เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องขออนุญาตชี้ชวน เชิญชวน ให้ลองไป “ชั่งน้ำหนัก” ถึง “ความป่วน” ของ “ทรัมป์บ้า” ไม่ว่าในฐานะ “ประธานาธิบดีอเมริกา” หรือในฐานะ “ประมุขโลก” ว่าไปๆ-มาๆ แล้ว ระหว่างการ “ป่วนโลก” กับ “ป่วนอเมริกา” อย่างไหน? ที่น่าจะหนักหนา-สาหัส น่าจะขนหัวลุก-ขนคอตั้งมาก-น้อยไปกว่ากัน!!!
เพราะไม่เพียงแต่บรรดา “ชาวโลก” เท่านั้น ที่ต้องตกตะลึง อ้าปาก-ตาค้าง กับ “มุก” ต่างๆ ของผู้นำอเมริการายนี้ ไม่ว่าการคิดจะยึดแคนาดาเอามาเป็นรัฐที่ 51 ของอเมริกา ยึดเกาะกรีนแลนด์จากเดนมาร์ก ยึดคลองปานามาเพื่อไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยวกับโครงการ “BRI” ของคุณพี่จีน แต่ล่าสุด...ยังคิดจะผนวกดินแดนฉนวนกาซา มาตุภูมิแห่งสุดท้ายของบรรดาชาวปาเลสไตน์ที่หวังจะสร้างชาติ-สร้างประเทศ เคียงคู่กับผู้ที่เคยยึดดินแดนตัวเองไปตั้งเป็นประเทศอิสราเอลมาก่อนหน้านั้น ไม่วันใด-วันหนึ่งให้จงได้ แต่กลับจะถูก “ทรัมป์บ้า” คิดเอาพื้นที่ดังกล่าวไปแปรสภาพเป็น “ริเวียราแห่งตะวันออกกลาง” ไปโน่น พร้อมคิดกวาด “ขยะ” คิดเสือกไสไล่ส่งชาวปาเลสไตน์ ให้ไปซุกอยู่ใต้พรมในประเทศอียิปต์ จอร์แดน กันแทนที่...
แม้ว่าจะโดน “ทัวร์ลง” จากโลกทั้งโลกเอาเลยก็ว่าได้ ไม่ว่ามหาอำนาจคู่แข่งอย่างคุณพี่จีน คุณน้ารัสเซีย โลกอาหรับทั้งแผง สหประชาชาติ และแม้แต่พันธมิตรในยุโรปอย่างสเปน ไอร์แลนด์ นอร์เวย์ ฯลฯ ที่ต่างออกโรงมาปฏิเสธ คัดค้าน แบบหัวเด็ดตีนขาด แต่ดูเหมือนว่า...บรรดาสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ก่อให้เกิดความรู้สึก-รู้สาต่อ “ทรัมป์บ้า” มากมายสักเท่าไหร่นัก ตรงกันข้าม...กลับหันไปสวนกระแสด้วยการประกาศ “คว่ำบาตร” ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ที่คิดออกหมายจับ “พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์” ของตัวเอง อย่างผู้นำอิสราเอล “นายBenjamin Netanyahu” ชนิด “แตะเธอเมื่อไหร่...โลกแตกแน่!!!” อะไรประมาณนั้น ด้วยบรรดา “ความป่วน” ในลักษณะเช่นนี้ จึงหนีไม่พ้นย่อมนำไปสู่รายการ “วอนทั้งโลก...โขกหัวเธอ” กันเห็นๆ...
แต่ก็นั่นแหละ...ภายในอเมริกาเอง ความตื่นตระหนกโตะ-จาย-โหมะ-เลย ต่อ “ความบ้า” ของ “ทรัมป์บ้า” รวมทั้งผู้ที่ใกล้ชิดสนิทสนม อย่าง “นายElon Musk” เจ้าของ “Tesla” และเว็บไซต์ “X” ก็ใช่ว่าจะน้อยกว่าบรรดาชาวโลกทั้งหลายซะเมื่อไหร่ ไม่ว่าจากกรณีหันไปกระทืบองค์กรช่วยเหลือพัฒนาของตัวเองอย่าง “The US Agency for International Development” หรือ “USAID” ที่เคยถูกใช้เป็น “เครื่องมือ” ในการแทรกซึม แทรกแซง บรรดาประเทศต่างๆ ให้ต้องตอบสนอง ต้องเป็น “พรมเช็ดเท้า” ให้กับอเมริกามานานแสนนาน มีงบประมาณก้อนเบ้อเร่อในแต่ละปี หรือในปี ค.ศ. 2023 ก็กำเม็ดเงินภาษีอากรของชาวอเมริกันไว้ถึง 60,000 ล้านดอลลาร์เอาเลยถึงขั้นนั้น โดยจะนำเอาเงินจำนวนนี้ไปใช้ในทางที่ไม่ถูก-ไม่ต้อง จนแทบไม่ต่างไปจาก “องค์กรอาชญากรรม” ดังที่ “นายElon Musk” ได้เปรียบเทียบ เปรียบเปรยเอาไว้ หรือเอาไป “ซื้อสื่อ” ที่เอียงไปทางพวกพรรคเดโมแครตและฝ่ายซ้ายทั้งหลาย ไม่ว่า “Politico”, “BBC World”, “AP”, “The New York Times” ฯลฯ อย่างที่ “ทรัมป์บ้า” ถึงกับให้คำเรียกขานว่าเป็น “ความอื้อฉาวที่สุดในประวัติศาสตร์” อะไรทำนองนั้น...
แถมยังหันไปเล่นงานพวก “LGBTQ+” ถึงขั้นคิดจะส่งบรรดานักโทษประเภท “เกสรอ่อนระทวย” ทั้งหลาย ไปติดคุกหรือไปเป็นเหยื่อบรรดานักโทษชาย ชนิดพวก “LGBTQ+” ในแต่ละราย ต่าง “รับไม่ได้...ฮ่ะ” ไปด้วยกันทั้งสิ้นทั้งพวงอีกทั้งพยายามเดินหน้า “ลดค่าใช้จ่าย” ที่ไม่มีประสิทธิภาพในหน่วยงานต่างๆ ของอเมริกาให้ได้ตามเป้าหมายของ “นายElon Musk” นายใหญ่และนายใหม่ แห่งกระทรวง “DODGE” หรือ “The Department of Government Efficiency” ที่ว่ากันว่าสามารถลดได้ถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์เอาเลยถึงขั้นนั้น จนเกิดการ “โละทิ้ง” บรรดาพนักงานหน่วยงานต่างๆ ในอเมริกานับล้านๆ คน...ฯลฯ
อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง...ที่ทำให้บรรดาอเมริกันชนจำนวนมิใช่น้อย ถึงกับออกมา “ลงถนน” ในเมืองต่างๆ ของแต่ละรัฐ ไม่ว่าแคลิฟอร์เนีย มินนิโซตา มิชิแกน เทกซัส วิสคอนซิน อินเดียนา จอร์เจีย แมสซาชูเซตส์ เพนซิลเวเนีย แอริโซนา ฯลฯ เผลอๆ...หนักเสียยิ่งกว่า การประสานมือ-ประสานตีน ระหว่างคุณน้อง “จตุพร-ตุ๊ดตู่” “ทนายนกเขา” หรือ “อาเฮีย สนธิ ลิ้มฯ” บ้านเราเอาเลยก็ไม่แน่ หรือถึงขั้นที่เลขาธิการแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย “นางShirley Weber” ออกมาป่าวประกาศรณรงค์ทำ “ประชามติ” บรรดาชาวแคลิฟอร์เนีย เพื่อที่จะแยกรัฐแคลิฟอร์เนียออกจากประเทศอเมริกา หรือ “Calexit” แบบเดียวกับ “Brexit” ของอังกฤษแยกตัวจากอียู ภายในปี ค.ศ. 2028 ไม่เกินไปกว่านั้น อันนี้...ยิ่งต้องเรียกว่าไปไกล ไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี ยิ่งเข้าไปทุกที...
ด้วยเหตุนี้นี่เอง...เลยคงต้องลองหันมา “ชั่งน้ำหนัก” ดูว่า ระหว่างการ “ป่วนโลก” กับ “ป่วนอเมริกา” ของ “ทรัมป์บ้า” เอาไป-เอามาแล้ว อะไรมันจะหนักหนา-สาหัสมาก-น้อยไปกว่ากัน เพราะสำหรับการ “ป่วนอเมริกา” หลายสิ่งหลายอย่าง มันอาจดูมีน้ำหนัก หรือดู “เข้าท่า”อยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ไม่ว่าการล้างบางองค์กร “USAID” ที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือกดดัน บีบบังคับ ใครต่อใครทั่วทั้งโลกมาโดยตลอด การคิดเล่นงานพวก “Deep State” ที่ทำมาหากินกับอุตสาหกรรมอาวุธอเมริกามานานแสนนาน หรือการเหนี่ยวรั้งพวก “LGBTQ+” ไม่ให้ “เริ่ดสะแมนแตน” จนเกินไปแม้บางครั้งอาจดูดุเดือด รุนแรง เหี้ยมเกรียม เกินไปสักหน่อย อย่างการจับผู้อพยพหลบหนีเข้าเมืองใส่ “กุญแจมือ” ก่อนถีบกลับไปยังประเทศต้นทาง หรือเอาไปขังคุกหฤโหดกวนตานาโม...
แต่นั่น...ต้องถือเป็นเวร-เป็นกรรมของบรรดาอเมริกันชนทั้งหลาย ที่ต้องแบกรับ “ผลกรรม” ไปตามแบบการปกครอง “ระบอบประชาธิปไตย” ที่นักเขียนชาวอังกฤษ อย่าง “นายAlan Coren” เคยให้คำนิยามไว้ก่อนหน้านั้นนั่นแหละว่า “Democracy consists of choosing your dictators, after they’ve told you what you think it is you want to hear.” หรือ “ประชาธิปไตยก็คือการเลือกเผด็จการ หลังจากที่พวกเขาได้บอกคุณในสิ่งที่คุณอยากได้ยินเสร็จสิ้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว” อะไรประมาณนั้น...
แต่สำหรับการ “ป่วนโลก” นี่สิ!!! ที่ผู้ซึ่งไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่รู้อีโหน่-อีเหน่ ไม่ได้ร่วมกระทำเวร-กระทำกรรมกับอเมริกาเอาเลยแม้แต่น้อย แต่หนีไม่พ้นต้องรับเวร-รับกรรม อันเนื่องจากการกลับมาผงาดของ “ทรัมป์บ้า” ในฐานะประมุขโลก จ้าวโลก กันอีกครั้ง ไม่เพียงแต่การคิดจะใช้ “อัตราภาษี” เป็นเครื่องมือในการเล่นงานไม่ว่ามิตรหรือศัตรูแคนาดา เม็กซิโก จีน อียู กลุ่มประเทศ “BRICS” ฯลฯ ที่ส่งผลให้ “เศรษฐกิจโลก” ย่อมหนีไม่พ้นต้องปั่นป่วนตามไปด้วย และยังเป็นตัวบ่อนทำลายธุรกิจห่วงโซ่อุปทาน ให้แตกสลาย ขาดสะบั้น ชนิดต่อไม่ติดกันไปอีกนาน แถมยังมีส่วนทำลายกฎ-ระเบียบ-กติกาขั้นพื้นฐาน ที่โลกทั้งโลกเคยยึดถือให้ต้องล้มคว่ำคะมำหงายเอาดื้อๆ ไม่ว่าการเห็นดี เห็นงามกับการ “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ชาวปาเลสไตน์ของอิสราเอล การ “สมรู้ร่วมคิด” ในการยึดเอาดินแดนที่ถูกกองทัพอิสราเอลล้างผลาญจนกลายเป็นซากปรักหักพัง มาตกแต่ง ต่อยอด ตามแบบนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้งหลายเพื่อให้เป็น “ริเวียราแห่งตะวันออกกลาง” คว่ำบาตรศาลอาญาระหว่างประเทศ ถอนตัวจากองค์กร “WHO” องค์กรสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ฯลฯ
แต่ที่น่ากลัวเอามากๆ...ก็คือการคิดรื้อฟื้นระบบอาวุธที่ “อันตราย” แบบสุดๆ หรือการคิดจะแปรสภาพอวกาศให้กลายเป็นสนามรบ อันจะทำให้ “Iron Dome” ของอเมริกา ไม่ได้ต่างอะไรไปจากโครงการ “Star Wars” ที่เคยถูกล้มเลิกไปแล้วนั่นเอง หรืออย่างที่ “นายElon Musk” ได้ไปฟุ้งเอาไว้ที่โรงเรียนเวสต์ พอยต์ (The United States Military Academy) เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานั่นแหละว่า การคิดที่จะปรับปรุงระบบการทำสัญญาผลิตอาวุธกับบรรดาพวกอุตสาหกรรมอาวุธทั้งหลาย ถึงขั้นยกเลิกสัญญาผลิตอาวุธมูลค่า 420 ล้านดอลลาร์ภายในชั่วเวลา 80 ชั่วโมง หลังจากได้ตั้งศูนย์กลางการทำสัญญาโดยเฉพาะ (A Central Contracting Arm) ขึ้นมารองรับนั้น ก็เพื่อหวังที่จะเปลี่ยนแปลงอาวุธยุทโธปกรณ์ในกองทัพอเมริกาที่เป็นอาวุธขนาดเล็ก ราคาแพง ให้กลายมาเป็นอาวุธที่ร้ายแรงและถูกแสนถูก หรือ... “สงครามยูเครนเป็นตัวอย่าง ที่บอกกับเราว่าสงครามสมัยใหม่ได้กลายเป็นสงครามโดรนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น...มหาอำนาจหลักๆ ต้องเป็นผู้ทำสงครามด้วยโดรน เราจะต้องลงทุนในเรื่องโดรนให้มากๆ เข้าไว้ มิฉะนั้น...เราจะเสี่ยงเอามากๆ ต่อการพ่ายแพ้สงครามในครั้งต่อไป...”
หรือเอาเข้าจริงๆ แล้ว...มันคงไม่ได้หวังจะรื้อทำลาย ดีพสต่ง ดีพสเตท อะไรกันมากมาย แต่เพื่อคิดจะเปลี่ยนอเมริกาให้กลับมา “Great Again” ให้ “America First” อีกต่อไปให้จงได้!!! นั่นแล หรืออย่างที่นักคิดรัสเซีย ผู้อำนวยการสโมสร “Valdai Club” “นายTimofey Bordachev” เขาได้สรุปถึงการรื้อทิ้ง ทำลาย องค์กร “USAID” ของอเมริกาเองเอาไว้นั่นแหละว่า ในเมื่อการหันไปใช้วิธี “ข่มขู่-บีบบังคับ” แบบ “สว่างจิต” ชนิดไม่ต้องเสียเวลา “แอบจิต” ดังเช่นการข่มขู่ที่จะยึดคลองปานามา เป็นต้น สามารถส่งผลได้ดีกว่าการเสียเงิน-เสียทองไปให้กับการแทรกแซง แทรกซึมตามแบบฉบับเก่าๆ องค์กรที่ว่านี้จึงแทบไม่ได้มี “ความจำเป็น” อีกต่อไป หรือบรรดา “ความป่วน” ทั้งหลายของ “ทรัมป์บ้า” นั้น ล้วนแต่ตั้งอยู่บนความคิด ความเชื่อ ขั้นพื้นฐานว่า...“กูคือจ้าวโลก-กูคือประมุขโลก” อย่างมิมีวันผันแปรไปเป็นอื่นนั่นเอง...
และผู้ที่ให้คำอธิบายขยายความถึงความอยาก ความกระหาย ตามแบบฉบับ “American First” ของ “ทรัมป์บ้า” เอาไว้น่าคิด น่าสะกิดใจ เอามากๆ ก็คงหนีไม่พ้นไปจากรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย “นายSergey Lavrov” อีกนั่นแหละ ที่ได้ให้สัมภาษณ์นิตยสาร “Russia in Global Affairs” เมื่อช่วงวันอังคารที่แล้ว (4 ก.พ.) ว่าถ้อยคำ หรือนโยบายที่เรียกว่า “American First” นั้น ไปๆ-มาๆ แล้ว...คงไม่ได้ต่างไปจากคำว่า “Deutschland uber alles” (Germany above all) หรือ “เยอรมนีอยู่เหนือกว่าใครเพื่อน” ที่เคยถูกเปล่งจากปากของอดีตผู้นำลัทธินาซีแห่งเยอรมนี อย่าง “อดอล์ฟ ฮิตเลอร์” นั่นเอง แต่ “ในเมื่อทุกวันนี้...ไม่ใช่ปี ค.ศ. 1991 หรือ 2017 ที่ประธานาธิบดีอเมริกันจะหันหางเสือไปในทางทิศไหนก็ย่อมได้ เหมือนอย่างที่เขาเคยเป็นประธานาธิบดีสมัยแรก” การหันมายอมรับ “ความจริง” ว่าโลกได้เปลี่ยนไปเยอะแล้ว มหาอำนาจหลายรายได้ปรากฏตัวให้เป็นข้อพิสูจน์ ยืนยัน ถึงความเป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ” อย่างเป็นที่ประจักษ์ นี่จึงเป็นวิถีทางเดียวเท่านั้น...ที่พอจะช่วยให้โลกทั้งโลกสามารถ “อยู่ร่วมกันโดยสันติ” หรือพอได้สงบ ร่มเย็น มีโอกาสได้เจอะเจอ “สันติภาพ” ขึ้นมาได้มั่ง...