xs
xsm
sm
md
lg

สถานะทักษิณกับปัญหา 3 จว.ใต้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ



แม้สถานการณ์ความขัดแย้งใน 3 จังหวัดภาคใต้จะเกิดขึ้นมานานหลายศตวรรษ แต่ความรุนแรงขยายตัวขึ้นเมื่อมีเหตุการณ์ปล้นปืนในค่ายทหารที่อำเภอเจาะไอร้อง นราธิวาส เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2547 และทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นเรียกว่า “โจรกระจอก” และจากเหตุการณ์ครั้งนั้นทักษิณถึงกับตำหนิทหารว่า “ถ้าคุณมีทหารตั้งกองพันอยู่ที่นั่น แต่คุณก็ยังไม่ระวังตัว ถ้าอย่างนั้นก็สมควรตาย”

หลังจากนั้นความรุนแรงเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าจนมาเกิดเหตุกรือเซะ และตากใบ โดยความผิดพลาดครั้งนั้นทำให้พี่น้องมุสลิมเสียชีวิตจำนวนมาก แม้เวลาต่อมาศาลจะสั่งดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง แต่ก็หมดอายุความไม่สามารถนำตัวคนผิดมาดำเนินคดีได้ กลายเป็นบาดแผลในใจของชาวมุสลิมในภาคใต้

วันนี้ทักษิณ กลับมาอีกแล้ว และได้กล่าวขออภัยในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในขณะที่เขาลงไปใน 3 จังหวัดใต้ภายใต้หมวกของที่ปรึกษาประธานอาเซียน แต่มีคำถามว่า การมาในฐานะหมวกอาเซียนของทักษิณนั้นเราควรวางสถานะของเขาอย่างไร เพราะเท่ากับเป็นการดึงอาเซียนมายุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในของประเทศไทย

ทักษิณอาจจะพูดว่า เขามีอีก 2 สถานะคือ พ่อของนายกรัฐมนตรี และอดีตนายกรัฐมนตรี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะทำให้เขามีอำนาจรัฐมายุ่งเกี่ยวสั่งการอะไรเกี่ยวกับกิจการของบ้านเมืองได้ ถามว่า ถ้าทักษิณอาศัยหมวกที่ปรึกษาประธานอาเซียนเข้าไปแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในพม่าทางรัฐบาลพม่าจะยอมไหม คำตอบรัฐบาลพม่าก็คงไม่ยอม เพราะเขาถือว่าเป็นเรื่องภายในของเขา

สถานะประธานที่ปรึกษาอาเซียนของทักษิณต่อรัฐไทยก็เช่นเดียวกันเพียงแต่ทักษิณเป็นคนไทยเท่านั้นเอง และถ้าที่ปรึกษาประธานอาเซียนไม่ใช่คนไทยเล่าเราจะยอมอย่างนี้ไหม

ผมก็สงสัยเหมือนกันนักข่าวจะตระหนักถึงสถานะของทักษิณหรือไม่ เพราะมีการไปสอบถามทักษิณ จะถอนกำลังทหารหรือไม่ จะนิรโทษกรรมหรือไม่ หรือจะมีแนวทางในการแก้ปัญหาอย่างไร ทั้งๆ ที่รู้ว่าทักษิณไม่มีอำนาจ (แม้ว่า จริงๆ แล้วทักษิณจะมีอำนาจสั่งการอยู่เบื้องหลังก็ตาม) แต่กลับไม่ถามเรื่องนี้กับรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงของไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมซึ่งมีอำนาจและมีความรับผิดชอบอย่างแท้จริง

ดังนั้น การที่รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นำทักษิณไปลงพื้นที่ เราต้องมองสถานะของทักษิณในฐานะแขกที่เป็นที่ปรึกษาประธานอาเซียน ซึ่งไม่ได้มีอำนาจอะไรเป็นการตั้งส่วนตัวของนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย ไม่ใช่ไปรับใช้ดูแลทักษิณในฐานะของเจ้านายหรือผู้มีอำนาจรัฐ

ซึ่งทั้งคุณภูมิธรรม เวชยชัย และพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ต้องแยกบทบาทให้ชัดและเราต้องเป็นคนนำไม่ใช่ไปเดินตามที่ปรึกษาประธานอาเซียนอย่างที่เป็นข่าว เพราะนี่เป็นเรื่องกิจการภายในของเรา ต้องไม่ทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องสากลหรือเรื่องระหว่างประเทศ

และแม้มาเลเซียจะมีบทบาทในฐานะผู้ประสานงานที่นำเราและกลุ่ม BRN (Barisan Revolusi Nasional) มาขึ้นโต๊ะเจรจาโดยมีมาเลเซียเป็นตัวกลาง เราก็ต้องไม่ให้มาเลเซียมาร่วมนั่งเจรจาหรือชี้นำอะไร นอกจากในฐานะผู้ประสานงานที่ต้องเชิญตัวจริงของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนมาขึ้นโต๊ะเจรจากับเรา และเลิกให้พื้นที่หลบซ่อนอยู่ในมาเลเซีย

แม้ว่าในมาเลเซียอาจไม่มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ตรงไปตรงมาหรือเปิดเผยที่เกี่ยวข้องกับ BRN อย่างชัดเจน แต่การที่มีประชากรจำนวนมากเป็นมุสลิมและความเชื่อมโยงกันทางวัฒนธรรมย่อมส่งผลต่อทัศนคติและการสนับสนุนที่มีความรู้สึกเชื่อมถึงกันในแง่ของอัตลักษณ์และศาสนากับประชาชนไทยใน 3 จังหวัดภาคใต้

กลุ่ม BRN หรือที่รู้จักในชื่อ “แนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติ”เป็นกลุ่มที่มีบทบาทในความขัดแย้งที่เกิดขึ้นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยก่อตั้งในปี 1960

