xs
xsm
sm
md
lg

อะไร? คือสาเหตุ“ความบ้า”ของ“ทรัมป์บ้า”!!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


โดนัลด์ ทรัมป์
ฉายา “ทรัมป์บ้า” ของผู้นำอเมริการายใหม่...ย่อมมิได้มาด้วยโชคช่วยอยู่แล้วแน่ๆ!!! เพราะนับวันยิ่งเป็นอะไรที่เป็นจริง-เป็นจังและเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นทุกที เรียกว่า...ขนาดอดีตเจ้าหน้าที่ซีไอเอและประธานองค์กรผู้ลี้ภัยระหว่างประเทศ ที่ต้องเจอกับคำสั่งระงับความช่วยเหลือต่างประเทศของอเมริกาทั่วทั้งโลกราวๆ 3 เดือนเป็นอย่างน้อย จนส่งผลให้กระทั่งเว็บไซต์ “USAID” ต้อง “จอดำ” เอาดื้อๆ ยังอดไม่ได้ที่ต้องออกมาระบายกับสำนักข่าว “รอยเตอร์” เมื่อวัน-สองวันมานี้ ว่าถือเป็นความวิกลจริต (This is lunacy) เอาเลยถึงขั้นนั้น!!!

ด้วยเหตุนี้...จึงไม่น่าแปลกใจอะไรมาก ที่ผู้นำรายนี้ท่านตัดสินใจสั่งให้ขึ้นภาษีสินค้าขาเข้าของประเทศที่เคยร่วมเคียงบ่า-เคียงไหล่มาในช่วงสงครามโลกถึง 2 ครั้งอย่างแคนาดา รวมทั้งประเทศบ้านใกล้-เรือนเคียงอย่างเม็กซิโกขึ้นไปอีก 25 เปอร์เซ็นต์ ส่วนคุณพี่จีนที่ถูกบด-ถูกบี้มาโดยตลอดนับแต่ครั้ง “ทรัมป์บ้า” ยุคแรกไปจนยุค “โจ ซึมเซา” หรือ “โจ ล้างเผ่าพันธุ์” ก็มีอันต้องเจอเข้ากับดอกแรก ขึ้นภาษีสินค้าจีนไปอีก 10 เปอร์เซ็นต์ โดยจะมีดอกสอง-ดอกสามตามมาอีกแบบไหน? เท่าไหร่? ก็ยังมิอาจสรุปได้ มิหนำซ้ำยังออกมาย้ำหัวตะปู ย้ำแล้ว ย้ำเล่า ให้แคนาดารีบแปลงสภาพเป็น “รัฐที่ 51” ของอเมริกาซะโดยดี เพราะนอกจากไม่ต้องเจอกับภาษีหฤโหดแล้ว ยังจะได้รับความคุ้มครองทางทหารไปโดยตลอด...

ส่งผลให้ผู้นำแคนาดา นายกรัฐมนตรี “Justin Trudeau” และผู้นำเม็กซิโก ประธานาธิบดี “Claudia Sheinbaum” ปวดแสบ-ปวดร้อน ตัวสั่นเร่าๆ เพราะฤทธิ์เดชความบ้าของ “ทรัมป์บ้า” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้เลยต้องออกมาป่าวประกาศเมื่อช่วงวันเสาร์ที่ผ่านมา (1 ก.พ.) ในลักษณะเดียวกัน ว่าพร้อมที่จะแก้แค้น-เอาคืนแบบมาไม้ไหนคงต้องไปไม้นั้น แถมยังคิดจะหันไปฟ้ององค์การการค้าโลก (WTO) อีกซะด้วย โดยเฉพาะการล่วงละเมิดข้อตกลงความร่วมมือเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ-เม็กซิโก-แคนาดา หรือ “CUSMA” ที่ “ทรัมป์บ้า” เป็นผู้ลงนามข้อตกลงด้วยตัวเองซะอีกต่างหาก สำหรับคุณพี่จีนที่ถนัดในการ “เก็บอาการ” อยู่พอสมควร กระทรวงการต่างประเทศจีนก็ได้แต่ออกมาแสดงความเสียใจเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (2 ก.พ.) และเตรียมที่ฟ้องร้องต่อ “WTO” ส่วนจะหันไปใช้วิชายุทธ์ “ยืมหอกสนองคืน” ของตระกูลม่อย้งหรือไม่? อย่างไร? แบบไหน? คงต้องคอยจับตาอย่างมิอาจกะพริบตาเป็นอันขาด...

