ตอนนี้คนไทยและคนทั่วโลกกำลังสับสนว่า ใครเป็นนายกรัฐมนตรีประเทศไทยกันแน่ระหว่างอุ๊งอิ๊งค์ แพทองธาร ชินวัตรกับทักษิณผู้พ่อ เพราะการพูดจาของทักษิณกับสื่อนั้นเหมือนเขาเป็นนายกรัฐมนตรีเสียเอง ทั้งๆ ที่ทักษิณไม่ได้มีฐานะอะไรในรัฐบาล และในพรรคเพื่อไทย เป็นเพียงพ่อของนายกรัฐมนตรี
ในฐานะพ่อลูกและเป็นคนเคยมีประสบการณ์มาก่อนทักษิณอาจจะให้คำแนะนำกับอุ๊งอิ๊งค์ในเรื่องต่างๆ ได้ แต่ต้องกระทำกันเป็นการภายในไม่ใช่ทำกันประเจิดประเจ้อราวกับเป็นคนมีอำนาจสั่งการ แม้จะรู้ว่า ในความเป็นจริงทักษิณอาจจะสามารถสั่งการรัฐมนตรีบางคนได้ เพราะเป็นที่รู้กันว่า ทักษิณก็คือเจ้าของพรรคเพื่อไทยในทางพฤตินัยนั่นแหละ แต่ก็ไม่ควรแสดงออกมาต่อสาธารณะ
วันก่อนทักษิณ บอกว่า เขาได้สอบถามนายพิชัย ชุณหวชิรรองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลังในเรื่องการตั้งประธานบอร์ดแบงก์ชาติอีก 2 วันก็คงจะลงตัว
ทักษิณก็อาจจะรู้จักนายพิชัย รัฐมนตรีคลังดี ก็มีสิทธิ์ที่พูดคุยสอบถามว่า จะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ แต่การพูดต่อสื่อทำให้เสมือนว่า ทักษิณเป็นคนวงในรัฐบาลทั้งที่ไม่ได้มีอำนาจอะไรนั่นเป็นสิ่งไม่ควรทำ และไม่ใช่หน้าที่อะไรของนายพิชัยที่จะรายงานอะไรต่อทักษิณ
แต่ประเด็นสำคัญที่ทักษิณต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวเหมือนเป็นคนวงในรัฐบาลเสียเอง ก็คงเป็นเพราะว่าทักษิณรู้ศักยภาพของลูกสาวตัวเองดีว่า มีศักยภาพแค่ไหน มีความรู้สติปัญญาความสามารถแค่ไหนที่จะบริหารประเทศตามลำพัง วันนี้แม้แต่การแถลงการประชุมในแต่ละสัปดาห์อุ๊งอิ๊งค์ก็พูดได้แต่กรอบกว้างๆไม่สามารถลงรายละเอียดได้แล้วต้องพึ่งพาไอแพด ดังที่สื่อให้ฉายาว่า แพทองโพย
การแถลงข่าวแต่ละครั้งก็ต้องระดมรัฐมนตรีมายืนข้างหลัง เพื่อให้อบอุ่นใจหรือคอยตอบคำถามที่อุ๊งอิ๊งค์ตอบไม่ได้ เวลาเดินทางไปต่างประเทศหรือไปเยือนจีนก็ต้องขนรัฐมนตรีไปคณะใหญ่ ไม่สามารถที่จะไปสื่อสารกับนานาประเทศตามลำพังได้ ตอนไปพบกับสี จิ้นผิง ถ้าใครเห็นคลิปที่ออกมาเผยแพร่ก็จะเห็นว่า เธอไปนั่งอ่านไอแพดให้สี จิ้นผิงฟัง
ที่ตลกมากไปกว่านั้นคือ เธอเอาเอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ไปขายสี จิ้นผิง จนอุ๊งอิ๊งค์ออกมายอมรับเองว่า สีจิ้นผิง ได้ให้ข้อแนะนำว่าการมีกาสิโนอาจนำไปสู่ปัญหาต่างๆ