ในกระบวนการเจรจาระหว่างกลุ่ม BRN กับรัฐบาลไทยในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์มีแกนนำที่มีบทบาทสำคัญในการเข้าร่วมการเจรจา 4 รายที่เดินทางมาลงนามประกอบด้วย นายอาแซ เจ๊ะหลง ชื่อมาเลเซีย Hassan bin Toyib หรือรู้จักกันในนามอาแซตอยิบหรืออาซัน ตอยิบภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่ 46 ม.7 ต.บาโงสะโตอ.ระแงะ จ.นราธิวาส ปัจจุบันอาศัยอยู่ที่บ้านยือเลาะ รัฐตรังกานูประเทศมาเลเซีย ถือสถานภาพคนสองสัญชาติในปี 2538 เข้าร่วมก่อตั้งขบวนการบีอาร์เอ็นโคออดิเนต (BRN-CX) นอกจากนั้นในปัจจุบันยังดำรงสถานะเป็นสมาชิก DPP (Dewan Pimpinan Pusat) หรือสมาชิกสภาระดับนำของขบวนการบีอาร์เอ็น

นอกจากนั้น ยังมีสมาชิกของบีอาร์เอ็นโคออดิเนตที่เข้าร่วมลงนามอีก 3 รายคือนายอาวัง อับดุลเลาะหรืออาวัง ญาบัติชื่อเดิมอาแว เจ๊ะเต๊ะ อายุ 63 ปีบ้านเดิมอยู่บ้านเลขที่ 510 ม.1 ต.รือเสาะออก อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส นายอับดุลเลาะสาวอชื่อจริงนายอับดุลเลาะ มะสามะ เป็นประธานฝ่ายการศาสนาของขบวนการบีอาร์เอ็นมีบทบาทในการปราศรัยปลุกระดมตามมัสยิดต่างๆ ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เดิมเป็นชาว ต.สาวออ.รือเสาะ จ.นราธิวาส และนายอับดุลรอฮมัน เจ๊ะเต๊ะ น้องชายนายอาวัง เจ๊ะเต๊ะ อายุ 60 ปีอยู่บ้านเลขที่เดียวกันกับนายอาวังเจ๊ะเต๊ะ ศึกษาจบที่ประเทศอินโดนีเซีย

แม้เราจะไม่สามารถให้สิ่งที่พวกเขาต้องการคือ การแบ่งแยกดินแดนได้ แต่สิ่งที่รัฐไทยจะต้องทำให้เกิดขึ้นให้ได้หากต้องการให้ 3 จังหวัดภาคใต้เกิดสันติภาพและมีความสงบสุขก็คือ ต้องไม่ให้พวกเขามองว่าถูกกดขี่และไม่ให้ความเป็นธรรมจากรัฐไทยส่งเสริมอัตลักษณ์ของชาวมลายูและวัฒนธรรมท้องถิ่นเคารพสิทธิมนุษยชนของประชาชนในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในการแสดงออก สิทธิในการรวมกลุ่ม และพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ให้ชุมชนมลายูมีความสามารถในการพึ่งพาตนเอง โดยเฉพาะด้านการศึกษา การดูแลสุขภาพ และเข้าถึงเศรษฐกิจจากแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ และยกเลิกนโยบายจากส่วนกลางที่ไม่เข้ากับวัฒนธรรมและความต้องการของประชาชนในพื้นที่

แน่นอนว่าคนไทยทั้งชาติต้องการให้ความขัดแย้งใน 3 จังหวัดภาคใต้ยุติลงแม้ว่า ทักษิณจะบอกว่า ภายในปีนี้จะเห็นสัญลักษณ์ที่ดีขึ้นเยอะและปีหน้าน่าจะจบ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีหากไม่มองถึงสถานะของทักษิณว่าอยู่ในสถานะไหน

แม้จะรู้ว่า การที่ทักษิณสวมหมวกที่ปรึกษาประธานอาเซียนและมารุกล้ำอำนาจรัฐไทย โดยอาศัยสถานะพ่อของนายกรัฐมนตรีและอดีตนายกรัฐมนตรีไม่ได้ทำให้ทักษิณมีอำนาจอะไรที่จะมายุ่งเกี่ยวกับการบริหารประเทศแต่ก็เข้าใจว่า ด้วยความรู้ความสามารถและสติปัญญาของอุ๊งอิ๊งค์ แพทองธาร ชินวัตร ที่แสดงเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ทักษิณรู้ว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องยากเกินไปที่ลูกสาวของเขาจะลงมาแก้ไขรับผิดชอบเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ทักษิณก็เลยต้องลงมารับบทบาทเองโดยไปเอาหมวกที่ปรึกษาประธานอาเซียนมาสวมใส่ โดยเราอาจจะมองแบบผิวเผินว่า จะเป็นทักษิณหรือใครก็ได้ หากสามารถแก้ไขความขัดแย้งใน 3 จังหวัดใต้ให้ยุติลงได้ก็เป็นเรื่องที่ดีทั้งนั้น

แต่เราก็ต้องตระหนักว่า ถ้าปล่อยให้ใครไม่รู้ที่ไม่มีอำนาจอะไรเข้ามายุ่งเกี่ยวก้าวล้ำภารกิจที่เป็นอำนาจรัฐของเราไม่ว่าในบทบาทของที่ปรึกษาประธานอาเซียน หรือพ่อของนายกรัฐมนตรี การบริหารกิจการบ้านเมืองของรัฐบาลจะมีสภาพอย่างไร
 
ติดตามผู้เขียนได้ที่
https://www.facebook.com/surawich.verawan
 


กำลังโหลดความคิดเห็น