และเอาเข้าจริงๆ แล้ว...คงไม่ใช่แค่แคนาดา เม็กซิโก และจีนที่เป็นจุดเริ่มต้นเท่านั้น แต่ผู้นำรายนี้ยังเตรียมง้างเตรียมหันไปเล่นงานบรรดากลุ่มประเทศ “BRICS” ทั้งหลาย ด้วยการเพิ่มภาษีถึง 100 เปอร์เซ็นต์เอาเลยถึงขั้นนั้น ถ้าหากยังคิดจะ “เทดอลลลาร์” หรือคิดสร้างสกุลเงินตราชนิดใหม่ขึ้นมาแทนที่ แม้แต่ “พันธมิตรพรมเช็ดเท้า” อย่างอียู-อีย้วย ก็มิอาจหลบรอดฤทธิ์บ้าของ “ทรัมป์บ้า” เอาง่ายๆ เพราะเมื่อช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมานี่เอง (31 ม.ค.) ผู้นำอเมริกายังออกมาย้ำหัวตะปูไว้ว่า “ยุโรป...ทำกับเราแบบเลวร้ายเอามากๆ” ก่อนที่จะออกอาการหมาหยอกไก่ ประมาณว่า...อาจต้องขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ายุโรปเหมือนเมื่อครั้งที่เคยขึ้นภาษีเหล็ก 20 เปอร์เซ็นต์ อะลูมิเนียมอีก 10 เปอร์เซ็นต์ช่วงปี ค.ศ. 2018 หรือไม่? อย่างไร? คงต้องไปกลั้นหายใจกันเอาเอง...

นอกเหนือไปจากนั้น...ยังเพียรพยายามที่จะ “รีดเลือดเอาจากปู” หรือพยายามกดดันให้บรรดาชาติยุโรปทั้งหลายต้องจ่ายงบประมาณทางทหารเพิ่มขึ้นจาก 2 เปอร์เซ็นต์ไปเป็น 5 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีเป็นอย่างน้อย ความบ้าของ “ทรัมป์บ้า” ในลักษณะเช่นนี้ เลยเล่นเอา “ป่วน” กันไปทั่วทั้งโลก ไม่ว่ามิตร-ไม่ว่าศัตรู ไม่ว่าไผ-เป็นไผ ใคร-เป็นใครก็ตามแต่ ด้วยเหตุนี้จะไปสรุปแบบลวกๆ ว่า “อย่าถือคนบ้า-อย่าว่าคนเมา” ไม่น่าจะได้ อย่างน้อย...คงต้องหันไปใคร่ครวญพิจารณากันโดยละเอียด ถึงความบ้า-ความเมาของ “ทรัมป์บ้า” ว่ามันมีที่มา-ที่ไป มีสาเหตุ-แรงจูงใจ ในแบบไหน? อย่างไร? มันถึงพอจะตระเตรียมรับมือได้แบบทันท่วงที...

หรืออย่างที่ผู้อำนวยการวิจัยแห่งสโมสรนักคิด “The Valdai Club” ของรัสเซียและหัวหน้ากองบรรณาธิการวารสาร “Russia in Global Affairs” อย่าง “นายFyodor Lukyanov” เขาได้วิเคราะห์-เจาะลึกเอาไว้โดยละเอียด ในข้อเขียน บทความ ชิ้นล่าสุดนั่นแหละว่า ไม่ว่า “ทรัมป์บ้า” จะบ้า-ไม่บ้ามาก-น้อยเพียงใด แต่โดยอากัปกิริยาที่แสดงต่อโลกทั้งโลกนับตั้งแต่ได้หวนกลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกรอบ น่าจะตั้งอยู่บนองค์ประกอบพื้นฐาน 2 อย่างด้วยกัน คือ 1. ยังคงคิดว่าอเมริกาคือศูนย์กลางของโลกที่ใครๆ ย่อมมิอาจปฏิเสธได้ แม้ว่าจะเกิดการปรากฏตัวของมหาอำนาจรายอื่นจนอาจถือเป็นโลกแบบหลายขั้วอำนาจไปแล้วก็ตาม และ 2. ก็คือความพยายามที่จะผลักดันเป้าหมายทางการเมืองของตัวเองให้บรรลุสิ่งที่ต้องการ โดยไม่คิดสนใจต่ออำนาจอธิปไตย เขตแดน หรือกฎกติกาใดๆ อีกต่อไป หรือด้วยความคิดว่าตัวเองยังเป็นจ้าวโลก เป็นประมุขโลกแต่เพียงผู้เดียว เลยไม่จำเป็นต้อง “แอบจิต” ต่อไปอีกแล้ว ไม่จำเป็นต้องอาศัยการเลี้ยวไป-เลี้ยวมา การตีสองหน้า ในการเจรจาต่อรองผลประโยชน์ดังที่เคยเป็นธรรมเนียม-ประเพณีทางการทูตแต่เดิม แต่หันไปเอากันแบบ “ดื้อๆ-ทื่อๆ” ตามแบบฉบับ “อเมริกา...ต้องมาก่อน” ในทุกเรื่อง ทุกกรณี หรือแบบ “ใครยอม-ข้าอยู่...ใครขวาง-ข้าตาย” อะไรประมาณนั้น...