นั่นแสดงว่า อุ๊งอิ๊งค์ และทีมงานไม่ได้ทำการบ้านเลย แม้ว่าจีนจะเป็นเจ้าของมาเก๊าที่มีเอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ซึ่งมีบ่อนกาสิโนอยู่มาก แต่สำหรับแผ่นดินใหญ่แล้วจีนจะไม่ยอมให้มีกาสิโนโดยเด็ดขาดเพราะจีนมีกฎหมายต่อต้านการพนันประมวลกฎหมายอาญาของจีน (มาตรา 303) กำหนดโทษต่อการจัดหรือมีส่วนร่วมในการพนันที่ผิดกฎหมายอย่างเคร่งครัดโดยถือว่าการพนันเป็นภัยคุกคามต่อ “ระเบียบสังคม” และ “ศีลธรรมสาธารณะ”
สำหรับจีนการพนันถูกมองว่าเป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมความโลภและความเสี่ยงทางเศรษฐกิจซึ่งขัดกับอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ และมองว่าการพนันออนไลน์หรือกาสิโนอาจเป็นช่องทางรั่วไหลของเงินทุนไปต่างประเทศหรือถูกใช้ฟอกเงิน ซึ่งกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจรวมถึงบทเรียนจากประวัติศาสตร์ในสมัยราชวงศ์ชิงและช่วงสงครามฝิ่นการพนันถูกเชื่อมโยงกับความอ่อนแอของชาติจีนยุคใหม่ จึงต้องการหลีกเลี่ยงภาพลักษณ์ดังกล่าว
รัฐบาลจีนไม่สนับสนุนกาสิโนในประเทศเพราะมองว่าผลกระทบทางสังคมและความมั่นคงมีน้ำหนักมากกว่าผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจโดยเลือกควบคุมการพนันผ่านมาเก๊าแทนเพื่อสร้างสมดุลระหว่างรายได้และการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม
สิ่งที่อุ๊งอิ๊งค์นำเรื่องกาสิโนไปพูดกับสี จิ้นผิง จึงเป็นเรื่องที่น่าอับอายมาก
และเมื่อนาโอมิ เอเลน แคมป์เบลล์ มาเข้าพบหารือ อุ๊งอิ๊งค์บอกว่า เธอได้หารือกับนาโอมิเพื่อช่วยผลักดันซอฟต์เพาเวอร์แฟชั่นไทยไปสู่เวทีโลก แต่เธอคุยกับนาโอมิว่า เสื้อที่ตัวเองใส่มาเป็นเสื้อท็อปตัวแรกจาก MARC JACOBS ซื้อเมื่อสมัยที่เรียนมหาวิทยาลัยชั้นปีที่ 3 พร้อมถามนาโอมิแคมป์เบลล์จำได้หรือไม่ว่าสวมชุด Collection นี้เป็นที่นิยมมาก
แถมการเดินทางไปเยือนต่างประเทศของเธอที่ประกาศตัวว่าจะผลักดันแฟชั่นไทยไปสู่ต่างประเทศและชอบบอกว่าไทยมีลายผ้าที่สวย แต่เธอมักปรากฏกายในอาภรณ์ที่สวมใส่ด้วยแบรนด์เนมหรูราคาแพงตั้งแต่หัวจดเท้า
เธอถูกวิจารณ์เรื่องการแต่งกายมาก อุ๊งอิ๊งค์เองก็ได้ยินเสียงค่อนแคะเหล่านั้น เพราะเคยกล่าวว่าตัวเธอก็ยังถูกบูลลีอยู่บ้างจากการเป็นผู้หญิงเมื่อสังคมเปิดกว้างขึ้นโลกเปิดกว้างขึ้นและมีการพัฒนามากขึ้นเข้าใจกันมากขึ้นเชื่อว่าเรื่องบูลลีจะน้อยลง และจากที่เธอเคยอ่านพบว่านักการเมืองหญิงทั่วโลกจะถูกบูลลีในเรื่องต่างๆ เช่นการแต่งกายทำไมแต่งตัวแบบนี้ซึ่งต่างจากผู้ชาย
