการของประเทศยุโรป ภายใต้การซ่อนรูป ซ่อนร่างกองกำลัง “NATO” เอาไว้ในนามกองกำลังเพื่อสันติภาพ...นั่นเอง...
ด้วยเหตุนี้...แม้ว่าโลกใบนี้จะกลายเป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ” อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไปแล้ว แต่ถ้า “มหาอำนาจ” ในแต่ละขั้ว แต่ละฝ่าย ต่างออกไปทาง “Me First” หรือต่างหันไปเอา “ตัวกู-ของกู” เป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว โอกาสที่จะนำไปสู่ความ “ฉิบหาย...กับ...ฉิบหาย” ก็ยังคงมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ เพราะความเป็นโลกหลายขั้วอำนาจที่จะนำมาซึ่งความสงบ-สันติ ให้พอมีโอกาสเป็นจริง-เป็นจัง ย่อมหนีไม่พ้นที่จะต้องตั้งอยู่บนรากฐานของการยอมรับความแตกต่าง ความเสมอภาคเท่าเทียมโดยไม่ขึ้นอยู่กับพลังอำนาจแบบหนึ่ง-แบบใด แต่ขึ้นอยู่กับอำนาจอธิปไตยของแต่ละประเทศเป็นสำคัญ ตลอดไปจนความถูกต้อง-ชอบธรรมตามกฎหมายระหว่างประเทศ ฯลฯ เป็นต้น...
ความพยายาม “ยืดเวลา” สงครามยูเครนให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ หรือจนถึงสิ้นปีนี้ โดยอาศัยความช่วยเหลือของชาติยุโรปแต่เพียงลำพัง จึงยังทำให้ “แนวรบยุโรปตะวันออก” สามารถพลิกไป-พลิกมาได้เสมอ โดยเฉพาะเมื่อ “ตัวตลก-ตัวแทน” อย่างยูเครน กำลังตกอยู่ในสภาพอย่างที่รองประธานสภาความมั่นคงรัสเซีย “นายDmitry Medvedev” เขาได้อุปมา-อุปไมยเอาไว้นั่นแหละว่า “The rat has been driven into a corner” หรือคล้ายๆ สุนัขจนตรอกยิ่งเข้าไปทุกที จนอาจต้องหันไปใช้วิธี “ก่อการร้าย” ดังที่หน่วยงานข่าวกรองต่างประเทศรัสเซีย “SVR” ได้ออกมาเตือนไว้เมื่อเร็วๆ นี้ว่าอาจเกิดการโจมตีสถานทูตรัสเซียในยุโรปและที่อื่นๆ หรืออาจหันไปคว้าระเบิด “Dirty Bomb” มาสร้างฉาก สร้างสถานการณ์ เพื่อให้ใครต้องหันไปเล่น “เกมสงคราม” ดังที่อดีตประธานาธิบดีรัสเซียตั้งข้อสมมติฐานเอาไว้ สิ่งที่เรียกว่า “สันติภาพ” ใน “แนวรบ ด้านนี้ จึงยังไม่มองเห็น “แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์” มากมายสักเท่าไหร่...
เช่นเดียวกับ “แนวรบตะวันออกกลาง” นั่นแหละ ความผูกพันแบบแนบแน่น ตัดไม่ได้-ขายไม่ขาด ระหว่างขั้วอำนาจอเมริกากับพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์อย่างอิสราเอล ที่ทำให้ถึงกับคิดจะยึดเอาแผ่นดินที่เกิดจากการ “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ในเขตฉนวนกาซามาทำเป็น “ริเวียราแห่งตะวันออกกลาง” และทำให้กองทัพอิสราเอลเกิดความกระเหี้ยนกระหือรือส่งรถถังบุกเข้าไปล้างผลาญศูนย์ผู้อพยพลามเข้าไปถึงเขตเวสต์ แบงก์แถมยังคิดคงกำลังทหารไว้แบบถาวรซะอีกต่างหาก จนแทบไม่เหลือแผ่นดินที่จะเอาไว้ตั้งประเทศปาเลสไตน์ได้อีกเลย ตลอดไปจนการคิดบุกถล่มโรงงานนิวเคลียร์อิหร่านในช่วงไหน? เมื่อไหร่? ก็ยังมิอาจสรุปได้ สันติภาพในตะวันออกกลางจึงยังคงเป็นเรื่อง “เหลือเชื่อ” แม้ว่าโลกนี้จะกลายเป็นโลกหลายขั้วอำนาจไปแล้วก็ตามที...
ส่วน “แนวรบในทะเลจีนใต้” นั้น...แม้ว่าอเมริกา-จีน-รัสเซีย อาจบรรลุข้อตกลงในการ “ปรับลดงบประมาณทหาร” ลงไป 50 เปอร์เซ็นต์ อย่างที่ผู้นำรัสเซียได้แสดงอาการตอบรับข้อเสนอของ “ทรัมป์บ้า” อย่างไม่ได้อึกอักลังเลใดๆ ก็ตาม แต่ความพยายามที่จะดึงเอาหนึ่งในมหาอำนาจแห่งเอเชียอย่างอินตะระเดีย มาร่วม “ปิดล้อมจีน” ไม่ว่าด้วย “ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก” หรือด้วยโครงการ “ระเบียงเศรษฐกิจ IMFC” (The India-Middle East-Europe Economic Corridor) ไปจนการป้องกันกีดกันทางการค้าของอเมริกาต่อคู่แข่งอย่างจีนเป็นการเฉพาะ ย่อมทำให้ “แนวรบ” ด้านนี้ ก็ยังคงเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการเผชิญหน้า การช่วงชิงความได้เปรียบ-เสียเปรียบ การกดดันให้บรรดาประเทศเล็ก-ประเทศน้อยให้ต้อง “เลือกข้าง” ไปโดยตลอดอีกเช่นกัน...
เพราะอย่างที่ว่าไว้แล้วนั่นแหละว่า...ความเป็นโลกหลายขั้วอำนาจที่จะนำไปสู่ความสงบ-สันติอย่างเป็นจริง-เป็นจังนั้น ย่อมหนีไม่พ้นที่ประเทศต่างๆ ในโลกใบนี้ ต้องหันไปสลัดทิ้งความเป็น “Me First” หรือความเห็นแก่ตัวกู-ของกู ลงไปให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ไม่ว่าสิ่งเหล่านี้มันจะมีที่มาจากพื้นฐานแห่งความทะเยอทะยาน ความเห็นแก่ตัว หรือกระทั่ง “ความกลัว” ก็ตาม...