ดังนั้น...ก็เลยต้องถือเป็น “คำถาม” สำหรับบรรดาชาวโลกทั้งหลาย ไม่ว่าที่คิดว่าอเมริกาเป็นมิตร-หรือเป็นศัตรูว่าคิดจะยอม หรือคิดจะขวาง โดยเฉพาะถ้าหากต้อง “สูญเสีย” สิ่งต่างๆ ไม่ว่าตั้งแต่ผลประโยชน์จากการทำมาค้าขายหรือการส่งสินค้าไปขายอเมริกา ไปจนถึง “อำนาจอธิปไตย” ของประเทศ ก็อาจไม่มีข้อยกเว้นด้วยเช่นกัน นี่...อันนี้นี่แหละ!!! ย่อมถือเป็นคำถามที่น่าคิด น่าสะกิดใจเอามากๆ และดูเหมือนว่าผู้นำรัสเซียอย่างประธานาธิบดี “ปูติน” ท่านก็ได้ออกมาคาดเดาถึง “คำตอบ” ของบรรดาผู้นำชาติยุโรปที่เคยเป็น “พรมเช็ดเท้า” ให้คุณพ่ออเมริกามาโดยตลอดเอาไว้บ้างแล้วเหมือนกัน โดยเฉพาะระหว่างการให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์ช่อง 1 ของรัสเซีย เมื่อช่วงวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (2 ก.พ.)...

คือท่านเชื่อของท่านว่า...แม้ผู้นำชาติยุโรปบางรายจะแสดงท่าทีปฏิเสธ คัดค้าน ประธานาธิบดีอเมริการายใหม่อยู่บ้างก็ตาม แต่ท้ายที่สุด...ก็น่าจะยอมรับสภาพความเป็น “พรมเช็ดเท้า” ให้กับ “ทรัมป์บ้า” ต่อไปในอีกไม่นาน-ไม่ช้า ด้วยเหตุเพราะผู้นำยุโรปยุคนี้ต่างไปจากยุคของอดีตผู้นำฝรั่งเศสอย่าง “Jacques Chirac” หรือผู้นำเยอรมนีอย่าง “Gerhard Schroder” แบบคนละเรื่อง-คนละม้วน อาจเพราะขาดแคลนสิ่งจำเป็นเอามากๆ ที่ท่านเคยเอ่ยถึงเอาไว้ก่อนหน้านั้น นั่นก็คือ “สมอง” จนทำให้การศิโรราบ ยอมทำตามคำสั่งของอเมริกา จึงเป็นสิ่งที่บรรดาผู้นำเหล่านี้ไม่เคยคิดที่จะปฏิเสธ หรือ... “ถึงแม้ว่าพวกเขาต่างไม่ชอบทรัมป์ ต่างแสดงปฏิกิริยาต่อต้าน ด้วยเหตุเพราะแนวคิดของผู้นำอเมริกาไม่ว่าเรื่องความดี-ความเลว อาจแตกต่างไปจากพวกเขา อย่างเช่นกรณีเรื่องเพศสภาพ เป็นต้น แต่สุดท้ายแล้ว...พวกเขาก็น่าจะยังคงพร้อมรับคำสั่งของผู้นำอเมริกาอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงไปเป็นอื่น...”