ดูเหมือนเธอไม่เข้าใจว่าสิ่งที่สังคมตั้งคำถามก็คือ เรื่องการแต่งกายให้เหมาะสมกับกาลเทศะ และในฐานะที่ตัวเองเป็นผู้นำประเทศต่างหากเธอไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศนี้ก็คงจะไม่มีใครวิจารณ์เธอเรื่องการแต่งกาย
แต่จำได้ไหมว่าใครเป็นคนพูดเรื่องนาโอมิก่อน คำตอบก็คือทักษิณนั่นเองทักษิณบอกว่า เขาได้ประชุมกับ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ประธานคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์เพาเวอร์แห่งชาติว่าจะคัดคนสวยแบบธรรมชาติไม่ต้องศัลยกรรมเพื่อให้มีโอกาสเท่าเทียมกัน ใครอยากเป็นนางแบบระดับโลกก็จะคัดมาฝึกซึ่งนพ.สุรพงษ์บอกว่าอยากได้งบกลาง 20 ล้านบาท ทักษิณเลยบอกว่าเดี๋ยวผมหาให้เอง เดี๋ยวหาสปอนเซอร์มาช่วย และบอกตอนนั้นว่าจะเชิญนาโอมิมาเยือนประเทศไทย ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ทักษิณประชุมกับ นพ.สุรพงษ์ในฐานะอะไร แล้วไปขอเงินสปอนเซอร์มาช่วยเจ้าหน้าที่รัฐนั้นมีความผิดไหม
แล้วนาโอมิก็คือ คนเชื้อสายแอฟริกาที่ทักษิณเคยบูลลีว่า ดำก็ดำแล้วจมูกก็แหมบจมูกดั้งแหมบนั่นเอง และถูกเตือนว่า เป็นการเหยียดผิวและด้อยค่าเพื่อนมนุษย์
ทักษิณยังพูดเรื่องการทำงานของรัฐมนตรีพร้อมกับการตำหนิหลายครั้ง บอกว่ามีบางกระทรวงทำงานช้า ไม่กระตือรือร้น เหมือนกับตัวเองมีอำนาจในรัฐบาล หรือก่อนหน้านี้เคยพูดว่า การประชุมคณะรัฐมนตรีมีพรรคร่วมบางพรรคหลบป่วยอย่างนี้ไม่ใช่เลือดสุพรรณนี่หว่า ถ้าอยู่ด้วยกันก็ต้องด้วยกันสิวันหลังไม่อยากอยู่ต้องบอกให้ชัดเจน
ทั้งๆ ที่เป็นเพียงพ่อของนายกรัฐมนตรีเท่านั้นไม่ได้มีฐานะอะไรในรัฐบาลและไม่เคยมีนายกรัฐมนตรีคนไหนของประเทศไทยที่มีพ่อเข้ามาวุ่นวายเหมือนแทรกแซงการทำงานของนายกรัฐมนตรีมาก่อนเลย
แต่ก็พอเข้าใจว่า ทักษิณรู้ถึงข้อจำกัดของอุ๊งอิ๊งค์ว่า ทำอะไรได้แค่ไหน เข้าใจรับรู้ปัญหาการเมืองแค่ไหน ในท่ามกลางภูมิรัฐศาสตร์ของโลกที่กำลังร้อนแรง ท่ามกลางความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในหลายภูมิภาค อุ๊งอิ๊งค์มีความรู้แค่ไหนที่จะนำพาประเทศไทยไปบนเวทีโลก
สิ่งที่ทักษิณน่าจะคิดได้อย่างเดียวสำหรับการเป็นนายกรัฐมนตรีของอุ๊งอิ๊งค์ก็คือ เขาสามารถเข้ามากำกับและสั่งการอยู่หลังม่านได้ง่ายกว่าคนอื่น ทำให้บางครั้งลืมตัวล้ำออกมาหน้าม่านจนคิดว่าเป็นนายกรัฐมนโท
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan