xs
xsm
sm
md
lg

แก๊งคอลเซนเตอร์ : ภัยที่เกิดง่ายทลายยาก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: สามารถ มังสัง



หลังจากที่ประเทศจีนได้ส่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงระดับรัฐมนตรี และทีมงานมาประเทศไทยอย่างเป็นทางการ และได้ชี้เป้ากระบวนการแก๊งคอลเซนเตอร์ในส่วนที่เกี่ยวกับตัวการ และสถานประกอบการรวมไปถึงเจ้าหน้าที่ของไทยที่เกี่ยวข้องกับแก๊งนี้ด้วย

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจของไทยได้เข้าตรวจค้นสถานที่ประกอบการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่จังหวัดเชียงใหม่ พบอุปกรณ์จำนวนมากและจับกุมบุคคลที่เกี่ยวข้องเป็นเมียนมา 8 คน ไทย 5 คน แต่ตัวการใหญ่ซึ่งเป็นคนจีนมีภรรยาเป็นคนไทยได้หลบหนีไปได้ และต่อมาได้จับกุมได้ที่ชายแดนเขมร

จากการจับกุมในครั้งนี้ ทำให้เกิดข้อกังขาหลายประการดังต่อไปนี้

1. จากข่าวที่ปรากฏออกมา ตัวการใหญ่ซึ่งเป็นคนจีนและมีภรรยาเป็นคนไทย ซึ่งเป็นผู้จัดการหาเช่าสถานที่ทำการและจ่ายค่าสาธารณูปโภคสองปีมาแล้ว จึงทำให้เกิดข้อกังขาว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง รวมไปถึง สส.ในพื้นที่ไม่ระแคะระคายเกี่ยวกับการทำงานของกลุ่มนี้เลยหรือ และนี่เองที่ทำให้การชี้เป้าของเจ้าหน้าที่จีนมีน้ำหนักว่า เจ้าหน้าที่ของไทยบางคนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย

2. แก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศไทย ได้ทำงานประสานกับสำนักงานใหญ่นอกประเทศ อันได้แก่เมียนมา กัมพูชา และสิงคโปร์ โดยทำเป็นขบวนการนำเงินที่ได้จากการหลอกลวงเหยื่อผ่านการฟอกเงินในรูปแบบต่างๆ และนำกลับมาใช้ในประเทศไทย จึงทำให้เกิดข้อกังขาว่าประเทศไทยมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศเหล่านี้ เหตุใดจึงไม่ขอความร่วมมือในการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างจริงจังในระดับประเทศ

3. การฟอกเงินเท่าที่ฟังจากข่าวเกี่ยวข้องกันในหลายรูปแบบ มีตั้งแต่ซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ สถานแลกเปลี่ยนเงินตรา และนำเข้าสินค้า เป็นต้น จึงไม่น่าปกปิดซ่อนเร้นได้ แต่ที่สามารถดำเนินการอยู่ได้โดยไม่ถูกจับกุมคงหนีไม่พ้นเจ้าหน้าที่ของรัฐบางคนบางกลุ่มรู้เห็นเป็นใจ โดยการเพิกเฉยเพื่อแลกกับการเรียกร้องผลประโยชน์ในรูปของการส่งสวยเป็นรายได้พิเศษนอกเหนือจากเงินเดือนที่ได้จากภาษีประชาชน

ด้วยข้อสงสัย 3 ประการข้างต้น จึงทำให้เชื่อได้ว่า ลำพังเจ้าหน้าที่ของไทยจะมีศักยภาพและประสิทธิภาพเพียงพอที่จะปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้ขนาดนี้หรือไม่ ถ้าไม่มีประเทศจีนซึ่งเอาจริงเอาจังกับการปราบการทุจริตทุกรูปแบบ เฉกเช่นที่สี จิ้นผิง ดำเนินการอยู่ได้หรือไม่

แต่ที่สงสัยและทำให้เชื่อเช่นนี้ก็ใช่ว่าเจ้าหน้าที่ของไทยส่วนใหญ่ไม่ดี แต่คนชั่วส่วนน้อยในหมู่คนดีส่วนใหญ่เป็นคนกล้าทำชั่ว โดยร่วมมือกับคนเลวทำความเลวโดยที่คนดีส่วนใหญ่มิได้ขัดขวางคนเลว จึงทำให้ถูกเหมาว่าเป็นคนไม่ดีไปด้วย

ดังนั้น ถ้าจะให้ภาพลักษณ์ของเจ้าหน้าที่ดีขึ้น และเป็นที่ยอมรับของประชาชนคนดี ต้องกล้าทำดีและขัดขวางคนเลวมิให้ทำชั่ว โดยยึดกฎหมายและคุณธรรมควบคู่กันไป ถ้าทำได้ประเทศก็จะโดดเด่นในสายตาของชาวโลก แต่ถ้าทำไม่ได้หรือไม่ทำก็ต้องยอมรับคำติเพื่อก่อ และนั่งรอให้กรรมให้ผลแก่คนทำชั่วโดยไม่ต้องพึ่งกฎหมายก็แล้วกัน


กำลังโหลดความคิดเห็น