โดยผู้นำรัสเซียรายนี้ถึงกับ “ฟันธง” เอาไว้แบบชนิดสุดจะเจ็บปวด รวดร้าวเอามากๆ ด้วยคำพูดที่ว่า... “Soon all of them will stand at the master’s feet and gently wag their tails” หรือ “ด้วยบุคลิกและการยืนกรานของทรัมป์ จะสามารถทำให้คำสั่งต่างๆ มีผลได้ไม่ยาก โดยบรรดาผู้นำชาติยุโรปทั้งหลายจำต้องยืนเซื่องๆ อยู่แทบเท้าของเจ้านายและแกว่งหางตัวเองอย่างสุภาพ” นี่...จริง-ไม่จริง เป็นไปตามนั้น-ไม่เป็นไปตามนั้น คงต้องจับตาดูกันต่อไป แต่บรรดาความเป็นไปทำนองนี้จะนำไปสู่อะไรต่อไปนั้น ก็คงขึ้นอยู่กับ “ความเชื่อ” ของ “ทรัมป์บ้า” ที่ยังคงมั่นอก-มั่นใจว่าอเมริกายังคงเป็นจ้าวโลก เป็นศูนย์กลางของโลกทั้งโลก เป็นประเทศที่ประชาชาติจะขาดเสียมิได้อันเป็น “ความเชื่อ” ที่ไม่ได้ต่างอะไรไปจากประธานาธิบดีคนก่อน อย่าง “โจ ซึมเซา” หรือ “โจ ล้างเผ่าพันธุ์” แบบเดียวกับความต่างระหว่าง “เป๊ปซี่กับโคล่า” ที่ล้วนแล้วแต่เป็น “น้ำดำ” ไปด้วยกันทั้งคู่นั่นเอง...

และอันนี้นี่เอง...ที่ย่อมทำให้โลกทั้งโลก ไม่ว่าจะเป็นโลกที่ยังตกอยู่ภายใต้อำนาจอเมริกา หรือโลกที่พยายามปลดปล่อยตัวเองไปสู่ความหลากหลาย สู่ความเป็นโลกหลายขั้วอำนาจ สุดท้าย...ย่อมหนีไม่พ้นที่ต้องวัดตัดสินกันด้วยเครื่องมือชิ้นสุดท้าย นั่นก็คือศักยภาพ หรือแสนยานุภาพทางทหารนั่นแหละเป็นสำคัญ ยิ่งเมื่อรัฐบาลอเมริกันภายใต้การนำของ “ทรัมป์บ้า” ได้ประกาศว่าคิดจะสร้างสรรค์ระบบ “Iron Dome” ขึ้นมาปกป้องคุ้มครองอเมริกา อันเป็นสิ่งที่ถูกตั้งข้อสังเกต ถูกแปลความ ตีความ โดยโฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย “Maria Zakharova” เอาไว้อย่างน่าคิด น่าสะกิดใจ มิใช่น้อย ว่าเอาเข้าจริงๆแล้ว...คงไม่ใช่แค่คิดเอาไว้ปกป้องประเทศอเมริกาเหมือนอย่าง “Iron Dome” ของอิสราเอลแต่เพียงเท่านั้น แต่น่าจะเป็นความพยายามที่จะแข่งขันทางอาวุธ โดยไม่คิดจะยินยอมให้ประเทศที่มีขีปนาวุธระดับ “Oreshnik” อย่างรัสเซีย หรือมีเครื่องบินทิ้งระเบิดที่ทันสมัยสุดๆ เช่น “J-36” หรือ “J-50” อย่างจีน ขึ้นมาเทียบเคียงรัศมีได้โดยเด็ดขาด ความคิดที่จะสร้างระบบ “Iron Dome” ของ “ทรัมป์บ้า” เลยแทบไม่ต่างไปจากความคิดที่จะสร้างระบบ “Star Wars” ในยุคอดีตประธานาธิบดี “เรแกน” ที่เคยล้มเลิกไปแล้ว นั่นก็คือ...ความพยายามที่จะแปรสภาพอวกาศให้กลายเป็นสนามรบนั่นเอง!!! ดังนั้น...คงหนีไม่พ้นต้องสรุปว่าการหวนกลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้งของ “ทรัมป์บ้า” จึงแทบไม่ได้ช่วยให้โลกใบนี้เกิดความสงบร่มเย็น เกิด “สันติภาพ” ใดๆ ขึ้นมาเอาเลยแม้แต่น้อย...


กำลังโหลดความคิดเห็น