xs
xsm
sm
md
lg

อเมริกา...ที่ยังคงเป็น“อเมริกัน-อันตราย”อีกเช่นเดิม!!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


โดนัลด์ ทรัมป์
เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องตามไปสะกดรอย ไปตรวจสอบชั่งน้ำหนักความบ้าของ “ทรัมป์บ้า” อีกรอบนั่นแหละท่านเพราะไม่ใช่แต่อเมริกาที่ต้องเจอกับประธานาธิบดีรายใหม่ จนเกิดอาการ “ป่วน” ไปทั้งประเทศ แต่ต้องเรียกว่าทั่วทั้งยุโรป โดยเฉพาะประเทศยูเครน ที่เมื่อเจอกับนโยบายต่างประเทศแนวใหม่ของผู้ซึ่งเคยใช้ยุโรปเป็น “พรมเช็ดเท้า” มาโดยตลอด ชนิด “พลิกหลังตีนเป็นหน้ามือ” ต่างหนีไม่พ้นต้องสับสน รวนเร ต้องป่วนกันในระดับแทบจำบ้านเลขที่ไม่ได้ หรือหาทางเข้ามุมแทบไม่เจอ อะไรทำนองนั้น เล่นเอา “ตัวตลก-ตัวแทน” อย่างยูเครนต้องหันมาด่าอเมริกา และอเมริกาเลยต้องแว้งกลับไปกัดยูเครน ระดับเละเป็นขี้ เละเป็นโจ๊ก ไปด้วยกันทั้งคู่...

ถึงขั้นที่อดีตนักวิเคราะห์อาวุโสด้านนโยบายความมั่นคงและอดีตผู้อำนวยการเทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ อย่าง “นายMichael Maloof” ถึงกับให้สัมภาษณ์สำนักข่าว “Sputnik” ของรัสเซียเอาไว้ประมาณว่า ทันที่ได้เห็น “จุดเริ่มต้น” ในการเจรจาสันติภาพระหว่างอเมริกา-รัสเซียในกรณีสงครามยูเครน ก็ถึงกับต้องหลับตานึกภาพไปถึง “จุดจบ” ขององค์กรพันธมิตรทางทหารสองฟากฝั่งแอตแลนติกอย่างองค์กร “NATO” ขึ้นมาไม่ได้เอาเลยถึงขั้นนั้น!!! โดยเฉพาะเมื่อเกิดการ “ถีบทิ้ง” บรรดาประเทศยุโรป หรือแม้แต่ยูเครนออกไปจากวงเจ๊าะแจ๊ะเจรจา แบบชนิดแทบไม่เหลือเยื่อใยใดๆ เอาเลยแม้แต่นิด นอกเสียจากยอมที่จะยกสัมปทานแร่หายาก (Rare Earth) ให้กับอเมริกา อันนั้นนั่นแหละ...อาจพอพูดจารู้เรื่องกันได้มั่ง...

โดยการตั้งข้อสังเกต ข้อสมมติฐาน ของอดีตนักวิเคราะห์อย่าง “นายMichael Maloof” ก็ออกจะน่าคิดน่าสะกิดใจ อยู่ตามสมควร คือมองว่าความเป็น “America First” ของ “ทรัมป์บ้า” นั้น คงไม่ได้หมายรวมถึง “ซีกโลกตะวันตก” (Western Hemispheric) แบบทั้งหมดทั้งมวล เพราะการคิดจะยึดเกาะกรีนแลนด์ ยึดคลองปานามา ผนวกแคนาดาเอามาเป็นรัฐที่ 51 ของอเมริกา แต่กลับ “ต่อต้านยุโรป” หรือไม่คิดไว้หน้าผู้ซึ่งเคยเป็นพรมเช็ดเท้าให้กับอเมริกาแบบชนิดซึ่งๆ หน้าเช่นนี้ มันน่าจะสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิด การตัดสินใจ ที่มุ่งไปสู่ความพยายามฟื้นฟูอำนาจอิทธิพล “ภายในขอบเขตที่ตัวเองต้องการ” ไม่ได้มุ่งที่จะดำรงตนเป็นประมุขโลก เป็นจ้าวโลกทั้งใบอีกต่อไปคล้ายๆ กับที่นักคิดรัสเซียเขาเรียกว่า “Me First” หรือคงต้องเอาตัวรอด หรือต้อง “เห็นแก่ตัว” เข้าไว้ก่อน...นั่นแล...

