เปิดฉากสัปดาห์นี้...ก่อนอื่นคงหนีไม่พ้นต้องสารภาพไว้เลยว่า ผู้นำรายใหม่อเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” นั้น ช่างเป็นอะไรที่ “บ้า...จนเดาแทบไม่ออก” เอาเลยจริงๆ!!! ไม่ว่าด้วยความคิดแผลงๆ ที่ต้องการจะขยายขอบเขตประเทศอเมริกา ด้วยการผนวกประเทศแคนาดามาเป็นรัฐที่ 51 ยึดเกาะกรีนแลนด์ ยึดคลองปานามาเพื่อกันไม่ให้ประเทศจีนเข้ามายุ่งเกี่ยว ไปจนการคิดเทกโอเวอร์ดินแดนฉนวนกาซามาตุภูมิของชาวปาเลสไตน์มาทำเป็นรีสอร์ตซะดื้อๆ หรือคิดจะเดินหน้าขึ้นภาษีเอากับใครก็ตามที่คิด “เทดอลลาร์” (De-dollarization) ไปถึงระดับ 100 เปอร์เซ็นต์เอาเลยถึงขั้นนั้น ฯลฯ อันถือเป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อ ความมั่นอก-มั่นใจ ว่า “กูคือจ้าวโลก-ประมุขโลก” อย่างแทบไม่ต้องเสียเวลาอธิบาย...
แต่เมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา...ก็กลับหันมาแสดงความยอมรับต่อ “มหาอำนาจคู่แข่ง” อย่างจีนและรัสเซีย แบบชนิดใครต่อใครต้องอ้าปากค้างไปตามๆ กัน ไม่ว่าอยากจะร่วมประชุมสูงสุดกับสองผู้นำอย่างประธานาธิบดี “ปูติน” และ “สี จิ้นผิง” เพื่อหวังจะชวนให้มาร่วมลดอาวุธนิวเคลียร์ เพราะเท่าที่มีอยู่ในโลกนี้รวมๆ แล้วกว่า 12,000 หัวรบก็สามารถ “ทำลายโลกทั้งโลกได้ไม่ต่ำกว่า 50 ครั้ง” ด้วยเหตุนี้...ควรที่จะเอาเงินมาใช้อย่างอื่นแทนที่จะนำไปใช้จ่ายในด้านการทหาร อันเป็นอะไรที่น่ายกย่อง น่าสรรเสริญ เป็นอย่างยิ่ง ทั้งที่ก่อนหน้านั้นแค่ไม่กี่วัน ไม่กี่ชั่วโมง กลับป่าวประกาศไว้แบบเสียงดัง-ฟังชัด กับบรรดาอเมริกันชนทั้งหลาย ว่ากำลังเตรียมสร้างระบบ “Iron Dome” ขึ้นมาปกป้อง คุ้มครอง ชาวอเมริกันเพื่อให้ “Safe Again” ไปโดยตลอด เตรียมจะส่งใครต่อใครไปดาวอังคารเพื่อไปสำรวจหาแหล่งติดตั้ง “ขีปนาวุธบนอวกาศ” หรือไม่? อย่างไร? ก็ยังไม่เป็นที่ชัดเจน อันนี้นี่แหละ...มันเลยออกอาการย้อนแย้ง เดาไม่ถูก เดาแทบไม่ได้ ว่าเป็นเพราะความ “บ้า...ก็...บ้าวะ” หรืออะไรกันแน่!!!
คือเฉพาะแค่การต่อสายพูดคุยโทรศัพท์กับผู้นำรัสเซีย ประธานาธิบดี “ปูติน” ร่วมๆ 90 นาทีเมื่อช่วงวันพุธที่แล้ว (12 ก.พ.) ถึงการหาข้อสรุป ข้อยุติ กรณี “สงครามยูเครน” ก็เรียกว่า...เล่นเอาบรรดาผู้นำชาติยุโรปทั้งหลายที่เคยเป็น “พรมเช็ดเท้า” ให้กับคุณพ่ออเมริกามาโดยตลอด ถึงกับ “พล่าน” ไปทั่วทั้งยุโรปเอาเลยก็ว่าได้ เพราะไม่เพียงแต่ถือเป็นการเปิดหน้า เปิดการเจรจาครั้งแรก ระหว่างผู้นำสองมหาอำนาจ หลังจากที่รัสเซียได้ตัดสินใจบุกยูเครนเมื่อปี ค.ศ. 2022 เป็นต้นมา โดยก่อนหน้านั้น...ไม่ว่าประเทศยุโรปรายใดที่คิดไปต่อสาย จับเข่า จับหัวเหน่ากับผู้นำรัสเซีย อย่างผู้นำฮังการี หรือสโลวาเกีย ก็แล้วแต่ ล้วนแล้วต้องกลายเป็น “สุนัขหัวเน่า” ของยุโรปไปด้วยกันทั้งสิ้น แต่ผู้สนับสนุนรายใหญ่ของยูเครนอย่างคุณพ่ออเมริกา โดยประธานาธิบดีรายใหม่อย่าง “ทรัมป์บ้า” กลับหันไปเจ๊าะแจ๊ะ ไปเปิดฉากเจรจากับผู้นำรัสเซียเสียเอง ทั้งยังแบะท่าว่ายูเครนอาจไม่มีโอกาสทวงคืนดินแดนกลับคืนมาจากรัสเซียได้อีก แถมไม่อาจเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ “NATO” ได้ด้วย หรืออาจต้องยอมรับต่อ “สันติภาพอันเกิดจากการยอมแพ้” (peace that is a capitulation) อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้...
อันนี้นี่แหละ...ที่ทำให้ผู้นำฝรั่งเศส อย่างประธานาธิบดี “Emmanuel Macron” ถึงกับต้องให้คำเรียกขานท่าทีทางการทูตอเมริกันภายใต้ผู้นำรายใหม่อย่าง “ทรัมป์บ้า” ว่าอาจถือเป็น “ยุทธศาสตร์ปลุกให้ตื่น” หรือ “Strategic wake-up call” อะไรไปโน่นเลย โดยอาศัยกรรมวิธีการช็อตไฟฟ้า (Electroshock) เพื่อหวังกระตุ้นบรรดาชาติยุโรปทั้งหลาย ให้หันมาเอาจริง-เอาจังกับปัญหาความมั่นคงของตัวเอง หรืออนาคตของยูเครน โดยไม่ได้อธิบายขยายความเอาไว้ด้วยว่า จะมีใครช็อกตาย หรือถูกไฟฟ้าช็อตตาย ด้วยเหตุเพราะการปลุก การกระตุ้น ทำนองนี้หรือไม่? ประการใด? เพียงแต่สรุปไว้แบบเงื่องๆหงอยๆ ประมาณว่า... “สันติภาพที่เกิดจากการยอมแพ้ ถือเป็นข่าวเลวร้ายสำหรับทุกๆ คน” อะไรประมาณนั้น...
แต่ก็นั่นแหละ...การหันมาให้ค่า ให้ราคากับ “มหาอำนาจคู่แข่ง” อย่างจีนและรัสเซีย ถึงขั้นคิดจะเชื้อเชิญหมีขาวรัสเซียให้กลับไปร่วมกลุ่มประเทศผู้นำโลก อย่างกลุ่มประเทศ “G7” ถึงขั้นที่ผู้นำอเมริกันรายใหม่เปิดอกกับบรรดาผู้สื่อข่าวเมื่อช่วงวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา (13 ก.พ.) ไว้ชนิดที่ว่า... “ผมรักที่จะให้รัสเซียกลับมาเป็นส่วนหนึ่งในประเทศ G7 และคิดว่าเป็นเรื่องผิดที่จะโยนพวกเขาออกไป” แต่นั่นดูจะไม่ได้ทำให้ประเทศรัสเซียออกอาการกระดี้กระด้ามากมายสักเท่าไหร่ หรืออย่างที่โฆษกเครมลิน “นายDmitry Peskov” ออกมาแถลงแสดงปฏิกิริยาต่อข้อเสนอของผู้นำอเมริกาทำนองนี้เอาไว้นั่นแหละว่า เอาเข้าจริงๆ แล้ว...กลุ่มประเทศ “G7” ได้สูญเสียสถานะความเป็นผู้นำโลก หรือไม่ใช่ศูนย์กลางแห่งการพัฒนาเศรษฐกิจ-สังคมของโลกไปนานแล้ว แต่น่าจะเป็นกลุ่มประเทศ “G20” มากกว่าที่ได้รวมเอาบรรดาประเทศกำลังพัฒนา อย่างจีน อินเดีย และบราซิล ฯลฯ เข้าไปร่วมด้วย ถึงจะมีสถานะเป็นศูนย์กลางแห่งการพัฒนาเศรษฐกิจ-สังคมโลกได้อย่างแท้จริง...
หรือพูดง่ายๆ ว่า...สิ่งที่โฆษกรัสเซีย พยายามอธิบายขยายความ ในลักษณะทำนองนี้ก็คือว่า โลกทุกวันนี้ได้กลายเป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ได้เป็น “โลกขั้วอำนาจเดียว” โดยมีคุณพ่ออเมริกาดำรงสถานะเป็นผู้นำ หรือเป็นประมุขโลกอีกต่อไป และการยอมรับ “ความจริง” หรือ “ข้อเท็จจริง” ในลักษณะเช่นนี้เท่านั้นถึงจะพอช่วยให้เกิด “สันติภาพ” หรือเกิดการ “อยู่ร่วมกันโดยสันติ” ระหว่างประเทศต่างๆ ในโลกใบนี้ บนพื้นฐานของ “ระเบียบโลกแบบใหม่” ที่ไม่ใช่ระเบียบโลกแบบเดิมๆ หรือแบบที่อเมริกายังคงความเป็นจ้าวโลก หรือยังต้องการที่จะให้ “America Great Again” อีกต่อไป โดยไม่คิดจะสนใจต่อ “อำนาจอธิปไตย” ของบรรดาประเทศเล็ก ประเทศน้อย ไม่ว่าจะเป็นแคนาดา กรีนแลนด์ ปานามา หรือรัฐปาเลสไตน์ ฯลฯ ก็ตามที...
อันนี้นี่เอง...ที่ทำให้เกิดการ “ย้อนแย้ง” ระหว่างคำพูด คำขู่ คำเชื้อเชิญ หรือข้อเสนอ ของผู้นำรายใหม่ของอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” จนแทบคาดเดาไม่ได้ว่าเป็นเพราะ “บ้า...ก็...บ้าวะ” หรือเป็นแนวคิด นโยบาย เป็นยุทธศาสตร์ที่ได้รับการกลั่นกรองไว้เรียบร้อยแล้ว เพราะขนาด “พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์” อย่างคุณปู่อิสราเอล ก็ยังต้องรอจังหวะ รอโอกาส รอให้ทุกสิ่งทุกอย่าง “ตกผลึก” ไปเสียก่อน โดยเฉพาะต่อข่าวล่า-มาเรือ ที่สื่ออเมริกันอย่าง “The Wall Street Journal” และ “The Washington Post” นำเสนอเอาไว้ในลักษณะเดียวกัน นั่นก็คือความร่วมมือระหว่างอเมริกาและอิสราเอลในการคิดจะโจมตี “โครงการนิวเคลียร์อิหร่าน” ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ดังที่รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล “นายIsrael Katz” ออกมาระบุว่าอิสราเอลกำลัง “รอการตัดสินใจ” ของอเมริกา ว่าจะเปิดไฟเขียว หรือจะให้ความร่วมมือมาก-น้อยขนาดไหน???
ยิ่งเมื่อเกิดการส่งเครื่องบินทิ้งระเบิด “B-52” ที่สามารถบรรทุกระเบิดน้ำหนัก 70,000 ปอนด์ รวมทั้งนิวเคลียร์ได้ด้วย จากกองทัพอากาศอเมริกาไปยังฐานทัพอากาศ “Fairford” ของประเทศอังกฤษ เมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ยิ่งกลายเป็นเพิ่มน้ำหนักให้เห็นว่า อเมริกาคงไม่ได้คิดจะ “อยู่ร่วมโดยสันติ” กับใครเอาง่ายๆ เพราะโดยอานุภาพของเครื่องบินชนิดนี้ ถือเป็น “เครื่องหมายทางยุทธศาสตร์” ที่สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการรับมือกับภัยคุกคามต่างๆ ในระดับโลก ไม่ว่าตั้งแต่ยุโรปไปจนถึงตะวันออกกลางก็ตามที และนั่นเอง...ที่อาจทำให้ผู้นำรายใหม่ของอเมริกาเกิดความมั่นอก-มั่นใจ ว่าการ “กวาดขยะ” บรรดาชาวปาเลสไตน์ ไปซุกไว้ใต้พรมของประเทศอาหรับที่ต่างต้องพึ่งความช่วยเหลือของอเมริกา ไม่ว่าอียิปต์ จอร์แดน ก็คือ “ข้อเสนอ...ที่เอ็งมิอาจปฏิเสธ” แบบเดียวกับข้อเสนอของบรรดา “มาเฟีย” ทั้งหลาย...นั่นแล...
ด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้การแสดงออกถึงความปรารถนาแห่ง “สันติภาพ” การคิดจะยุติ “สงครามยูเครน” คิดจะจับเข่าคุยกับจีน-รัสเซีย เพื่อช่วยกันลดหัวรบนิวเคลียร์ หรือคิดจะเล่นงานพวก “Deep State” ภายในประเทศตัวเองที่อาศัย “สงคราม” เป็นทางออก-ทางไปมาโดยตลอด ฯลฯ มันเลยเป็นสิ่งที่คงต้องรอให้อะไรต่อมิอะไรมัน “ตกผลึก” ลงไปเสียก่อน ว่าเอาเข้าจริงๆ แล้ว...มันเป็นสิ่งที่ประธานาธิบดีรายใหม่ของอเมริกาได้ใคร่ครวญหวนคิด พินิจพิจารณาด้วย “สติและปัญญา” มาแล้วอย่างครบถ้วน สมบูรณ์ หรือเป็นเพียงลักษณะอาการแบบ “บ้า...ก็...บ้าวะ” ตามสไตล์ “ทรัมป์บ้า” อันเป็นอะไรที่คาดเดาแทบไม่ได้ ไม่เช่นนั้น...โอกาสที่จะ “เสร็จคนบ้า” หรือ “เสียท่าคนเมา” ย่อมมีความเป็นไปได้ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง...จนได้!!!