อีกทั้งถ้ามองถึงการปรารภกับบรรดาผู้สื่อข่าวเมื่อเร็วๆ นี้ของ “ทรัมป์บ้า” ว่าอยากจะเจ๊าะแจ๊ะเจรจากับผู้นำรัสเซีย ผู้นำจีน เพื่อร่วมมือกันลดอาวุธนิวเคลียร์ ลดค่าใช้จ่ายทางทหาร แล้วเอาเงินไปใช้อย่างอื่นน่าจะเหมาะกว่า ก็ดูจะมีส่วนเสริมให้ข้อสังเกต ข้อสมมติฐานของ “นายMichael Maloof” ดูจะมี “น้ำหนัก” เพิ่มขึ้นมิใช่น้อย ยิ่งเมื่อตัวลูกชายของ “ทรัมป์บ้า” อย่าง “Trump Jr.” ที่เพิ่งเดินทางไปเยือนเมืองจีน แล้วกลับมาเขียนบทความเผยแพร่ถึงทัศนคติตัวเองเมื่อช่วงวันอังคารที่ผ่านมา (18 ก.พ.) ว่าแม้ว่าอเมริกาควรมุ่งความสนใจไปยังพลังอำนาจทางทหารของมหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีนที่มีลักษณะพิเศษโดยเฉพาะ แต่ก็พร้อมทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า...“แต่ผมสนับสนุนคุณพ่อของผมที่คิดเปิดกว้างในการพูดคุยเจรจากับสี จิ้นผิง และหลีกเลี่ยงที่จะเอานิ้วไปจิ้มตาพญามังกร อันเป็นสิ่งที่ไม่มีความจำเป็นใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย...” นี่...ต้องเรียกว่า ชักเริ่ม “บรรลุธรรม” ขึ้นมามั่งแล้ว!!!

พูดง่ายๆ ว่า...แม้อาจไม่ถึงกับเป็นการยอมรับ “ความจริง-ข้อเท็จจริง” ว่าโลกยุคนี้ได้กลายเป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ” ไปเรียบร้อยแล้ว หรืออาจถึงขั้นคิดหวนกลับไปสู่การ “แบ่งโลก” ออกเป็นสองโลก-สามโลก แบบยุค “สงครามเย็น” ในอดีตเอาเลยก็ไม่แน่ แต่ก็อาจถือเป็นการสะท้อนให้เห็นค่อนข้างชัดเจน ว่าโลกยุคใหม่ หรือยุคนี้ ย่อมต้องไม่ใช่ “โลกขั้วอำนาจเดียว” ที่มีอเมริกาเป็นจ้าวโลก ประมุขโลกต่อไปอีกแล้ว ดังนั้น...การยอมรับต่อสถานะ อำนาจ ของ “มหาอำนาจคู่แข่ง” อย่างจีนและรัสเซีย ถึงขั้นคิดดึงมาร่วมพูดคุยเจรจาเรื่องลดอาวุธนิวเคลียร์ ลดงบประมาณทางทหาร หรือแม้กระทั่งการค้า การร่วมลงทุน ดังที่อดีตผู้เชี่ยวชาญด้านจีนที่เคยเป็นที่ปรึกษาให้กับ “ทรัมป์บ้า” สมัยแรก “นายMichael Pillsbury” ได้ยอมรับกับหนังสือพิมพ์ “The New York Times” ว่ากำลังจะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการที่จะทำข้อตกลงกับจีนในเรื่องราวเหล่านี้แบบ “ได้ประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย” อันนี้ต้องถือว่า...ถึงจะมีพื้นฐานมาจาก “ความเห็นแก่ตัว” หรือความเป็น “American First” แต่อย่างน้อย...ก็อาจพอช่วยผ่อนคลาย ทุเลา เบาบาง บรรยากาศความตึงเครียด ที่รัฐบาล “โจ ซึมเซา” เคยหวิดๆ จะลากโลกทั้งโลกให้ลงเหว ลงนรก หรือใกล้ๆจะเปิดประตูนรกสู่ “สงครามโลกครั้งที่ 3” แบบรอมร่อ...

ส่วนความพยายามที่จะกวาดล้างพวก “Deep State” ในประเทศอเมริกาเอง...จะเป็นไปได้ถึงขั้นไหนต่อขั้นไหน หรือจะนำความป่วนมาสู่ประเทศอเมริกายิ่งๆ ขึ้นไป??? อันนี้...คงต้องคอยติดตามไปเป็นระยะๆ เพราะแม้ว่าการแต่งตั้ง “นายKash Patel” ที่เคยได้ชื่อว่าเป็นผู้ต่อต้านพวก “Deep State” อย่างชนิดสุดจิตสุดใจ จนถึงกับถูกกล่าวหาว่าเป็นพวก “หัวรุนแรง” ขึ้นเป็นผู้อำนวยการ “FBI” คนใหม่ หรือเปิดโอกาสให้อดีตร้อยโทหญิง อย่าง “นางTulsi Gabbard” ตัวแทนรัฐฮาวาย ที่เคยถูกรัฐบาลยูเครนกล่าวหาว่าเป็น “เครื่องมือรัสเซีย” ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติ ฯลฯ จะแสดงถึงความมุ่งมั่น ตั้งใจ ของประธานาธิบดีอเมริกันรายใหม่มิใช่น้อย แต่ภายใต้บรรยากาศที่บรรดาชาวอเมริกันชนจำนวนไม่น้อย แห่กัน “ลงถนน” พร้อมกับข้อกล่าวหาผู้นำตัวเองว่ากำลังคิดจะตั้งตัวเป็น “พระราชา” หรือเป็น “จอมเผด็จการ” กันไปแทนที่ รวมทั้งโอกาสที่จะเกิดการ “ลอบสังหารครั้งที่ 4” ต่อผู้นำประเทศ แบบเดียวกับที่เคยเกิดกับอดีตประธานาธิบดีอเมริกันรายแล้ว รายเล่า ก็ใช่ว่าจะไม่มีเอาเสียเลย และนั่นอาจส่งผลให้ความหวัง ความตั้งใจ ที่จะทำให้ “America Great Again” ของ “ทรัมป์บ้า” อาจต้องกลายเป็น “Dead Again” ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้...

อย่างไรก็ตาม...เอาเป็นว่า ด้วยเหตุที่ยังไม่บรรลุถึงขั้นโสดาปัตติมรรค-โสดาปัตติผล ยังคงต้อง “Me First” หรือ “American First” หรือยังต้อง “เห็นแก่ตัว” เข้าไว้ก่อน ความเป็นอเมริกันก็เลยยังคงเป็น “อเมริกัน...อันตราย!!!” อยู่อีกเช่นเดิม ความคิดที่จะเอาแผ่นดินเกิดของบรรดาชาวปาเลสไตน์มาทำเป็น “ริเวียราแห่งตะวันออกกลาง” อันแทบไม่ต่างไปจากการร่วมสมรู้ร่วมคิดในการ “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” โดยกองทัพอิสราเอลต่อชาวปาเลสไตน์ทั้งหลาย แถมยังพร้อมที่จะขนระเบิด “MK-84” จำนวนถึง 1,800 ลูกจากอเมริกาไปส่งที่เมืองท่า “Ashdod” ของอิสราเอลเมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา ส่งเครื่องบินทิ้งระเบิด “B-52” อันถือเป็นเครื่องหมายทางยุทธศาสตร์ไปประจำการที่ฐานทัพอากาศ “Fairford” ในอังกฤษ จนถูกตีความว่าอาจหมายถึงการ “เปิดไฟเขียว” ให้กับการโจมตีโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน ไปจนการคิดจะรื้อฟื้นระบบป้องกันภัยทางอากาศแบบ “Iron Dome” หรือคิดจะส่งใครต่อใครไปดาวอังคาร ที่ทำให้อดนึกถึงโครงการ “Star War” หรือการคิดแปรสภาพอวกาศให้เป็นสนามรบเมื่อครั้งอดีตขึ้นมาไม่ได้ ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง...เลยทำให้แม้ว่าความ “ยิ่งใหญ่” หรือความ “Great Again” ของอเมริกา อาจถูกจำกัดอยู่ “ภายในขอบเขตที่ตัวเองต้องการ” ไม่ได้ถึงกับครอบคลุมไปทั่วทั้งโลกในฐานะจ้าวโลก-ประมุขโลกต่อไปอีกแล้ว แต่มันก็ยังคงเป็น “อเมริกัน...อันตราย” อย่างมิอาจผันแปรไปเป็นอื่น...

เพราะความเป็น “มหาอำนาจ” ของอเมริกานั้น...แม้จะเกิดจากการพร้อมยอมรับมหาอำนาจรายอื่นๆ ควบคู่ไปด้วยก็ตาม แต่ก็ดังที่อดีตประธานาธิบดีอเมริกันเอง อย่าง “นายHary S. Truman” เคยเอ่ยเป็นวาทะในระหว่างการปราศรัยกับสภาคองเกรสเอาไว้นั่นแหละว่า... “The responsibility of the great states is to serve and not to dominate the world.” หรือ “ความรับผิดชอบของมหาประเทศ ก็คือการรับใช้โลก ไม่ใช่การครองโลก” หรือหมายถึงการ “เสียสละ” ไม่ใช่หมายถึงความ “เห็นแก่ตัว” ใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย!!!


กำลังโหลดความคิดเห็น